:::     :::

แก้ปัญหาฉบับเร่งด่วน ด้วย Panic Buys และ Optimization

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
13,431
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แม้จะเป็นการทำแต้มหายไปสองคะแนนในเกมสะดุดกับเซาธ์แธมพ์ตัน แต่ข้อดีของมันคือการชี้จุดอ่อนสำคัญให้เห็นชัดว่า เรายังมีโอกาสและมีเวลาที่จะแก้ไขมันได้ทันเวลาในช่วงต้นซีซั่นนี้ และบทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงวิธีแก้ไขฉบับเร่งด่วนที่เป็นไปได้สำหรับปีศาจแดง

ผู้เขียนเชื่อว่าตอนนี้แฟนบอลปีศาจแดงมีความร้อนรุ่ม และร้อนรนอยู่ในใจพอสมควรหลังจากที่ทีมเราทำได้เพียงแค่บุกไปเสมอกับเซาธ์แธมพ์ตันด้วยสกอร์ 1-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ปัญหาหลักๆของความผิดพลาดที่ทำได้เพียงแค่ผลเสมอวันนี้มีอยู่หลากหลายสาเหตุ ซึ่งเป็น "ปัญหาในภาพรวมของทีม" ด้วย

พูดง่ายๆก็คือ ที่ไม่ชนะเซาธ์แธมพ์ตัน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่อง "หน้างาน" เท่านั้น แต่จริงๆมันคือ จุด่ออนที่ยังมีอยู่ของทีมเราแบบตรงเผง ดังนั้นการวิเคราะห์หาสาเหตุปัญหาที่เกิดจากนัดเซาธ์แธมพ์ตัน ถ้าหาคำตอบเจอได้ เราก็จะพัฒนาทีมให้ดีขึ้นมากกว่านี้

จากการวิเคราะห์ พบว่าเราพอจะมีวิธีที่ใช้แก้ไขปัญหาแบบ "เร่งด่วน" ได้อยู่ ที่จะทำให้ทีมดีขึ้นทันทีแบบเห็นผล ในยามที่ตอนนี้เราจำเป็นต้องเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้เร็วที่สุด ห้ามเป๋ต่อเนื่องในเกมสามที่จะไปเยือนวูล์ฟเด็ดขาด

ปัญหาและวิธีแก้ไขฉบับทันท่วงที มีอะไรบ้าง ไปดูกัน


1.นักเตะที่ดีที่สุดของทีมควรได้ลงสนามก่อน มากกว่าจะปรับแทคติกคล้อยตามคู่ต่อสู้

ในเกมที่พลาดเสมอกับทีมนักบุญนั้น จุดเริ่มต้นมาจากปัญหาเรื่องของรูปแบบของเกมไม่ออกมาอย่างที่ทีมวางแผนไว้ จากแนวคิดที่ตั้งใจให้ทีมเป็นฝ่ายครองบอลบุกใส่เซาธ์แธมพ์ตันด้วยการคุมเกมของเนมันย่า มาติชในแดนกลาง และมีตัวค้ำในเป้าหนึ่งตัวอย่างมาร์กซิยาล ในยามที่จะบุกใส่เซาธ์แธมพ์ตันที่ลงไปตั้งรับ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามวันนั้นก็คือ เมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถเป็นฝ่ายครองบอลได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่จะครองบอลหาช่องเจาะอยู่ในฝั่งของเซาธ์แธมพ์ตันจึงไม่เกิดขึ้น key area คือพื้นที่ที่สู้กันใน middle third ของทั้งสองทีม แทนที่จะเป็นการที่แมนยูจะได้ครองบอลบุกกดพื้นที่ final third ของเซาธ์แธมพ์ตัน

จากเดิมที่ส่งมาติชลงมาเพื่อคอนโทรลจังหวะเกม และ "ครองบอล" บุกใส่เซาธ์แธมพ์ตัน แต่พอไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ตามการวางแผนด้วยแทคติกของโอเล่และทีมงาน

ผลก็คือ "กองหน้าตัวค้ำในกรอบเขตโทษ" อย่างมาร์กซิยาลจึงไม่มีประโยชน์ใดๆกับเกม เพราะบอลไปไม่ถึง และเจ้าตัวก็มีการเล่นหาตำแหน่ง(off the ball)ที่ไม่ค่อยดี และหาช่องให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ดีไม่ได้

เพราะสังเกตได้ว่าเพื่อนไม่ค่อยมีโอกาสจ่ายไปหาเขาได้เลย นั่นเป็นเพราะการหาตำแหน่งที่ไม่ดีพอ และไม่ขยันมากพอจะสร้างตำแหน่งว่างให้เพื่อนจ่ายบอลไปให้ได้

รวมถึงสไตล์การเล่นที่ขึ้นไปค้ำอยู่ข้างหน้าอย่างเดียว แต่ไม่มีการลงมาช่วยเกมกลางสนามของทีม ซึ่งความขยันของเขาน้อยกว่าคาวานี่ กับ กรีนวู้ด ในยามเล่นหน้าเป้าอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อรูปเกมมันไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ เมื่อรวมกับการใช้นักเตะที่ดูเหมือนจะเรียกฟอร์มไม่ได้อย่างมาร์กซิยาล เกมบุกของแมนยูไนเต็ดจึงแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเขาเลย

บอลบุกของทีมจึงไปโหลดหนักอยู่ที่ บรูโน่ ป็อกบา และ "กรีนวู้ด" เป็นหลัก ที่ทำงานหนักมาก ทั้งๆที่เล่นหน้าขวา แต่โอกาสยิง และความสำคัญกับทีม มากกว่ากองหน้าตัวจริงซะอีก

ปัญหาใน ข้อ1. ตรงนี้สะท้อนเรื่องของ "คุณภาพนักเตะในทีม" ที่ส่งลงสนามนั้นไม่ดีพอจะใช้งาน

ถ้าวันนั้นหน้าเป้าเป็นคนอื่นเช่น กรีนวู้ด แล้วใช้ปีกขวาตัวเดิมอย่างเจมส์ เกมอาจจะดีกว่าที่คิดและยิงได้ตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วก็ได

วิธีแก้ปัญหาง่ายๆของประเด็นแรกนี้ก็คือ โอเล่ควรใช้ "นักเตะที่ดีที่สุดในตำแหน่งนั้น" ลงสนาม

โดยเฉพาะตัวที่ฟอร์มดี และปรับการเล่นให้มีประโยชน์กับทีมได้ในทุกๆสถานการณ์นั้น พวกคีย์แมนเหล่านี้ควรถูกส่งลงสนามก่อนเป็นหลัก โดยไม่ควรปรับเปลี่ยนการลงเล่นเพราะกังวลเรื่องแทคติกคู่แข่งมากจนเกินไป เพราะถ้าปรับเปลี่ยนมากเกินไปก็จะกระทบกับธรรมชาติการเล่นที่ดีอยู่แล้วของทีม

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เราต้องยอมรับว่าฝีเท้าของเขาเหลือเพียงแค่ระดับ Squad Player ที่ควรเป็นสำรองเต็มตัว และต่อจากนี้ในตำแหน่งหน้าเป้า โอเล่ ควรใช้ เมสัน กรีนวู้ด หรือไม่ก็ "เอดินสัน คาวานี่" ยืนเล่นกองหน้าตัวเป้าเท่านั้น

ควรเลิกชุดความคิดใช้มาร์กซิยาลเล่นตัวค้ำในกรอบเขตโทษได้แล้ว แม้มาร์กซิยาลจะค้ำในกรอบได้ดีกว่ากรีนวู้ดจริงๆ แต่ถ้าลงสนามไปแล้วสร้างผลงานไม่ได้ ก็ควรจะใช้ตัวอื่นมากกว่า

เพราะเมสัน กรีนวู้ด เป็นกองหน้าที่มีสไตล์การเล่นแบบ Forward และถนัดในการยิงประตูจากรอบนอก ไม่ใช่การชาร์จยิงระยะเผาขนในกรอบ6หลา (ตามสถิติที่บันทึกตำแหน่งต่างๆที่กรีนวู้ดทำประตูได้ อยู่วงนอกทั้งนั้น)

ไม่ใช่ว่าเราตั้งธงกับมาร์กซิยาล นี่ก็ยังพยายามให้กำลังใจอยู่และลุ้นให้มันเรียกฟอร์มกลับมาได้ แต่มันเรียกไม่ขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้นคงต้องถอยลงไปสำรองให้ทีมก่อน ระหว่างที่รอมาร์คัส แรชฟอร์ด ฟื้นฟูจากการผ่าตัดในระยะสองเดือนข้างหน้า

จริงๆแล้วโอเล่ก็ "รู้" ในเรื่องนี้ ถึงได้ถอดมาร์กซิยาลออกเร็วมากตั้งแต่นาทีที่ 57 เลยนั่นเอง

เอดี้ที่มีความฟิต และกลับมาซ้อมกับทีมแล้วนั้น ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับมาเข้าทีมแบบเต็มตัว และเป็นตัวความหวังในแดนหน้าอีกครั้ง ในฐานะกองหน้าตัวเป้า และอาจจะใช้สลับกับเมสัน กรีนวู้ดได้

แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม คาวานี่ ต้องกลับมาลงสนามให้เร็วที่สุด เขาคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกมรุกแมนยูแน่นอนและอันตรายขึ้นเป็นทวีคูณ

นักเตะคนไหนที่ได้โอกาสลงสนามแล้ว แต่ยังไม่สามารถช่วยทีมได้ก็ควรต้องนั่งสำรองไปก่อน


2. ใช้ "ซานโช่ กับ วาราน" ลงเป็นตัวจริงได้แล้ว เพื่อเป็นการ Optimization ให้ทีมได้ใช้ศักยภาพสูงสุดที่มี

ประเด็นนี้สื่อถึง "เจดอน ซานโช่" และ "ราฟาเอล วาราน" แบบตรงๆเลยว่า วิธีแก้ปัญหาให้แมนยูไนเต็ดตอนนี้เพื่อให้ทีมเล่นดีขึ้น นั่นก็คือ การใช้นักเตะคุณภาพระดับท็อปทั้งคู่นี้เป็นตัวจริงให้ทีมได้แล้ว เพื่อใช้ศักยภาพของนักเตะที่มีเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้แสดงฝีเท้าได้ดีที่สุดในตำแหน่งนั้นๆอย่างเต็มขีดความสามารถของนักเตะที่มี

มีของดี ไม่ควรเก็บไว้แค่ข้างสนาม

จริงอยู่ว่า สองคนนี้เพิ่งเข้าทีมมา และต้องการเวลาปรับจูนกับทีม แต่ตอนนี้ล่วงเข้ามาสองนัดผ่านไปในพรีเมียร์ลีกแล้ว และมันถึงเวลาแล้วที่สองคนนี้ต้องลงเป็นตัวจริง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง และใช้งานความเก่งของพวกเขาให้เต็มที่ เพื่อพาทีมคว้าชัยชนะให้ได้

เจดอน ซานโช่ คือปีกระดับทวีปที่ฝีเท้าไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกต่อไป และการลงสนามครึ่งชั่วโมงของเขา ในช่วงต้นของการเจอเซาธ์แธมพ์ตันก็แสดงให้เห็นถึงเซนส์การเล่นที่ไหลลื่น เป็นธรรมชาติ และเล่นบอลทีมเวิร์คได้ฉลาดมาก

แต่พอโอเล่ปรับทีม เปลี่ยนแทคติกที่เสี่ยงขึ้นด้วยการปรับแผนเป็น 4-3-3 ด้วยการถอดเฟร็ดออก ส่งแม็คโทมิเนย์ลงมาเติมสูงในแดนกลาง

และทิ้งมาติชเป็นDMตัวต่ำคนเดียว

ผลปรากฏคือ เกมกลางสนามเละ แมนยูครองบอลไม่ได้ จึงไม่สามารถใช้งานซานโช่ทำเกมบุกได้เลย เพราะกลางสนามโดนเซาธ์แธมพ์ตันเก็บบอลได้หมดแล้ว เนื่องจากแรงกายและขีดพลังของเนมันย่า มาติช แทบจะหมดเกลี้ยง พลังเหลือไม่ถึง50%แล้ว แต่กลับปรับแผนให้เขายืนต่ำคนเดียว

จริงๆสิ่งที่ถูกต้องในวันนั้นคือ หากโอเล่ต้องการใช้มาติชในสนาม เขาควรจะให้แม็คโทมิเนย์ไม่เติมสูง และยืนคู่มาติชในแผนเดิมของ 4-2-3-1 จะดีกว่า เพราะจะทำให้ทีมมีโอกาสเก็บบอล และครองบอลได้

ถ้าคุมเกมได้ เดี๋ยวโอกาสบุกมันจะตามมา 

แต่การส่งแม็คลงมาแล้วให้เติมสูงในแผนที่กลายเป็น 4-3-3 นั้น เป็นการเพิ่มเกมบุกของโอเล่ที่เราพอจะ "เข้าใจได้" ว่าเขาจำเป็นต้อง"เสี่ยง"มากขึ้น

โอเล่ทำถูกต้องแล้วที่พยายามจะบุกเพื่อเอาชนะ เพียงแค่ว่าเขาไม่รอบคอบพอที่จะมองเห็นว่า เนมันย่า มาติช ไม่เหลือพละกำลังมากพอจะยืนมิดฟิลด์ด้านหลังคนเดียวได้แล้ว

ผลคือ เซาธ์แธมพ์ตันได้บอล สวนกลับกันอย่างสนุกสนานในพื้นที่เปิดที่เหลือมาติชในแดนกลางห้อยคนเดียว และแกก็หมดแรง แถมไม่มีสปีดจะไล่ตามคู่แข่งแล้วด้วย ซึ่งไม่ใช่ความผิดของมาติชเลย

แต่เป็นความผิดพลาดเชิงแทคติกแบบเต็มๆในเรื่องนี้

ชัดเจนว่า แม็คที่ลงมาแทนเฟร็ด ขึ้นไปเล่นแดนบนร่วมกับ4ตัวรุก และมาติช กลายเป็น กลางรับเดี่ยว รับผิดชอบพื้นที่หน้าแผงหลังตัวเดียวในช่วงท้ายเกม

เมื่อมองภาพรวมหลังจากที่จบเกมด้วยการทำได้แค่เสมอ เราจะรู้สึกและเห็นปัญหาทันทีว่า สาเหตุที่ไม่ชนะนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้นักเตะได้ไม่เต็มประสิทธิภาพที่มีในทีมจริงๆ

การที่ได้เห็นนักเตะระดับท็อปอย่างวาราน อยู่แค่ข้างสนาม และไม่สามารถลงไปช่วยทีมได้ เป็นอะไรที่น่าเสียดายในเกมนี้ ส่วนซานโช่ก็ลงสนามเป็นสำรองในครึ่งหลัง และโชคร้ายที่ท้ายเกมทีมก็ครองบอลไม่ได้ เขาจึงไม่มีโอกาสทำเกมบุกเลย

เสียวารานกับซานโช่ไป2คนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ เมื่อรวมกับกองหน้าที่ส่งลงสนามก็หายไปจากเกมอีก เท่ากับว่าเราเสียการใช้งานไป 3ตัว

เห็นชัดๆว่าปัญหาของทีมเกมนี้คือการใช้งานทรัพยากรที่มีในมือได้ไม่เต็มศักยภาพทั้งหมดที่มีนั่นเอง ซึ่งก็คือปัญหาของหัวข้อนี้ในการoptimizationนักเตะในทีม

หากทีมปรับแผนใช้นักเตะดีๆตัวอื่นเล่นกองหน้าแบบ False Nine แทนมาร์กซิยาล ยังอาจจะมีลุ้นซะมากกว่า ซึ่งโอเล่เองก็เคยเล่นแผนที่ใช้ F9 มาแล้วหลายครั้งเวลาที่พวกตัวดาวรุ่งลงสนาม โดยเฉพาะ "อามัด เดียโล่" ที่เล่น F9 หลายๆเกมที่ได้ลงสนาม

นักเตะอย่าง ดอนนี่ ฟานเดอเบค ที่น่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีเช่นกันในกรอบเขตโทษซึ่งเป็นของถนัดของเขาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงสนามอีก

เท่ากับว่าเกมนี้เราสูญเสียการใช้ประโยชน์นักเตะให้คุ้มค่า ไป 4 เคส เต็มๆด้วยกัน (วาราน+ซานโช่+ดอนนี่+มาร์กซิยาล)

นักเตะที่ดีที่สุด ควรได้ลงสนามจากหลักการบริหารทีมที่ควรใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดเต็มประสิทธิภาพ

ดังนั้นเมื่อตัวที่มีอยู่บางคนมันไม่ดีพอ เราจึงไม่ควรส่งลงสนามเป็นตัวจริง

ถึงเวลาที่ต้องใช้นักเตะที่ซื้อมาราคาแพงระยับระดับ 72.9 ล้านปอนด์ และ 34ล้านปอนด์ อย่างซานโช่ และ วาราน ลงสนามเป็นตัวจริงได้แล้วตั้งแต่เกมหน้า

เราไม่มีเวลาให้พลาดอีกแล้ว การพลาดนัดที่สองถือว่ายังโชคดี เพราะมีเวลาแก้ตัวอีกเยอะ บอลลีกเล่นกันยาวๆ 38นัด เพิ่งเกมนัดที่สองเท่านั้นแฟนบอลบางคนด่าสาดเสียเทเสียไปแล้ว ซึ่งไม่ควรทำ

แต่เราก็ไม่ควรไว้วางใจ และพลาดแบบนี้ซ้ำสองอีกด้วยการใช้ตัวที่เรียกฟอร์มไม่ออกอย่างหมากลงสนาม หรือกองหลังที่ยังคงมีมาตรฐานการเล่นเดิมที่บางครั้งก็ไม่สามารถป้องกันเกมรับได้ดีพออย่างลินเดอเลิฟ

ควรจะเริ่มสตาร์ทการเล่นฟอร์มดุให้ได้อีกครั้งเหมือนเกมเจอลีดส์ และกลับมาสู่ "pace" เดิมของทีม รวมถึงเริ่มสตาร์ทการชนะต่อเนื่องติดลมบนในสไตล์โอเล่ให้ได้เร็วที่สุด อย่าทำตัวเป็น "Slow Starter" เหมือนที่ผ่านๆมาที่กว่าจะเครื่องร้อนก็ช่วงบ็อกซิ่งเดย์ ซึ่งตอนนั้นแต้มอาจจะห่างจนไล่จ่าฝูงไม่ทัน

ยังไม่สายเกินไป รีบใช้ วาราน & ซานโช่ ลงตัวจริงได้แล้ว

3.ถึงเวลาของ "Panic Buys"

หลายๆคนเห็นคำนี้แล้วจะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเป็นแง่ลบในการซื้อนักเตะ สำหรับ Panic Buys (หรือ Panic Deal ดีลเร่งด่วน) ที่ถูกซื้อเข้ามาอย่างรีบเร่งด่วนทันทีทันใดแบบกะทันหัน

ด้วยความที่มันเป็นการซื้อตัวที่ใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจและจบดีลที่สั้น รวมถึงเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนเพื่อรีบแก้ปัญหา ดีลประเภทตื่นตระหนกแบบนี้จะสู้ดีลปกติที่มีเวลาค่อยๆพิจารณาอย่างถี่ถ้วนไม่ได้

เพราะตามปกติ กว่าที่สโมสรจะจ่ายเงินหลักหลายสิบล้านปอนด์ซื้อนักเตะเข้ามาสักคนหนึ่งนั้น มันคือการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งในการวิเคราะห์ และติดตาม scout ฟอร์มการเล่นอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อแบบดีลทั่วๆไป

แน่นอนครับ Panic Buys (การรีบเร่งซื้ออย่างตื่นตระหนก) มันสู้ "Reasonably Buys" (การซื้ออย่างมีเหตุผลและเหมาะสม) ไม่ได้เลยในทุกประตู

แต่ไม่ได้แปลว่า Panic Buys เป็นสิ่งที่ไม่ดี

เพราะบางครั้งเราต้องการ Panic Buys เพื่อ "แก้ปัญหา" อย่างเร่งด่วนและจำเป็น เช่นปัญหาการขาดแคลนนักเตะ, ปัญหาตัวเจ็บ หรือบางครั้งอาจจะต้องรีบซื้อ เพราะหาใครเข้ามาไม่ได้จริงๆ

ในสถานการณ์ที่เงื่อนไขต่างๆมันบีบบังคับ ถ้ามันจำเป็นจริงๆมันก็ต้องซื้อ ต่อให้เป็นพวกแพนิคดีลแบบเร่งด่วนก็ตามที เพราะยังไงก็ดีกว่า "ไม่ทำอะไรเลย" แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันพังลงเพราะไม่ยอมแก้ปัญหานั่นเอง

ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไรที่ทีมจะใช้วิธีนี้ในการหานักเตะเข้าทีมมาแบบเร่งด่วน เพราะถ้ามันช่วยแก้ไข หรือช่วยบรรเทาปัญหาได้ ก็ถือว่า Panic Buys นั้นได้ช่วยเหลือทีมแล้ว มันก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า "แมวจะสีอะไรก็ได้ ขอให้จับหนูได้"

เช่นกัน ทีมจะซื้อเข้ามาด้วยรูปแบบไหนก็ตาม ขอให้แก้ปัญหาได้ ก็ถือว่าดีพอแล้ว

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกำลังอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องมี Panic Buys เข้ามาอีก "หนึ่งคน" จริงๆในตลาดซัมเมอร์ฤดูกาล 2021/22 นี้

สาเหตุหลักๆ อยู่ที่การขาดแคลน "มิดฟิลด์ตัวรับ" เน้นๆ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกคนน่าจะมองเห็นกันชัดมากๆแล้วว่าทีมกำลังขาดอยู่ และทำบทวิเคราะห์ไปหลายครั้งแล้วเช่นกัน

ปัญหาการขาดกลางรับของแมนยูไนเต็ด เห็นแผลได้ชัดกว่าเดิม ในเกมที่เราไม่ชนะเซาธ์แธมพ์ตันนี่แหละ

หลังจากที่ตีเสมอได้สำเร็จในนาที 55 จากลูกยิงของเมสัน กรีนวู้ด หลังจากนั้นแมนยูไนเต็ดก็บุกโขยกทีมนักบุญต่ออยู่เป็นสิบนาที และสร้างโอกาสได้เยอะเพื่อที่จะยิงอีกประตูเพื่อขึ้นนำให้ได้

เมื่อฮาเซนฮุทเทิลเห็นท่าไม่ดีว่าน่าจะโดนยูไนเต็ดยิงแซงแน่ถ้าทีมยังเล่นแบบเดิมและโดนกดยับเช่นนั้น เขาจึงปรับแทคติก เอาปีกตัวจี๊ดอย่างเฌเนโปออก แล้วส่งกลางรับอย่าง อิบราฮิมา ดิยาลโล่ ลงสนามไป

นั่นคือจุดเปลี่ยนแรกที่ฮาเซนฮุทเทิลจัดการได้ดีมากในการแพ็คเกมนักบุญให้แน่นกว่าเดิมในแดนกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ทีมเสียประตู

เมื่อเจอคู่ต่อสู้แพ็คเกมรับเพิ่มขึ้น และถอยลงไปอุดมากกว่าเดิม โซลชาจึงต้องเพิ่มเกมบุกเข้าไปอีก เพราะต้องการพาแมนยูชนะให้ได้ เขาจึงต้องเติมเกมรุกให้มากกว่าเดิม เพราะคู่แข่งแสดงออกชัดเจนว่าจะอุด และเอาแค่นี้

โซลชาเลือกถอดเฟร็ดออกในนาทีที่76 และส่งแม็คโทมิเนย์ลงมา ปรับแผนการยืนกลายเป็น "4-3-3" อย่างชัดเจนเพื่อเสี่ยงเพิ่มตัวในแดนบนเข้าไปเพิ่ม โดยสั่งให้แม็คโทมิเนย์ ดันสูงขึ้นไปใกล้กับบรูโน่มากขึ้นในแดนบน และเล่นแบบ Box-to-Box

ในขณะที่มิดฟิลด์ตัวล่าง จากเดิมที่ เฟร็ด ยืนคู่กับเนมันย่า มาติช จึงเหลือแค่ มาติช ยืนคนเดียวในฐานะ "มิดฟิลด์ตัวรับเดี่ยว"

ภาพยืนยันในเชิงแทคติกภาพ ขณะที่แมนยูเป็นฝ่ายบุก เราทิ้งตัวที่หมดแรงแล้วเฝ้าหลังบ้านไว้คนเดียว เพราะไม่มีDMสดๆตัวอื่นเหลืออยู่จะลงมาเล่นแทนมาติชได้

ปัญหาเกิดขึ้นทันที เมื่อเสี่ยงเติมตัวขึ้นไปแดนบนมากขึ้น แล้วทีมเล่นพลาดกันในแดนหน้า ให้บอลกันพลาด และร้อนรนเล่นบอลไดเร็คต์กันมากเกินไปซึ่งบอลไปถึงเป้าหมาย โอกาสบุกจึงไม่เกิด

ประกอบกับแดนหลัง เนมันย่า มาติชในช่วงนาที 70นั้น "ไม่เหลือพลังงานในการเล่นมากพอ" ในการคุมกลางต่ำเพียงคนเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเราแอบเห็นว่าเขาใช้พลังงานไปเยอะมากในการเป็นตัวจริงตั้งแต่แรกในเกมนี้ และแรงหมดตั้งแต่ช่วงเริ่มครึ่งหลังแล้วที่ดูเหนื่อยมาก

เวลายิ่งผ่านไป มาติชยิ่งหมดแรงลงไปเรื่อยๆตามอายุ และการเล่นมิดฟิลด์เป็นตำแหน่งที่เหนื่อยและหนักสุดๆในทีม เพราะต้องใช้การวิ่งและการเข้าปะทะชิงจังหวะกันเยอะมากๆ

นี่คือความผิดพลาดที่ปรับแผนใช้กลางรับตัวเดี่ยว แล้วเลือกตัวที่ "หมดแรง" ไปแล้ว มายืนคุมเกมตัวเดียว

จริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของเนมันย่า มาติช แต่ผิดที่การปรับแทคติกที่ทำให้ทีมเสียทรงการคุมเกมต่างหาก

การถอดเฟร็ดออก ไม่ผิด แต่ถ้าปรับแม็คโทมิเนย์มายืนแทนตำแหน่งเฟร็ดเลย และยังคงให้ยืนคู่double pivot เล่นคู่กับมาติช สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แม็คโทมิเนย์ จะเป็นตัวหลักที่คุมเกมแดนกลางแทน โดยมีมาติชคอยช่วยประคอง และลงต่ำไปเป็นHalf-Back ซึ่งหากเป็นแบบนั้น เราก็น่าจะยังคุมเกมได้ เพราะเซ็ตบอลจากแดนหลังได้

รวมถึงกองกลางก็จะมีพลังมากพอในการคัฟเวอร์พื้นที่แดนหลัง ทำให้ทีมสามารถคุมสถานการณ์ และ"ครองบอลได้" เพราะแม็คโทมิเนย์เพิ่งลงไปก็ยังสดอยู่

ถ้ายังเล่น 4-2-3-1 โอกาสที่จะครองบอลและทำเกมบุกช่วงท้ายเกม ก็จะยังมีอยู่

การเสี่ยงเล่นแผนดันมิดฟิลด์ขึ้นสูงอีกตัว ตามที่โอเล่เปิดหน้าแลกเพื่อเอาสามแต้มนั้น จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ดี เพียงแค่ว่าเขาไม่ระมัดระวังพอที่จะฉุกคิดและมองเห็นว่า มาติชในตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรับเดี่ยว" นั้นหมดแรงและคุมเกมไม่ได้แล้ว แมนยูจึงไม่ได้บุกอย่างที่เห็น

20นาทีสุดท้าย เกมจึงตกเป็นของเซาธ์แธมพ์ตัน ที่ตัดบอลและกลายเป็นฝ่ายได้บุกแทนซะยังงั้น แทนที่แมนยูจะได้โถมบุกเพื่อเอาประตูชัย

การจะโถมบุกช่วงท้ายด้วยแผน 4-3-3 เป็นความคิดที่ดีที่ต้องชมว่ากล้าได้กล้าเสีย และโอเล่ไม่ได้ "ป๊อด" อย่างที่บางคนเข้าใจหรืออคติแบบนั้น เขาเปิดเกมรุกมากกว่าเดิมเพื่อที่จะยิงเอาชัยชนะให้ทีม

เพียงแค่ว่า เขาไม่สังเกตเห็นว่า มันมีจุดบกพร่องข้อไหนบ้างถ้าจะเล่นตรงนั้น และเสี่ยงแล้วจะได้ผลไหม หรือรูปเกมเป็นยังไง

ตรงจุดนี้ถือว่า การปรับแทคติกที่วิธีคิดดีแล้ว แต่ยัง"ไม่ละเอียดพอ"

จริงๆแล้ว แผนโถมบุกท้ายเกมในแมตช์นี้ แมนยูไนเต็ดอาจจะทำได้ ถ้าวันนั้นเรามี "มิดฟิลด์ตัวรับเดี่ยว" ที่ยืนในสนามได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถคุมเกมปักหลักหลังบ้านได้คนเดียว และปล่อยให้เพื่อนที่เหลือได้ขึ้นไปบุกกันให้หมด

เราอาจจะได้สามแต้มจากเซาธ์แธมพ์ตันก็ได้ ถ้าทีมมี DM เก่งๆตัวอื่นอีกที่มีพลังพอจะคุมเกม และเป็นแกนกลางสนามให้ทีมได้ แต่ว่าในทีมเราไม่มีมิดฟิลด์ดังกล่าวเหลือแล้ว

เฟร็ด ถูกเปลี่ยนออก / เนมันย่า มาติช หอบแดกอยู่กลางสนาม / แม็คโทมิเนย์จริงๆแล้ววันนั้นก็ไม่ฟิต ถึงไม่ได้ลงตัวจริง แต่ผู้จัดการทีมโดนด่าไปก่อนแล้วในการจัดตัว เพราะถ้าใครติดตามข่าวจริงๆ มันมีแมตช์ปิดที่จัดซ้อมแข่งขึ้นกันเบิร์นลีย์ในวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งแม็คโทมิเนย์ไม่มีชื่อ และไม่ได้ลงสนามในวันนั้นอยู่คนเดียว ในขณะที่เพื่อนคนอื่นได้ลงไปเคาะสนิมหมด นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่าน้องแม็คไม่ฟิตจริงๆ จึงไม่ได้ลงตัวจริงคุ่เฟร็ด

และรายชื่อที่เขียนมาสามคน คือมิดฟิลด์ทั้งหมดที่สามารถเล่น "กลางต่ำ" ให้ทีมได้ มีแค่นี้จริงๆ คือ เฟร็ด แม็คโทมิเนย์ และ มาติช

แล้วเห็นไหมครับว่า ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งที่ "ไม่ฟิต" หรือ บาดเจ็บขึ้นมา อย่างแม็คโทมิเนย์ในนัดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ ตัวเลือกในการส่งลงสนาม และใช้ตัวสำรองลงมาทดแทนในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวต่ำจะไม่เหลือใครเลย

หากมีตัวใดตัวหนึ่งจากสามคนนี้ไม่พร้อมลงสนาม เราจะเหลือตัวเลือกเพียงแค่ 2 คนในแดนกลางทันทีที่สามารถเล่นตัวต่ำได้จริงๆ ทั้งทางเหตุผล และทางมุมมองของโอเล่

ในแผน 4-2-3-1 เราใช้กลางรับ 2 คน เล่นคู่กันเพื่อแพ็คแดนกลางให้แน่น และเน้นเกมรับหลังบ้านสกรีนให้กองหลัง แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยๆทั้งสองคนก็ควรที่จะมีตัวสำรองของตนเอง ตำแหน่งละคน

แปลว่า กลางต่ำของทีม ในแผน 4-2-3-1 ควรจะมีนักเตะที่เล่นตำแหน่งนี้อยู่ในทีมทั้งหมด "4คน" เพื่อทดแทนกันแบบ 2-2 เลย เผื่อพัก เผื่อมีคนเจ็บ เพราะนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์เป็นตำแหน่งที่ใช้ร่างกายหนักมากๆ และต้องหาคนมาช่วยกันเล่นค่อนข้างเยอะ

แต่ทีมมีหมุนเวียนจริงๆอยู่แค่สามเท่านั้นเอง นั่นแปลว่ามันขาดไปอีกคนหนึ่ง

และนอกจากนี้ นักเตะอีกคนที่มักจะไม่ได้ถูกนำมาช่วยใช้งานในตำแหน่งมิดฟิลด์กลางสนาม ก็คือ "ดอนนี่ ฟานเดอเบค"

กรณีของฟานเดอเบคนั้น ต่อกรณีที่ว่าทำไมไม่ค่อยได้ลงมิดฟิลด์ตรงกลาง มีสามแง่มุมนั่นก็คือ

1.เขาคือมิดฟิลด์Shadow Striker ที่เล่นในจุดเดียวกันกับกองหน้าตัว Second Striker และเหมาะกับการเติมสูงวิ่งป่วนหาตำแหน่งในกรอบมากกว่า

2.การเล่นกลางสนามของดอนนี่ ยังไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากมักติดนิสัยการแปะชิ่งสั้น เล่นเร็วคืนบอลเพื่อนอย่างเดียว ซึ่งบางทีดอนนี่ต้องทำอะไรให้มากกว่านี้ในการเล่นแดนกลาง แต่พอเขาเล่นแบบนี้จึงโชว์ฟอร์มได้ไม่ค่อยเด่นในฐานะ "มิดฟิลด์ตัวกลางสนาม"

3.ความเชื่อใจของโซลชา มักจะไม่ค่อยไว้วางใจให้เขาลงสนามมากเท่าที่ควร


ดังนั้น ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางสนาม ดอนนี่ ฟานเดอเบค จึงแทบไม่ถูกนับเป็นตัวเลือกที่จะยืน "มิดฟิลด์กลางสนาม" มากสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่นานๆลงมาทีกับเกมกลางสัปดาห์ที่ไม่ค่อยสำคัญ แค่นั้นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่สามารถนับ VDB เข้ารวมกับอีกสามคนได้ มิดฟิลด์ตรงกลางของทีมก็เลยเหลือแค่ เฟร็ด มาติช แม็คโทมิเนย์ ในภาคปฏิบัติจริง

คำถามคือ เราจะลุยทั้งฤดูกาลด้วยนักเตะมิดฟิลด์กลางต่ำเพียงแค่สามคนเท่านั้นเองเหรอ?

ยิ่งในยามที่แรชฟอร์ดพักฟื้นอีกสองเดือน ป็อกบาถูกใช้เป็น LW แทบทุกเกม เพราะเล่นได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพสุดๆอย่างที่เราเห็นกันมาสองนัด ป็อกบาเล่นเป็นพระเอกของทีมจริงๆ ดังนั้นการจะถอยป็อกลงมาแดนกลาง ถือเป็นตัวเลือกก็จริง แต่แม้จะเอาลงมา ป็อกบาก็ไม่เหมาะกับการยืน "กลางต่ำ" อยู่ดี

เพราะพลังงานการวิ่งไล่บอล การคัฟเวอร์พื้นที่ ป็อกบาทำได้แย่มาก และเขาคือมิดฟิลด์ที่ยืนเยื้องสูงมาในแดนกลาง ตั้งแต่แอเรียการเล่นของตัว Mezzala สูงขึ้นมาจนถึงการเป็นตัว Advance Playmaker ต้องใช้แบบนี้เท่านั้นป็อกบาถึงจะแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมา

ดังนั้น ป็อกบา ก็ไม่สามารถนับเป็นมิดฟิลด์ทางเลือกในการเล่น "กลางต่ำ" ให้ทีมได้ ซึ่งก็ไม่ต่างกับดอนนี่เลย เพียงแค่คนละเหตุผลเท่านั้นเอง

การเอาป็อกบามาเล่นกลางต่ำคืออะไรที่เสียของมาก และเขาก็ไม่เหมาะกับการเอามาเล่นเกมรับอยู่แล้ว

สุดท้ายแล้วมันก็เหลือแค่ แม็ค เฟร็ด มาติช มีสลับกันอยู่แค่นี้เองในเกมสำคัญหลักๆ ส่วนนานๆทีถึงจะมีดอนนี่ ฟานเดอเบค มาเล่นบ้าง แต่ก็เล่นไม่ดี แถมเสียของอีกต่างหาก

ส่วนนักเตะดาวรุ่งอย่าง เจมส์ การ์เนอร์ ก็ต่อสัญญาใหม่ และย้ายออกไปยืมตัวกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตัวสำรองที่เป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งจึงหายไปอีกหนึ่ง

เขียนมาตั้งขนาดนี้ ทั้งการขาดแคลนตัวนักเตะในตำแหน่งนี้ ทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นจากเกมนัดล่าสุด ที่เราชนะไม่ได้ก็เพราะไม่มี "มิดฟิลด์ตัวรับ" ที่ดีและแข็งแกร่งพอจะรับผิดชอบหลังบ้านคนเดียวได้

ถ้าวันนั้นมีกลางรับเก่งๆยืนคุมเกมอยู่ในช่วงท้าย เราจะได้โอกาสโถมบุกใส่รถบัส และอาจยิงแซงช่วงนาทีท้ายๆสำเร็จ

ความต้องการของโอเล่ที่อยากให้ทีมเล่นเกมรุกมากขึ้นด้วยมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมเพิ่มขึ้นอีกตัวในการปรับแผนเป็น 4-3-3 จะไม่มีวันเป็นจริงได้เลย ตราบใดที่เรายังไม่มีการ "ซื้อมิดฟิลด์ตัวรับเข้ามา" แผนนี้จะไม่มีวันสำเร็จ

เพราะ เฟร็ด แม็ค ยังไม่ดีพอจะยืนกลางรับเดี่ยวได้ ในขณะที่มาติช ก็สภาพอย่างที่เห็น แม้คลาสบอลจะเทพเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาท้ายเกม พลังในการเล่นก็หมดแล้ว ความเร็วในการวิ่งไล่บอล และคุมพื้นที่ก็ไม่มี อันจะกลายเป็นช่องให้คู่ต่อสู้เจาะได้อีก

นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่แมนยูไนเต็ดจะต้อง "รีบซื้อมิดฟิลด์ตัวรับ" เข้ามาในทีมอย่างเร่งด่วนที่สุด ถึงขนาดว่าเป็น Panic Buys ก็ต้องทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว

เพราะถ้าปีนี้ เรายังคงใช้มิดฟิลด์เท่าที่มีในการตะลุยเกมอีกทั้งฤดูกาลละก็ บอกได้เลยว่า เสี่ยงที่จะย่ำอยู่กับที่เหลือเกิน

เพื่อไม่ให้เป็นแบบนั้น "Panic Buys ในดีลซื้อ มิดฟิลด์ตัวรับเข้ามา" จึงต้องเกิดขึ้นแล้ว

เมื่อหันไปมองในตลาด และกับตัวที่มีข่าวทั้งหมดกับแมนยูไนเต็ด มีใครที่มีข่าว และมีแนวโน้มกับเราบ้าง

เท่าที่มีชื่อชัดๆก็มี

"เดแคลน ไรซ์" กลางรับขนานแท้จากเวสต์แฮมที่ค่าตัวแพงระยับ

"รูเบน เนเวส" มิดฟิลด์DLPของวูล์ฟแฮมพ์ตัน

"เมาโร อารัมบารี่" มิดฟิลด์ตัวรับจอมดุเดือดจากเกตาเฟ่ ที่ข่าวก็มาแว้บเดียวแล้วหายวับไปกับตาแบบเงียบๆ

"ลีออน โกเร็ตซ์ก้า" กลางจอมบึกตัวทำเกมจากบาเยิร์นมิวนิค

"เอดูอาร์โด้ คาเมวิงก้า" กลางตัวขับเคลื่อนจากแรนส์ ตัวแห่งอนาคตของทีมชาติฝรั่งเศส

"อูเรลียัน ชูอาเมนี่" กลางต่ำสายโฮลดิ้งมิดฟิลด์ของโมนาโก (ที่โรมาโน่ปฏิเสธข่าวไปแล้วอย่างทันท่วงทีภายใน14ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีข่าวขึ้นมา รวมถึงโตลิสโซ่ด้วย)

Camavinga VS Tchouameni

นอกจากนี้ตัวอื่นๆที่น่าสนใจเช่น ซาอูล ญีเกซ ที่มีข่าวเร่ขายอยู่, รวมถึงข่าวเมื่อวันก่อนที่เจอแมวมองแมนยูไปโผล่ในเกมเบนฟิก้า เจอกับ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น ก็มีตัวที่น่าสนใจในตำแหน่งกลางรับอย่าง ยูเลียน ไวเกิล อีกหนึ่งตัว หรือไม่ก็ เกดสัน เฟอร์นานเดส

ส่วนตัวที่น่าสนใจ แต่ไม่มีข่าวกับเราเลยก็เช่น ของดีราคาถูกอย่าง อีฟส์ บิสซูม่า หรือ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กองกลางสาย Ball-winning Midfielder ตัวตัดเกมทั้งคู่

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีข่าวกับมิดฟิลด์ตัวรับหลายตัวมากๆ นับได้ที่มีแนวโน้มก็มีอยู่เป็นสิบตัว แต่ตัวที่มีข่าวจริงๆ ก็มีหกตัวที่ถมดำเน้นเอาไว้ด้านบนนั่นแหละที่มีข่าวกับเรานั่นก็คือ

คาเมวิงก้า / รูเบน เนเวส / ชูอาเมนี่ / เดแคลน ไรซ์ / อารัมบารี่ / โกเร็ตซ์ก้า

ตัดทิ้งไปได้เลยสามคน คือ ชูอาเมนี่ ที่เก่งมาก แต่ข่าวถูกโรมาโน่ดับเทียนไปแล้ว, โกเร็ตซ์ก้า ที่ไม่มีทางเลยที่จะย้ายมาทีมเรา และ อารัมบารี่ ที่มีข่าวแปปเดียวแล้วก็หายไปแล้ว

ตอนนี้ เหลือเพียงแค่ คาเมวิงก้า, เดแคลน ไรซ์ และ รูเบน เนเวส

สามตัวนี้เท่านั้นที่พอจะลุ้นได้แบบจริงๆจังๆ เผื่อฟลุคว่าซื้อมาได้


เป้าหมายเบอร์หนึ่งที่ดีที่สุดในการเสริมตำแหน่งกลางรับอย่าง "เดแคลน ไรซ์" นั้น ค่าตัวแพงระยับแบบที่เวสต์แฮมไม่อยากปล่อย และตั้งค่าหัวเอาไว้ 80-100ล้านปอนด์ เรทเดียวกันกับแจ็ค กรีลิช ซึ่งแมนยูไนเต็ดปีนี้ใช้เงินไปร้อยกว่าล้านปอนด์แล้ว จะให้จ่ายอีกเฉียดๆร้อยล้านปอนด์ มันยากมากๆในซัมเมอร์นี้

แทบจะต้องพับความหวังไปเลยสำหรับเดแคลน ไรซ์ เพราะต่อให้เอาลินการ์ดไปเป็นส่วนหนึ่งของดีล เราก็ยังต้องเพิ่มเงินให้เวสต์แฮมในระดับ 60ล้านปอนด์++ ไปอีกถึงจะซื้อมาได้

แถมปีหน้าก็จะทุ่มซื้อกองหน้าตัวเป้าระดับพระกาฬเข้ามาอีก โอกาสที่เดแคลน ไรซ์จะย้ายมาแมนยูไนเต็ดได้ ต้องลุ้นมากจริงๆว่าทีมจะกล้าทุ่มหรือเปล่า หรือจะเลือกตัวอื่นที่ถูกกว่านี้

ดังนั้น ดีลของน้องข้าวเดแคลน ไรซ์ หวังยากมากๆ

เหลือ คาเมวิงก้า กับ รูเบน เนเวส สองคนสุดท้าย

จากการวิเคราะห์นั้น ตัวที่ "มีโอกาสสูงที่สุด" ในการซื้อมาขัดตาทัพ และช่วยประคองทีม แก้ไขทีมเราในตอนนี้ได้ดีที่สุด คือ "รูเบน เนเวส"

เขาจะเป็น "Panic Buys" ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีความเป็นไปได้ , คุ้มราคา และสามารถเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีมได้เยอะมาก ถ้าทีมตัดสินใจเลือกเขาเข้าทีม

สาเหตุที่ว่า ทำไม รูเบน เนเวส ถึงควรเป็นแพนิคดีล เพื่อช่วยแก้ไขปัญหามิดฟิลด์ตัวรับของแมนยูนั้น มีหลายเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญสุดก็คือ รูเบน เนเวส มีข่าวกับทีมเราจริงๆจังๆมาอยู่เรื่อยๆ และที่สำคัญ ค่าตัวเนเวสไม่แพงเลย ราคาตามข่าวว่ากันว่าอยู่ที่ "35ล้านปอนด์" เท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้แพงเลย และทีมน่าจะเจียดงบมาซื้อได้

ยิ่งหากปล่อยนักเตะบางคนออกจากทีมได้เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ลินการ์ด ที่เวสต์แฮมพยายามติดต่ออยู่ เราก็น่าจะได้เงินเข้ามาราวๆ 25ล้านปอนด์

เอาเงินตรงนี้เพิ่มอีก 10ล้าน เราก็ซื้อรูเบน เนเวส เข้าทีมมาได้แล้ว

ในขณะที่ นายใหญ่วูล์ฟคนเก่าอย่างนูโน่ ก็ย้ายทีมไปอยู่สเปอร์ส แล้ว เนเวสน่าจะคิดไม่ยาก หากว่าแมนยูไนเต็ดไปเคาะประตูถึงหน้าบ้าน หรือโอเล่โทรไปหาเขาในไม่กีวันข้างหน้านี้

ที่สำคัญที่สุดคือ รูเบน เนเวส เหมาะมากในการเข้ามาอุดปัญหาในเชิงแทคติกให้กับทีมได้พอดีในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งจริงๆแล้ว รูเบน เนเวส จะเรียกว่ามิดฟิลด์ตัวรับก็ไม่ได้เต็มปาก แต่เขาคือมิดฟิลด์สาย Deep-lying Playmaker ที่ทำเกมจากแนวลึก ซึ่งจริงๆแล้วมันคือ "รูปแบบหนึ่งของมิดฟิลด์ตัวยืนต่ำ" นั่นเอง

กลางต่ำ มีหลายประเภท เช่น Defensive Midfielder (ไรซ์) / DLP (เนเวส ปีร์โล่) / Ball-winning Midfielder (เอ็นดิดี้ บิสซูม่า) / Holding Midfielder (มาติช ชูอาเมนี่) / Half-Back (มาติช แม็คโทมิเนย์) / Regista (คาร์ริค จอร์จินโญ่ ชาบี้ แวร์รัตติ)

ซึ่ง "รูเบน เนเวส" ที่เป็นDLP ก็ถูกจัดใน category ของ "มิดฟิลด์ตัวต่ำ" อีกรูปแบบหนึ่งเช่นกันที่แมนยูสามารถซื้อมาเพื่อเล่นตำแหน่งนี้ได้

ย้อนไปอีกครั้ง ในการเป็น Panic Buys มันจะต้องเป็นดีลที่ไม่ยากจนเกินไป และพร้อมที่จะซื้อมาได้แบบทันทีทันใด ซึ่งเงื่อนไขเรื่องราคา ความavailable ความเหมาะสมในเชิงแทคติก ที่เขาสามารถโฮลดิ้งได้ เปิดเกมจากแนวลึกได้ แถมยังสด แข็งแกร่ง และยังมี "เกมรับ" ติดปลายนวมอีก จากสถิติการแทคเกิลที่ค่อนข้างสูงและแม่นยำของรูเบน เนเวส ที่หลายคนไม่รู้

แถมพ่วงด้วยออฟชั่นการเล่นในแดนกลางได้ทุกจุด ไม่ว่าจะยืนต่ำเป็นDLP ในตำแหน่งDM, ยืนซัพพอร์ตแดนกลางแบบ CM และให้ทำเกมรุกเป็น AM ก็ยังได้ด้วยสกิลฝีเท้าที่มีสามารถ "ปั้นเกมรุก" ได้อีก

แฟนผีคงยังไม่ลืมประตูนั้นของเขากระมัง

ทุกองค์ประกอบ ชี้ไปที่คนๆเดียวว่า "รูเบน เนเวส" เหมาะมากที่สุดที่แมนยูไนเต็ดจะซื้อเป็น Panic Buys เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ทีมขาดมิดฟิลด์ตัวต่ำในปีนี้

นอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็นนักเตะโปรตุกีสเหมือนกับบรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่มีความเข้าใจกันเป็นอย่างดี และจะเล่นกันเข้าขาได้อย่างแน่นอน เนื่องจากระบบทีมของวูล์ฟกับยูไนเต็ด ใช้แผนการเล่นใกล้เคียงกันมากด้วยการใช้กลางคู่เป็นหลัก

หากซื้อเนเวสเข้าทีมมา จะกลายเป็นเพื่อนคู่หูในแดนกลางของบรูโน่ที่เข้าขากันทันที และจะกลายเป็น "บัฟ" ให้บรูโน่อีกทางนึง ประหนึ่งเนเวสเป็น "บัฟฟ้า" ที่จะคอยป้อนบอลให้บรูโน่ได้ "ร่ายเวทย์แบบ non-stop" ไม่มีมานาหมดอย่างแน่นอน

หากว่าซื้อเนเวสเข้ามาได้ แมนยูไนเต็ดจะสามารถมีลุ้นท้าชิงแชมป์ทันที เนื่องจากองค์ประกอบมันครบทุกจุดแล้ว ตอนนี้ขาดแค่กลางรับอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆที่ไม่มีตัวดีๆจะทดแทนและลงเล่นได้เพียงพอ

Panic Buys จะแก้ปัญหาการเล่นของแมนยูไนเต็ดให้แน่นอนขึ้น เกมหลังบ้านแข็งแกร่งขึ้น และสามารถที่จะปรับแผนเป็น 4-3-3 ในยามที่ทีมต้องการประตูมากๆ เหมือนเกมที่เจอเซาธ์แธมพ์ตันนั่นเอง

สรุปทั้งหมดทั้งมวลแล้ว หากว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต้องการจะแก้ปัญหาของทีมที่ยังคงมีอยู่หลายจุดในตอนนี้แบบเร่งด่วนทันทีนั้น สามวิธีนี้ คือสิ่งที่ทีมจำเป็นต้องทำแบบ "ทันที" เพื่อดังโมเมนตัมของทีมให้พร้อมสำหรับการล่าแชมป์ให้เร็วที่สุด เพราะการเป๋นัดที่สอง ถือว่ายังไม่เสียหายมาก และยังมีลุ้นที่จะกลับมาติดเครื่องทำแต้มลุ้นแชมป์ได้อยู่ หากว่าทำสามอย่างดังกล่าวนี้คือ

1. จัดตัวที่ดีที่สุดลงสนาม เลิกใช้นักเตะที่คุณภาพไม่ถึงอย่างมาร์กซิยาลเป็นตัวจริง และดึง "เอดินสัน คาวานี่" กลับมายืนหน้าเป้าเหมือนเดิมให้เร็วที่สุดสลับกับกรีนวู้ด และเลิกคิดมากจนเกินไปในการปรับแทคติกตามคู่แข่งเกินเหตุ

2. ส่ง "ราฟาเอล วาราน" และ "เจดอน ซานโช่" ลงตัวจริงตั้งแต่เริ่มเกมได้แล้ว หมดเวลารออีกต่อไป


3. Panic Buys จำเป็นต้องเกิดขึ้นแล้ว เพราะมิดฟิลด์ตัวต่ำไม่พอจริงๆ ซึ่งนักเตะที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดในการซื้อเข้ามา และเหมาะกับแทคติกที่กำลังขาดอยู่ของทีมพอดี อย่าง "รูเบน เนเวส" ดีลนี้ต้องซื้อเข้ามาเท่านั้น

หากว่าปีนี้อยากจะลุ้นแชมป์ ไม่ใช่ให้แฟนบอลหมดลุ้นกันตั้งแตไก่โห่ เพราะพลาดแบบเกมเจอเซาธ์แบบนี้บ่อยๆ

สามข้อนี้คือวิธีการแกัปัญหาแมนยูไนเต็ดฉบับเร่งด่วน หากว่าแก้ไขปัญหาตามนี้ หน้าตาของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงต้นซีซั่น จะกลายเป็นทรงนี้ ซึ่งดูน่าเกรงขามสุดๆ และแน่นปึ้กทุกตำแหน่งแน่นอน

รับประกันความโหดทุกตำแหน่ง ทีมในฝันของฤดูกาล 2021/22 เลย

จากแผนการเล่นที่ทำมาให้เห็นนี้ เป็นตัวอย่างของไอเดียการจัดทีม ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ และที่สำคัญก็คือ เราไม่มีทางลืม "กองหน้าแบกทีมตัวจริง" ในขณะนี้อย่าง "เมสัน กรีนวู้ด" เด็ดขาด

ที่ไม่มีในภาพนี้ไม่ได้หมายความว่ากรีนวู้ดจะเป็นสำรอง

เมสัน กรีนวู้ด อยู่ในสถานะตัวจริงของทีมแน่นอนครับ เพียงแค่ว่าจะสลับลงได้ทีเดียวสองตำแหน่งกับ

สลับกับคาวานี่ ในตำแหน่งหน้าเป้า และ สลับกับซานโช่ลงปีกขวาได้

กรีนวู้ดคือตัวจริงแน่นอน ไม่ต้องห่วง อยู่แค่ว่าจะลงตำแหน่งไหนในแต่ละเกม ตามแต่แทคติกเท่านั้นเอง

และถ้าทุกอย่างลงตัว รวมถึงตัวหลักอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมาลงสนามแล้ว ช่วงครึ่งซีซั่นหลังก็อาจจะมีแววที่จะเป็นทรงแบบนี้ได้อีก ซึ่งดูจะโหดกว่าเดิมอีกเท่าตัวเลยเพราะนักเตะแต่ละตำแหน่งคือพีคสุดๆ ดังนี้

ด้านบนนี้ก็เช่นกัน เมสัน กรีนวู้ด สามารถสลับลงหน้าเป้าแทนคาวานี่ได้ หรือ ลงปีกขวาแทนซานโช่ ย้ายซานโช่มายืนปีกซ้าย แล้วใช้คาวานี่ลงสนามได้เช่นกัน กรีนวู้ดคือตัวจริงคนสำคัญของทีมที่ได้ลงแน่ๆ (แค่ไม่ได้ใส่มาในภาพเฉยๆ)

ซึ่งหากว่าทำได้ และจัดทีมได้แบบนี้ รับประกัน100%ว่า แมนยูไนเต็ดจะกลับมาฟอร์มโหดสุดๆ และขึ้นมาเป็นตัวเต็งอย่างมั่นคง และดีพอจะท้าสู้กับทีมลุ้นแชมป์อย่างเชลซี หรือแมนเชสเตอร์ซิตี้แน่นอน

ยังมีเวลาอยู่ รีบแก้ไขซะตอนนี้ และกลับมาเรียกความมั่นใจให้เร็วที่สุดตั้งแต่เกมหน้า

เกมหน้าเจอวูล์ฟ เอาชนะมันให้ได้ หลังจากนั้นก็สอยมิดฟิลด์หมาป่ารายนี้เข้าทีมซะ

ฆ่าผัวมันเสีย แล้วเอาเมียมันมา!!!!


-ศาลาผี-



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด