:::     :::

Daniel James ความพยายามไร้ก้นบึ้งที่แฟนผีต้องเอาใจช่วย

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,768
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แดเนียล เจมส์ ยังคงถูกแฟนบอลบางส่วนตั้งแง่ว่าลงสนามมาแล้วไม่มีประโยชน์ ทั้งๆที่เขาพัฒนาจากปีก่อนมาก และเล่นเพื่อทีมได้มีประโยชน์กว่าปีกตัวจริงบางคนในทีม และความพยายามที่สะท้อนถึงจิตใจที่แข็งแกร่ง และทุ่มเทเล่นเพื่อทีมของเขา เป็นสิ่งที่แฟนผีไม่ควรมองข้ามและต้องให้กำลังใจเขาอย่างมาก

ในตลาดซื้อขายปี2005 เกิดเรื่องราวแปลกๆขึ้นมาอยู่เรื่องหนึ่ง หลายๆคนคงจำกันได้ เมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประกาศเซ็นสัญญากับ John Obi Mikel จาก FC Lyn ด้วยค่าตัว4ล้านปอนด์ แถมถ่ายภาพชูเสื้อกันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งหลังจากที่พ่ายให้กับเชลซีในการแย่งตัว Arjen Robben ซีซั่นก่อนหน้าแล้วนั้น สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีในการจะต่อกรกับสโมสรคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่างเชลซีในช่วงนั้น โดยการก้าวเข้ามาของRoman Abramovich

มิเกลให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า "ผมตั้งตารอและดีใจมากที่ได้มีโอกาสเล่นให้กับหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดในโลก ผมเซอร์ไพรส์ที่สโมสรใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการตัว ตอนนั้นผมมีสัญญากับLyn และได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ว่าไม่ได้ยินอะไรจากทางเชลซีเลย"

อย่างไรก็ตาม มิเกลก็ยังยืนยันด้วยว่าเขาได้รับข้อความขู่ฆ่าจริงๆเกี่ยวกับข่าวย้ายทีมที่จะเกิดขึ้น

"ผมจะย้ายมาอยู่แมนยูในเดือนมกราคม มันเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงเลย และมันก็จริงที่ผมลงเล่นไม่ถึง75%ของเกมทีมชาติซึ่งมันอาจจะกระทบกับการขอwork permit แต่ว่าสโมสรยืนยันว่าจะจัดการสิ่งนั้นให้เมื่อถึงเวลา และผมได้รับข้อความและโทรศัพท์คุกคามจากทั้งไนจีเรียและอังกฤษ ผมรู้สึกกลัวมาก"

เรื่องราวโดยสังเขประหว่างโอบีมิเกลกับแมนยูไนเต็ดนั้นก็เป็นมหากาพย์เช่นกัน สรุปคร่าวๆคือหลังจากโชว์ฟอร์มโดดเด่นในU-17ของไนจีเรีย ยูไนเต็ดที่มองเห็นฟอร์มก็เชิญให้มาทดสอบฝีเท้าที่สโมสรอยู่หลายสัปดาห์ และถูกใจบุคลากรที่ยูไนเต็ดมากโดยเฉพาะคีนกับสโคลส์ที่เชียร์ว่าต้องเซ็นให้ได้ ในขณะที่ป๋าก็พูดคุยโน้มน้าวด้วยตัวเองมากมายเพราะเห็นศักยภาพในตัวเขา

แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องเป็นราวกัน หลังจากที่มีการประกาศเซ็นสัญญาออกมา มิเกลก็หายตัวไปพร้อมกับเอเย่นต์อย่าง John Shittu และตำรวจก็เริ่มทำการสอบสวนทันทีหลังจากที่สโมสรลินอ้างว่าเขาถูกลักพาตัวไป เป็นข่าวใหญ่โตที่นอร์เวย์

สามวันหลังจากนั้นมีวิดิโอสัมภาษณ์ออกในรายการข่าวของSky Sports พร้อมกับการยืนยันว่าเขาไม่เคยอยากเซ็นสัญญากับแมนยูไนเต็ด และเชลซีต่างหากที่เป็นตัวเลือกของเขา ดูท่าทางว่าการเปลี่ยนใจในครั้งนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ถูกขู่ฆ่าเลยแม้แต่น้อย

มิเกลไม่ได้ลงเล่นอยู่เป็นปีจากการที่สองสโมสรต่อสู้กันเรื่องนี้ ก่อนท้ายที่สุดเป็นเชลซีที่ทุ่มเงิน16ล้านปอนด์คว้าตัวเขาไป โดยที่เป็นเงินชดเชยให้แมนยูไนเต็ด12ล้านปอนด์ และจ่ายให้ต้นสังกัด Lyn ในราคา4ล้านปอนด์

สามซีซั่นแรกของมิเกล ปีศาจแดงของเราคว้าแชมป์ลีกทุกปี และเอาชนะเชลซีได้ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบชิงในปี2008 อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วมิเกลก็ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกสองสมัยได้ในที่สุด (แต่หากตอนแรกเลือกแมนยูเขาจะได้แชมป์ห้าสมัย) ถือว่าเป็นเคสที่โคตรซุปเปอร์แรร์เพราะแทบจะไม่มีนักเตะที่ไหนบนโลกนี้ชถ่ายรูปชูเสื้อ แสดงความดีใจแบบอยู่เป็น ที่ได้เซ็นสัญญา ก่อนที่ดีลจะล่มถล่มทลายขนาดนี้มาก่อน

แต่สำหรับเคสของ "แดน เจมส์" ก็มีอะไรคล้ายๆกัน ถึงแม้จะไม่มีการดราม่าลักพาตัวหรือขู่ฆ่าแบบนั้นก็ตาม (ซึ่งที่จริงโอบีมิเกลก็แค่ไปอยู่ในเซฟเฮ้าส์แถวๆเมืองหลวงเท่านั้นเพื่อรอเซ็นกับทีมละแวกนั้นนั่นเอง) เพราะเจมส์นั้นก็เกือบที่จะได้เซ็นสัญญากับลีดส์ของบิเอลซ่าตั้งแต่เดือนมกราคมปี2019 โดยจะเป็นการเซ็นถาวรหากว่าลีดส์เลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกได้ แต่ว่าหลังจากตรวจร่างกายและชูเสื้อเบอร์21แล้ว ลีดส์กลับไม่สามารถทำข้อตกลงกับทางสวอนซีได้ในตอนท้าย จึงมีรายงานว่า ดีลซื้อขายราคา10ล้านปอนด์ที่ตกลงกันไว้นั้น สุดท้ายแล้วก็ล่มในนาทีสุดท้าย ทางลีดส์เสนอเงิน 1.5ล้านปอนด์เพื่อจ่ายเป็นค่ายืม แต่ไม่สามารถจ่ายเงินได้จนกว่าจะช่วงซัมเมอร์ ซึ่งด้านสวอนซีนั้นเข้าใจว่าต้องการเงินก้อนเลยทันที

เจมส์เล่าให้กับทาง Living The Dream podcast เอาไว้ดังนี้ว่า

"ผมไปที่เอลแลนด์โร้ดตอน6โมงเย็น ถ่ายรูป ชูเสื้อ ให้สัมภาษณ์เรียบร้อย เพราะว่าเราอยากให้ประกาศให้เสร็จสรรพในเช้าวันรุ่งขึ้น และจากนั้นก็เกิดเรื่องแปลกๆขึ้น"

"มันถึงช่วงราวสามทุ่มและผมก็เซ็นเอกสารต่างๆทุกฉบับแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของทางสโมสร และผมได้รับข้อความเข้ามา มีคนถามว่ามีอะไร เกิดอะไรขึ้น? ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนกระทั่ง15นาทีถึงได้รู้ว่า ดีลนี้อาจจะไม่สำเร็จ และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการโทรถามประธานสโมสรสวอนซีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องทั้งหมดมันก็บ้าบอนิดหน่อย แต่สุดท้ายมันก็ล่ม ผมเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งเลยแล้วก็พยายามคิดว่า มันไม่จริง มันไม่จริง ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของลีดส์ก็ไม่แฮปปี้เช่นกัน แต่สุดท้ายมันก็แค่กลับมาอยู่บ้านเดิมแค่นั้นเอง มันเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดๆก็จริงแต่มันก็ช่วยเหลือผมได้ในบางเรื่องนะ"

อดีตเจ้าของสวอนซีอย่าง Huw Jenkins ได้มาอธิบายภายหลังว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมข้อเสนอของลีดส์ถึงได้ไม่โอเคสำหรับสวอนซี

"ผมจำเรื่องราวของแดนเจมส์ได้ว่ามันมีคนถึง6คนเข้ามาเกี่ยวข้อง และพยายามแทรกแซงการตัดสินใจในวันนั้น ผมได้รับแจ้งว่ามีข้อตกลงให้แดนย้ายไปลีดส์ ซึ่งมันดูไม่สมเหตุสมผลสำหรับผม และมันไม่เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของสวอนซีซิตี้เลย เพราะว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องนั้น"

"คนอื่นคิดว่าดีลนี้อาจจะเกิดขึ้นและเราคงได้ผลประโยชน์ แต่สำหรับผมแล้วการที่แดนจะย้ายไปลีดส์ช่วงนั้น มันมีความเสี่ยงเรื่องอาการบาดเจ็บ และประเด็นที่เราจะรอจะขายช่วงซัมเมอร์นั้นก็ไม่จริงเหมือนกัน ไม่น่าจะเป็นไปได้จริง เพราะแค่ค่ายืมตัวลีดส์ยังไม่น่าจะจ่ายให้เราในช่วงซัมเมอร์ได้ทันเลย"

"ผมได้คุยกับGraham Potter (ผู้จัดการทีมสวอนซี)เกี่ยวกับเรื่องนี้ เรารู้ดีว่าแนวทางของเขาคือการนำนักเตะอายุน้อยๆเข้ามาสู่ทีม ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ทีมอยู่ในสถานะที่แข่งขันกับสโมสรอื่นๆได้ด้วย ซึ่งแดนเป็นส่วนสำคัญของแผนการนั้นเลย Grahamต้องการให้เจมส์อยู่ช่วยทีมเราไปจนจบซีซั่นก่อน ซึ่งหากเขายังคงลงเล่นอยู่กับสวอนซีเหมือนเดิมตามปกติ เรารู้สึกว่าเขาจะมีคุณค่ามากกว่าแค่เรื่องของดีลในอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องทางการเงิน มันเกี่ยวกับแดนล้วนๆ และก็อย่างที่เห็น สุดท้ายเขาก็ทำได้ดีที่แมนยูไนเต็ดและกับทีมชาติเวลส์จริงๆตามที่เราประเมินคุณค่าไว้"

ลีดส์พลาดโอกาสนี้ไป ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมา ยูไนเต็ดก็อัดเงิน15ล้านปอนด์ซื้อตัวเขามาจากสวอนซีสำเร็จ ผู้จัดการทีมชาติเวลส์อย่างไรอัน กิ๊กส์ ก็ให้โอกาสเขาลงเดบิวต์เกมทีมชาติด้วย ดังนั้นโอเล่ กุนนาร์ โซลชาจึงได้คุยกับเพื่อนร่วมทีมเก่าของเขาและก็สอบถามเกี่ยวกับดาวรุ่งรายนี้

ไรอัน กิ๊กบอกกับทางโปรดักชั่นของพรีเมียร์ลีกเอาไว้ดังนี้

"โอเล่ถามผมเกี่ยวกับเรื่องเขานะ และผมก็บอกไปว่านี่เป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยศักยภาพในตัว เขาเร็ว เร็วมากๆ เป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่คุณจะต้องอยากได้เขาอยู่ในห้องแต่งตัวเลย เขามากับคาแรคเตอร์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะงั้นมันตัดสินใจไม่ยากเลยเพราะว่าเขามีพรสวรรค์ เริ่มสตาร์ทวิ่งด้วยความเร็วที่สามารถเอาชนะได้ทุกคนไม่ว่าใครหน้าไหนเหมือนกับปีกวัยรุ่นทั่วไป การสัมผัสบอลสุดท้ายและทำประตูเขาจะทำมันได้ดียิ่งขึ้นอีก ผมดูเขาเล่นมาเยอะกับสวอนซีเมื่อปีก่อนๆและเขาเผาฟูลแบ็คแทบจะทุกคนในดิวิชั่นนั้นเละเทะจริงๆ"

แดน เจมส์ เดบิวต์กับแมนยูไนเต็ดในวันเปิดฤดูกาล 2019/20 ด้วยการเป็นตัวสำรองและลงมายิงประตูปิดกล่องที่เอาชนะเชลซี 4-0 และได้เห็นเขาแสดงอารมณ์ฉลองประตูอย่างเต็มที่ที่มุมธงและเพื่อนร่วมทีมที่มารุมล้อม ด้วยอายุที่เพิ่งจะ21นั้น สามสัปดาห์ก่อนจะเซ็นสัญญากับแมนยูไนเต็ด พ่อของเขาเพิ่งจะเสียไป ขณะที่ดีลนั้นลุล่วงไปแล้วนั้น คุณลองจินตนาการดูว่าเขาจะต้องอยู่ในความรู้สึกที่เลวร้ายเพียงใดเมื่อไม่มีพ่อของเขาอยู่ด้วยในช่วงโมเมนต์ของชีวิตที่สำคัญที่สุดในเส้นทางอาชีพ

หลายเดือนต่อมาเจมส์พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า

"ผมคิดถึงเขาทุกวัน พ่อขับรถไปส่งผมอยู่ตลอดตอนที่เขายังอยู่ ช่วงเวลาไหนที่ผมรู้สึกแย่ๆ เขาจะบอกให้จงอดทนและพยายามทำงานหนักต่อไป"

4เกมในการลงเล่นกับยูไนเต็ด เขายิงได้สามประตู และแฟนผีแทบไม่เชื่อสายตาว่าเราไปดีลตัวนี้มาได้ จากการได้นั่งดูไฮไลต์บนยูทูปตอนเล่นให้กับสวอนซีที่เขาใช้ฝีเท้าวิ่งฉีกหนีคู่แข่งขาดกระจุย และก็ยิงประตูเองได้อีกด้วย แต่ก็ไม่ได้มีใครคาดหวังว่าเขาจะมาเริ่มต้นได้ดีแบบนั้นเลยทันทีที่นี่

แต่หลังจากนั้นโอเล่ กุนนาร์ โซลชามีปัญหาในการใช้งานเขา หลังจากที่ลงสนามไป26เกมในลีก แต่ว่าทำประตูไม่ได้เลย จากที่เริ่มมาอย่างสวยงาม เขาก็ยิงประตูไม่ได้อีกอย่างยาวนานจนมาถึงเกมสุดท้ายก่อนจะล็อคดาวน์ ที่ทีมเราชนะLASKไป 5-0 ในยูโรปาลีกนั่นเอง แต่ที่แน่ๆฝีเท้ายังคงสร้างความปั่นป่วนให้คู่แข่งเหมือนเดิม และเขาก็ลงเล่นเต็มเกม90นาทีในนัดที่เฉือนเพื่อนบ้านอย่างแมนซิตี้คาเอติฮัดไป 2-1

"ผมโทรหาแฟนแล้วก็แม่หลังจากนั้น นั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำเพราะว่าผมมีความสุขมาก ซึ่งเวลาที่มีความสุขแบบนั้นคุณก็อยากจะบอกกับคนที่คุณรักใช่ไหม แต่ผมไม่สามารถแชร์มันกับพ่อของผมได้ เขาควรจะอยู่ที่นี่และผมอยากแบ่งปันกับเขา แต่ผมก็ทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่สุดสำหรับผม เพราะตอนที่กำลังย่ำแย่คุณจะนึกถึงเขา แต่ในยามที่มีความสุขที่สุดก็ด้วยเช่นกัน เพราะคุณอยากจะแชร์สิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเขาด้วย"

เจมส์จบฤดูกาลแรกด้วยหกแอสซิสต์ในเกมลีก น้อยกว่ามาร์คัส แรชฟอร์ด กับ บรูโน่ แฟร์นันด์สแค่แอสซิสต์เดียวเท่านั้น ในขณะที่รวมทุกรายการแล้วเขายิงได้ 4ประตู กับ7แอสซิสต์จาก46นัด  ต้นซีซั่นเปิดตัวได้อย่างยิ่งใหญ่ แต่หลังจากนั้นเจมส์ก็ค่อยๆดรอปลงๆ จากโอกาสที่ได้ลงสนามมากมายแต่ไม่สามารถสร้างimpactให้กับเกมได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ทำได้ดีพอจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพบางอย่างที่เขามีอยู่ในตัว

ในฤดูกาลนี้เขาถูกใช้งานเพียงจำกัดมากขึ้น ด้วยการที่แรชฟอร์ด มาร์กซิยาล และ กรีนวู้ดเป็นตัวหลักที่ได้รับโอกาสก่อนในการเล่นตำแหน่งตัวริมเส้น แต่ถึงกระนั้นเจมส์ก็ทำประตูได้เทียบเท่าฤดูกาลที่แล้ว ด้วยการได้ลงสนามแค่1ใน4ของจำนวนเกมจากปีก่อน

การลงสนาม12นัดล่าสุดในทุกถ้วย แดนเจมส์ยิงไป 4ประตูแล้ว และทำอีก1แอสซิสต์ให้กับเราได้

ในเกมเมื่อคืนวันพฤหัสที่ผ่านมาที่ยูไนเต็ดขยี้ทีมอันดับ5ในลาลีกาอย่างเรอัลโซเซียดาดไป 0-4 หลังจากที่หลายฝ่ายก็เตือนให้ระวังความอันตรายของดาวิด ซิลบา หรืออัดนาน ยานาไซ ที่จะมาแสดงฝีเท้าแก้แค้นสโมสรเก่าของเขา แม้แต่ศาลาผีก็ยังพรีวิวกังวลประเด็นนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายมันกลายเป็นงานที่ดูเหมือนจะง่ายไปเลยเมื่อแมนยูไนเต็ดยิงประตูในนามของเกมทีมเยือนได้ถึง4เม็ด ซึ่งเป็นเกมที่เจมส์ก็เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเกมนึงของเขา และทำหน้าที่ในบทบาทของเจ้าตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ในตอนนี้อาจจะยังไม่พร้อมลงเป็นตัวจริงบ่อยๆเหมือนซีซั่นที่แล้ว ซึ่งท้ายที่สุด ช่วงปีก่อนความมั่นใจของเขาก็ลดลงเรื่อยๆหลังจากโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ เนื่องจากว่ายูไนเต็ดไม่มีตัวเลือกข้างสนามทดแทน และใช้งานเขาอย่างหนักมากๆ รวมถึงความคาดหวังในตัวที่สูงลิบขึ้นเรื่อยๆจากการเปิดตัวได้อย่างเยี่ยมยอด ยิ่งกดดันเข้าไปอีก แต่ในที่สุดเขาก็ผ่านมันมาได้และอยู่ในฐานะsquad player ทำหน้าที่เป็นนักเตะหมุนเวียนให้กับทีมเราอยู่ขณะนี้

คงจะไม่แฟร์เท่าไหร่ถ้าจะไปคาดหวังกับเขาเหมือนกับที่สองสตาร์เก่าที่ย้ายมาอยู่กับเราแล้วเป็นตำนาน อย่างเดนิส เออร์วิน หรือ เอริค คันโตน่า ที่ทั้งสองเคยสวมเสื้อสีขาว(ลีดส์)ลงสนามเหมือนเจมส์(สวอนซี)มาก่อนเช่นกัน แต่เจมส์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายังช่วยทีมได้ แม้จะต้องผ่านอะไรต่างๆมามากมาย เขาก็ยังเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในทีมเราเหมือนเดิม

ใครจะไปรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขณะนี้เจมส์เพิ่งจะ23 และได้ลงเกมลีกแค่40นัดเท่านั้นเอง แถมยังเจอเรื่องนอกสนามเล่นงานและต้องรับมืออีก แต่เมื่อใดที่เขาได้รับโอกาสและยังพยายามคว้ามันไว้ให้ได้ เราก็ต้องเอาใจช่วยเขาต่อไปนั่นเอง เพราะกับเคสแดเนียล เจมส์แล้วนั้น แฟนผีหลายๆคนอาจจะมองว่าเขา "ไร้ประโยชน์" เพราะไม่สามารถสร้างimpactให้กับทีมอย่างเห็นได้ชัด เหมือนที่บรูโน่ทำด้วยการทั้งยิง ทั้งจ่ายให้กับทีม แบบที่เห็นผลลัพธ์ในเชิงสถิติอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงเป็นนักเตะอีกคนในทีมเรา ที่แฟนผีบางส่วนยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะส่งลงสนาม แฟนบางส่วนก็ด่าหนักถึงขั้นเสียๆหายๆก็มี ไม่ได้ต่างอะไรกับเคสของดอนนี่ ฟานเดอเบคเช่นกัน

"ลงมาแล้วไม่มีประตู ไม่มีแอสซิสต์ = กาก" แฟนบอลบางส่วนอาจจะคิดเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วฟุตบอลมันมีอะไรมากยิ่งไปกว่าประตูหรือแอสซิสต์

ฟุตบอลคือกีฬาที่ต้องเล่นเป็นทีม และคำว่าทีมมันไม่ได้หมายความถึงนักเตะเพียง 13-15 คนที่คุณเลือกเป็นตัวจริง หรือตัวสำรองขาประจำที่ได้เปลี่ยนลงมาในทุกๆแมตช์ เพราะลองจินตนาการง่ายๆว่า ไอ้นักเตะเบอร์ตองประจำทีมของคุณบางคน อยู่ดีๆเกิดโดนขาโหดอย่างโรเมอู หรือปาร์เตย์เสียบหนักจนเดี้ยงขึ้นมาในเกมพรีเมียร์ลีก หรือไม่ก็เจอกองหลังสายแดกเนื้อคนของบางทีมเข้าอัดหนักๆจนร่วงลงไปคุยกับพื้นสนาม

ทีมจะเดินต่อไปได้ยังไง ถ้าใช้งานนักเตะแค่สิบกว่าคนดังกล่าว มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นั่นแหละจึงเป็นที่มาของความสำคัญของนักเตะแบบDaniel James ในฐานะที่เป็น "Squad Player" คนสำคัญ

หากย้อนไปดูยุคประสบความสำเร็จของSir Alex Ferguson ทุกยุคทุกสมัย ใช่ว่าทีมจะเดินหน้าได้ด้วยแค่การมีนักเตะแบบ รูนีย์ โรนัลโด้ รอยคีน พอลสโคลส์ ริโอ วิดิช หรือแม้กระทั่งคันโตน่าได้ซะที่ไหน

ใช้แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับการเป็นแชมป์หรือ?

พูดแบบนี้เฟล็ทเชอร์ โอเชีย ซิลแวสตร์ เวสบราวน์ไม่แคล้วจะเคืองตายเลย เพราะอย่างจอนนี่โอเช พี่แกเป็นSquad Player ที่ลงเล่นให้เราแทบทุกตำแหน่งในสนาม ขาดแค่ยืนเคี้ยวหมากฝรั่งสั่งทีมข้างสนามอย่างเดียวก็แทบจะครบทุกตำแหน่งอยู่แล้ว(ฮา)

เชื่อว่าแฟนบอลดีๆส่วนใหญ่จะเข้าใจกันอยู่แล้วว่า ทีมจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้เลยหากจะประสบความสำเร็จ ทุกๆคนต้องทำงานร่วมกันหมดในฐานะ "ทีม"

ถ้าพูดถึงเรื่องฟอร์มของแดเนียล เจมส์นั้น แฟนผีอาจจะหาโอกาสในการดูฟอร์มได้ยากและน้อยหน่อยเพราะน้องก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกสุดในการลงสนาม และถูกเปลี่ยนลงมาใช้งานก็แค่บางเกมเท่านั้น ตามสไตล์ของโอเล่ที่ค่อนข้างที่จะโน้มเอียงกับการเชื่อใจและยึด11ตัวจริงที่เลือกมา ให้อยู่ในสนามนานที่สุด

แต่ด้วยโอกาสที่ไม่เยอะนั้น แดเนียล เจมส์แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการบางอย่างที่ดีขึ้นมากๆอย่างเห็นได้ชัดเจน ถ้าหลายๆคนไม่สังเกตอาจจะมองผ่านไป

เอาเรื่องแรกก่อน เทียบฟอร์มปีนี้กับปีที่แล้ว อันนี้เห็นชัดแน่นอนว่าเจมส์มีการเล่นที่ดีขึ้นในด้านของการ "เล่นเพื่อทีม" อย่างมาก

เป็นปีก่อน แดเนียล เจมส์นั้นแทบจะไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนักนอกจากการ"รอวิ่ง" ในบอลที่แทงยาวให้เขาวิ่งแข่งกับคู่ต่อสู้ให้ชนะเพื่อหาทางเปิดบอลต่อให้เพื่อนเท่านั้น ซึ่งหลายๆครั้งก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีแค่ความเร็ว แต่ภาคการเล่นนั้นเจมส์ไม่มีเทคนิคที่เหนือชั้นอะไรในการเลี้ยงกินตัวหรือเอาชนะคู่แข่งได้เลย คือพูดง่ายๆมีแต่ความเร็วเท่านั้น แต่สกิลอื่นน้อยมากๆ และฟุตบอลก็ไม่ใช่กีฬาที่จะวัดกันแต่ความเร็วด้วย (ไม่งั้นไปเป็นนักวิ่งดีกว่ามั้ย)

แน่นอนไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำประตูเองที่แทบไม่มีเลย เพราะน้องมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์อยู่แล้ว เพราะในการเล่นนี่คือผู้เล่นตำแหน่ง "Winger"เป็นปีกแท้ๆ ที่ไม่ใช่ "กองหน้ากึ่งปีก" แบบยุคปัจจุบันที่มีสกิลการพังประตูโดดเด่น

นั่นคือเจมส์ในเมื่อก่อน แต่ซีซั่นนี้ 2020/21 การได้ลงสนามของเจมส์แต่ละครั้งเห็นสิ่งที่แตกต่างกว่าเดิมเยอะมากๆ จากเมื่อก่อนจริงๆน้องก็แสดงให้เห็นแล้ว แต่ปีนี้เห็นชัดกว่าเดิมอีก นั่นก็คือ "ความขยันและทุ่มเทในการเล่น" (work rate)ที่สูงมาก เรียกว่าเอาทุกช็อต สู้ทุกช็อต แถมยังแข็งแกร่งทนมือทนตีนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือนักเตะร่างจิ๋วที่สามารถอยู่รอดในลีกไทยไฟต์อย่างพรีเมียร์ลีกได้ โดนเตะซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่แดเนียล เจมส์ก็ผ่านมามันได้โดยที่ร่างกายแกร่งพอจะรับการเล่นแบบนี้ไหว

นอกจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างมากในระดับที่ "สัมผัสได้" ผ่านการเล่นของเขาที่เห็นในสนามนั้น ทีมเวิร์คของเจมส์ก็ดีมากๆ การเล่นของเจมส์ดูดีขึ้น จังหวะการให้บอลกับเพื่อนดูเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น

หากใครจำได้สมัยบรูโน่ย้ายมาใหม่ๆและต้องลงเล่นคู่กับเจมส์นั้น เจมส์ก็แทบจะไม่ยอมมองเพื่อนและพยายามโชว์มากเกินความจำเป็น จนบรูโน่ก็เหมือนจะหัวเสียในสนามที่เพื่อนไม่ยอมจ่าย

แต่ปีนี้สิ่งนั้นไม่เจอในตัวแดเนียล เจมส์อีกแล้ว เพราะน้องดูจะเล่นด้วย "team work" ที่ดียิ่งกว่าเดิม ไม่ฝืนไปด้วยตัวเอง แต่เล่นปีกได้ปั่นป่วนคู่ต่อสู้ และทำเกมร่วมกับเพื่อนๆในสนามได้เนียนตามากๆถ้าใครคอยดูเจมส์ตลอดจะเห็นความต่างของการฝืนในซีซั่นที่แล้วอย่างชัดมากๆ

ฤดูกาลนี้ตัวตนในการเล่นของแดเนียล เจมส์กับแมนยูไนเต็ดชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเดิม

มันอาจจะยังไม่ใช่เรื่องของเกมรุกในตอนนี้ ที่เอาจริงๆแล้วเกมรุกเจมส์ก็ดีขึ้นนะ ด้วยจำนวนนัดที่ลงสนามเพียงแค่1ใน4ของปีก่อน แต่ทำประตูได้4ลูกเท่ากับของทั้งซีซั่นที่แล้วเรียบร้อย อันนี้คือsignที่ชัดเจนมากๆว่าเจมส์พัฒนาขึ้นอย่างยิ่งในแง่ของสถิติ

แต่สิ่งที่ดีกว่านั้น ดีกว่าตัวเลขที่สะท้อนแค่เรื่องของประสิทธิภาพในจังหวะสุดท้าย สิ่งที่เราต้องชื่นชมและพิจารณาวิเคราะห์คือ"การเล่นจริง"ของเขาในสนาม ที่แฟนบอลต้องดูด้วยตาตัวเอง

สิ่งที่เราพบเจอจากเจมส์นั้น นอกจากปีนี้ดูจะทำประตูได้ดีขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นผลสะท้อนจากการมี "ทีมเวิร์ค" และ "ความทุ่มเท" ที่ดีนั้น ทำให้เจมส์โดดเด่นสุดๆในแง่ของ "เกมรับ" ในสนาม

เกมรุกดีขึ้น เล่นเป็นธรรมชาติมากขึ้นและไม่ฝืน

แต่ด้วยความทุ่มเทของน้องมันช่วยทีมได้เยอะมากๆในบริเวณกลางสนาม สิ่งที่เห็นคือเจมส์ช่วยวิ่งไล่บอลเหมือนทีมมีฟูลแบ็คตัวพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกคน เขาจะเพรสซิ่งเร็วใส่คู่ต่อสู้ทันทีที่เขาเห็นช่องว่าคู่แข่งช้า เปิดช่องโหว่ หรือจับบอลลั่น แดเนียล เจมส์จะพุ่งเข้าไปซัดทันทีเหมือนหมาล่าเนื้อ และไม่เคยเกรงกลัวนักเตะที่ตัวใหญ่กว่า

ภาพที่แฟนผีเห็นบ่อยๆคือการที่เราได้ดูน้องเจมส์ที่ตัวเล็กนิดเดียว แต่เข้าไปงัดกับคู่แข่งตัวใหญ่กว่าอยู่เป็นประจำ แถมพลังร่างกายมันก็พอจะต้านไหว ด้วยเวทเทรนนิ่งที่ฝึกฝนมาจนร่างกายแกร่งและเล่นได้เหนียวแน่น เมื่อรวมกับพลังใจแล้วมันทำให้เกมป้องกันของแดเนียล เจมส์นั้นโดดเด่นจริงๆ

พูดง่ายๆคือ เจมส์เวลาเล่นให้ยูไนเต็ด เขาเป็นปีกที่เกมรับเด่นกว่าเกมรุกอย่างมากในปีนี้ ส่วนตอนลงให้ทีมชาติเวลส์ดูเหมือนจะได้ใช้มิติเกมบุกของตัวเองมากกว่า เพราะได้เป็นตัวจริงสม่ำเสมอและได้ลงในตำแหน่งถนัดทางปีกซ้ายที่เล่นได้สะดวกกว่า

เรื่องของRoleการเล่นนี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า ที่แมนยูไนเต็ด แดเนียล เจมส์นั้นเล่นเป็นปีกในบทบาทของ "Defensive Winger" ซึ่งเป็นนักเตะ"ปีก"โดยพื้นฐานตามปกติ คือจะทำเกมริมเส้น ลากเลื้อยหรือเล่นเกมสวนกลับ ครอสบอล เป็นหลัก

แต่สิ่งที่ Defensive Winger มีเหนือกว่าและพิเศษกว่าปีกแบบอื่นๆนั่นก็คือ "เกมรับ" (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดสมัยก่อนอาจจะกลายเป็นสิ่งตลกไป เหมือนกับการที่เมื่อก่อนเอมิล เฮสกีย์ ถูกขนานนามว่าเป็น "กองหน้าตัวรับ" ซึ่งแม้แต่เราเองก็ยังฮา เพราะว่ามันมีซะที่ไหนล่ะกองหน้าตัวรับ หากคิดด้วยคอมมอนเซนส์ปกติ

ในอดีตมันอาจจะเป็นของแปลกและดูฮาถ้าเอาไปพูด เพราะมิติการเล่นของบอลยุคนั้นยังไม่complexเท่าปัจจุบัน กองหน้าก็มีแค่หน้าที่ยิงประตูอย่างเดียวเท่านั้นไม่ต้องทำอย่างอื่น

แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ที่ระบบการเล่นและแทคติกเกมในสนามันมันละเอียดและซับซ้อนขึ้น"อย่างมาก" เนื่องจากวิทยาศาสตร์การกีฬา และภาควิเคราะห์ที่แต่ละทีมมีการลงทุนจ้างและสรรหาเครื่องมือในanalysis ต่างๆมาเพื่อช่วยวิเคราะห์เกมการเล่น

ทั้ง Defensive Striker และ Defensive Winger ก็เป็นตำแหน่งที่มีอยู่จริง และสามารถสร้างแทคติกที่หลากหลายได้อย่างมากมาย กลายเป็นของสนุกสำหรับการดูฟุตบอลไปซะอีก และไม่ใช่เรื่องที่จะโดนดูถูกอีกต่อไป

เพราะกองหน้าตัวรับอย่างเฮสกีย์ ถ้าเป็นสมัยนี้เขาจะถูกจับมาสร้างแทคติกได้หลายๆอย่างเลย เช่นทีมที่ใช้ "ปีก" เป็นหัวหอกด้านข้างสองตัว (ก็อย่างลิเวอร์พูลหรือวูล์ฟเนี่ยแหละ) กองหน้าที่ทำหน้าที่เพียงแค่เป็นตัวพักบอล ไม่ใช่เป้าโจมตีด้วยตัวเอง ถือเป็นคีย์สำคัญในเกมรุกเลยที่จะช่วยให้ปีกตัวยิงสองข้างโดดเด่นได้

แดเนียล เจมส์ ในตำแหน่งที่ถนัดในทีมชาติ เขาคือปีกตัดเข้าในที่เป็น Inverted Winger แต่เมื่อมารับใช้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ต้องมายืนทางขวาเพื่อหลีกทางให้ตัวหลักอย่างมาร์กซิยาลกับแรชฟอร์ดที่จองสัมปทานเลือดเอาไว้ เจมส์จะเป็นปีกสายDefensive Winger เพื่อลงมาช่วยวิ่งไล่บอล ปิดเกมริมเส้น และรอเกมสวนกลับด้วยมิติการวิ่งสปีดเล่นcounter-attackเพื่อหาช่องครอสบอลเป็นหลัก ดังนั้นด้วยฝั่งขวา เจมส์จะเล่นเพียงแค่ตัวรุกสายซัพพอร์ตเท่านั้น

เล่นตำแหน่งไม่ถนัดแบบนี้ แล้วยังหาโอกาสทำประตูได้เรื่อยๆถือว่าทำได้ดีแล้ว

และความโดดเด่นที่เจมส์มี มันคือความขยัน ความทุ่มเทที่ช่วยสนับสนุนทีม และการที่มีwork ethicsสูงมากๆที่ลงต่ำมาช่วยเกมรับอย่างขยันขันแข็ง เหมือนกับเมสัน กรีนวู้ดนั้น มันทำให้roleการเป็น Defensive Winger ของ Daniel James มันดูเด่นมากกว่าในยามรุกมากๆ

ถามว่าไอ้ตำแหน่งDefensive Winger ที่ว่านี้ของเจมส์มันช่วยอะไรทีมได้บ้าง?

เนื่องจากมันเป็นตำแหน่งที่เล่นรับเด่นกว่า เพราะฉะนั้นหลักๆนอกจากเล่นรุมร่วมกับทีม สิ่งที่เขาจะทำให้ได้ก็คือ

1.ช่วยแพ็คเกมรับริมเส้นของคู่แข่งได้

หากวันไหนที่ยูไนเต็ดเจอคู่ต่อสู้ที่ปีกเก่งๆ แบ็คครอสดีๆ ส่งแดเนียล เจมส์ลงมาวิ่งไล่บอล เพรสซิ่งใส่ตัวพวกนี้ พวกเขาจะเล่นได้ยากและโจมตีเราลำบากขึ้น เกมรับยูไนเต็ดจะสบายขึ้นเยอะ

2.ช่วยเรื่องbuild-up play ได้โดดเด่นกว่าปีกสายรุก

เนื่องจากการดร็อปลงต่ำของตำแหน่งการเล่นที่เกือบๆจะลงมาเป็น Wide Midfielder แบบเดียวกับตำแหน่งกิ๊กส์ เบ็ค สมัยก่อนที่เป็น LM หรือ RM

3.เหมาะกับทีมที่ใช้แบ็คดันสูง

ตำแหน่งDefensive Wingerจะเปิดโอกาสให้แบ็คoverlapเติมขึ้นไปสูงได้อยู่บ่อยๆ เพราะเนื่องจากการเล่นที่ลงต่ำมาทำเกมกับทีม และวิ่งเพรสซิ่งบ่อยๆ จึงใช้คู่กับแบ็คเติมสูงได้ดี ซึ่งตอนนี้ชอว์กับวานบิสซาก้าที่เริ่มอัพเกรดเกมรุกตัวเอง ก็ดูน่าจะเล่นกับเจมส์ได้เพราะว่าไม่ทับทางกันกับปีกที่เติมสูงโดยตรงเหมือนพวกInside Forward

จะเห็นชัดว่าจุดเด่นทั้งสามไม่มีอะไรเกี่ยวกับเกมบุกโดยตรงจากตัวเขาเลย เพราะงั้นนี่คือตำแหน่งอีกบทบาทนึงที่ค่อนข้างเป็นตัวซัพพอร์ตให้กับทีม และเล่นแบบปิดทองหลังพระค่อนข้างมาก

ก็เหมือนที่เจมส์ทำและ ถูกแฟนบางส่วนด่านี่แหละครับว่า ไม่มีประตู ไม่มีส่วนร่วมกับทีม แต่จริงๆระยะหลังส่วนร่วมในการเล่นเขาเยอะและดูดีกว่าปีก่อนมากๆเลย และเชื่อว่าแฟนผีหลายๆคนก็ "เห็น" แบบเดียวกับที่ผมเห็นและเขียนในบทความนี้แหละ

เพราะพูดก็พูดเถอะ ในการลงสนามของเขา ความขยันที่แดนเจมส์มอบให้ทีม มันดูจะทำได้ดีและมีประโยชน์กว่าปีกบางคน ที่บางเกมลงสนามไปแล้วไม่วิ่งช่วยทีม ไม่active หรือแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจให้แฟนบอลได้เห็นเลย จากการเล่นตำแหน่งปีก

กลายเป็นว่าแดเนียล เจมส์ ลงสนามไปแล้วบางครั้งดูจะดีและมีประโยชน์กว่าบางคน หรือจะให้พูดตรงๆคือบางทีดีกว่า "อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล" เสียอีก ที่หลายๆครั้งก็มีปัญหาเรื่องการขาดความกระตือรือร้นและทุ่มเทในสนาม และไม่ค่อยชอบไล่บอล หรือไม่พยายามหาตำแหน่ง เหมือนที่นักเตะหลายๆคนทำอย่างเช่นคาวานี่ ฟานเดอเบค หรือบรูโน่

บางมุมเราก็รู้สึกว่า แดเนียล เจมส์ ก็น่าจะได้โอกาสก่อนมาร์กซิยาลหรือแรชฟอร์ดบ้าง เพราะถ้าสองคนนี้ฟอร์มตก เจมส์ก็ควรที่จะมีสิทธิ์ลงสนามบ้างเหมือนกัน เพราะเล่นตำแหน่งถนัดเดียวกันหมดนั่นก็คือ Left Winger ของทีมในแผน 4-2-3-1 เมื่อสองคนดังกล่าวฟอร์มแย่ เจมส์ก็ควรได้รับความเป็นธรรมกับการพิสูจน์ตัวเองบ้าง

บทความนี้นั้นเกิดจากการเขียนถอดความจากบทความต้นทางของต่างประเทศในครึ่งแรก และเขียนเพิ่มในแง่ของฟอร์มการเล่นและความเหมาะสมในการใช้งานช่วงครึ่งหลัง สิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอจริงๆก็คือ อยากให้ทุกคนได้เห็นความมุ่งมั่นและทุ่มเทที่ "สมควรได้รับรางวัลตอบแทนความพยายาม" ของแดเนียล เจมส์บ้าง

ในปีนี้เราได้ดูและเห็นมาบ่อยๆครั้งว่า ถ้านักเตะบางคนยังลงตัวจริงและไม่มีส่วนร่วมกับเกม นำโอกาสไปโยนทิ้งอยู่บ่อยๆ เราก็น่าจะลองให้แดเนียล เจมส์ได้ลงมาแทนบ้าง

เราเห็นถึงประโยชน์ของการมีเขาในสนาม แม้อาจจะไม่มีแอสซิสต์หรือประตูโดยตรง จนทำให้เกิดคำถามมากมาย บางคนแค่เห็นชื่อเจมส์มาก็ด่าแล้วว่า "ลงมาทำไมวะ" แต่จริงๆแล้วเขาลงสนามมาก็ช่วยทีมได้อย่างมหาศาลเลยในแง่ของพลังงานการเล่น และการทำเพื่อทีม

อย่างเกมล่าสุดที่เจอโซเซียดาดก็ช่วยเกมรับได้โดดเด่นมากกว่าการทำเกมรุก โดยวิ่งพล่านไล่เพรสซิ่งใส่นักเตะโซเซียดาดจนเล่นไม่ออกหลายๆตัว  และยังใช้ความเร็วเข้าไปบีบเร็ว และแย่งบอล+ชิงจังหวะกู้บอล(recoveries)กลับมาให้แมนยูได้หลายๆครั้งเวลาที่คู่แข่งจับบอลพลาดหรือลั่นห่างตัว

เจมส์เล่นได้น่าประทับใจจริงๆ เพราะเกมรับก็ยอดเยี่ยม ในขณะที่เกมรุกนัดนี้ก็ทำได้1แอสซิสต์ให้บรูโน่ในลูกที่2 และ1ประตูปิดกล่องของตัวเองที่โซโล่ไปยิงคนเดียวที่เป็นไม้ตายสมัยอยู่สวอนซี ก็ถูกเปิดอัลติมาใช้ในเกมนัดนี้หมดทุกมิติที่มีในตัวของเขา

ทำดีขนาดนี้จะไม่ให้ชื่นชมได้ยังไง

เราไม่หวังอะไรมาก นอกจากอยากให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเล็กๆของเขา แต่หัวใจของความทุ่มเท และความใจสู้ต่ออุปสรรค และการถูกเมินในการใช้งานลงสนาม ก็ยังอดทนต่อสู้เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาตลอดซีซั่นนี้

ดูจากคำสัมภาษณ์ของโซลชาแล้ว เชื่อว่าเร็วๆนี้เจมส์น่าจะได้รับโอกาสในการลงเป็นตัวจริงเพิ่มมากกว่านี้ เพราะโอเล่ก็ชื่นชมคาแรคเตอร์ของเขาจริงๆ ทั้งในห้องแต่งตัวที่เป็นตัวฮาและเป็นที่รักของเพื่อนๆ สร้างบรรยากาศที่ดีให้ทีมได้

และในสนาม การทุ่มเทที่ว่านี่มันก็"ชนะใจ" แฟนปีศาจแดงอย่างเราจริงๆ เพราะเราจะสัมผัสได้ว่าใครพยายามทำเพื่อทีมจริงๆ เราจะรักนักเตะคนนั้นเป็นพิเศษ

ขอให้แฟนผีมองเห็นคุณค่าของแดนเจมส์ และชื่นชมเขาเหมือนอย่างที่คุณพ่อของเขาที่มองลงมาจากฟากฟ้าด้วยความภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้

เรามาเอาใจช่วยและให้กำลังใจ Daniel James กันเถอะครับ

-ศาลาผี-

Reference

https://therepublikofmancunia.com/daniel-james-the-player-united-fans-are-rooting-for/

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด