โชโล่ ซิเมโอเน่ เคยเล่าไว้เมื่อธันวาคมปีที่แล้วในวาระ ครบ 10 ปีในการคุม แอต.มาดริด ว่าช่วงเวลาที่สำคัญซึ่งเป็นจุดพลิกผันของเขากับทีมก็คือการเอาชนะ เรอัล มาดริด ในนัดชิงโกปา เดล เรย์ 2013 ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
เกมนั้น ขออนุญาตคุยสักเล็กน้อยว่า ตัวเองมีบุญได้อยู่ในสนามด้วย แถมยังได้อยู่ในบล็อควีไอพีของกลุ่มครอบครัวนักเตะตราหมี จากการอนุเคราะห์ของผู้บริหารแอต.มาดริด ซึ่งบรรยกาศนั้นมันส์สุดๆ ชนิดที่ว่าเล่าอีกกี่รอบก็ไม่เบื่อ (ไม่รู้คนฟังเบื่อมั๊ยนะ 55)
การที่ โชโล่ ยกเกมนี้ขึ้นมาและบอกว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ผมเห็นด้วย 1000% เพราะผมเห็นภาพนี้ชัดเจน เนื่องจากติดตาม แอตเลติโก มาตลอด
จนมาใกล้ชิดอย่างมากในยุคของ กีเก้ ฟลอเรส ก่อนเปลี่ยนมือที่ เกรกอรีโอ มานซาโน่ ซึ่งทำทีมตกต่ำสุดขีด กระทั่ง โชโล่ ก้าวเข้ามา ซึ่งทีม ตราหมี ก็ไม่ได้ดีอย่างพรวดพราด แต่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ดีขึ้นทีละน้อย ค่อยๆบีบช่องว่างที่โดน มาดริด กับ บาร์ซ่า ทิ้งห่าง
จากนั้นเป็นต้นมา ก็อย่างที่รู้กัน แอตเลติโก ของ โชโล่ ก็เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนยกระดับขึ้นมาเทียบเคียงกับ 2 ยักษ์ใหญ่ของประเทศได้อย่างภาคภูมิใจ
การก้าวเดินของ โชโล่ กับ แอตเลติโก ออกสตาร์ทจากถ้วยแชมป์โกปา เดล เรย์เมื่อปี 2013 จากนั้นทีมก็ประสบความสำเร็จจนคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้ในปี 2014 ,เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถึง 2 ครั้ง,คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
และแม้ว่าจะทิ้งระยะไป 6 ปี จากหนแรก แต่ที่สุด โชโล่ ก็นทีมกลับมาคว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้อีกครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว อันเป็นการพิสูจน์อีกครั้งนึงว่า แอตเลติโก ยังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของ สเปน
มาในฤดูกาลนี้ แอตเลติโก เดินลงสนามในฐานะแชมเปี้ยน ท่ามกลางความวุ่นวายและปัญหาสารพันของ บาร์เซโลน่า คู่แข่งของพวกเขาจึงเหมือนมีแค่เพื่อนร่วมกรุงมาดริดเพียงเท่านั้น
แต่ยิ่งฤดูกาลผ่านไปเรื่อยๆ แอตเลติโก จึงเลือนลางจากโอกาสป้องกันแชมป์ ลีกา มากขึ้นทุกทีๆ ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังแพ้ให้กับ แอธ.บิลเบา ในเกมรอบรองชนะเลิศรายการซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า
เมื่อกลับมาจาก ซาอุดิอาระเบีย เกมนัดแรกก็พบกับความผิดหวังซ้ำอีก คราวนี้เป็นเพื่อนร่วมแคว้นของ แอธ.บิลเบา อย่าง เรอัล โซเซียดาด ที่ยัดเยียดความปราชัยให้ในเกมโกปา เดล เรย์ ด้วยสกอร์ 0-2 เพิ่มสถิติเลวร้ายให้กับตัวเอง โดยตั้งแต่ฤดูกาล 2016 - 2017 ทีมไม่เคยไปได้ไกลกว่ารอบรองชนะเลิศเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นอกจากนั้นแล้ว การจอดป้ายในโกปา เดล เรย์ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ถือเป็นการตอกย้ำภาพความย่ำแย่ของทีมในเวลานี้ ที่ราวกับโดนพายุเล่นงานจนโงหัวไม่ขึ้น
ฤดูกาลนี้ อะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น ทั้งหมดเป็นความน่าผิดหวัง
แอตเลติโก ทำสถิติแพ้ใน ลา ลีกา ติดต่อกัน 4 เกมเป็นครั้งแรกในรอบ 10 นับตั้งแต่ โชโล่ เข้ามากุมบังเหียนเมื่อธันวาคม 2011 โดยแพ้ต่อ เรอัล มายอร์ก้า คาบ้าน 1-2,แพ้ เรอัล มาดริด 0-2,แพ้ เซบีย่า 1-2 และแพ้ กรานาด้า 1-2
รวมทุกรายการแล้ว ปีนี้แค่ครึ่งฤดูกาล พวกเขาแพ้ไปแล้วถึง 10 เกม !
เมื่อถามว่าอะไรคือปัญหาของทีมในซีซั่นนี้ ?
ในทางเทคนิค คำตอบที่พิสูจน์ได้ เมื่อดูจากสถิติตัวเลขก็คือ ‘เกมรับ’
ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อว่า 29 เกมรวมทุกรายการในปีนี้ มีเพียงแค่ 8 เกมเท่านั้นที่ แอตเลติโก รักษาคลีนชีตได้
แต่ไหนแต่ไร เราคุ้นชินกับภาพลักษณ์ความแข็งแกร่งเหนียวแน่นในเกมรับของทีมตราหมี แต่มาวันนี้จุดเด่นที่ว่ากำลังค่อยๆด้อยคุณภาพลง
สาเหตุมาจากอาการบาดเจ็บของเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักอย่าง สเตฟาน ซาวิช ที่พักยาวมาหลายเดือนแล้ว รวมถึงสภาพร่างกายที่เจ็บออดๆแอดๆของ โฮเซ่ คิมิเนซ แนวรับอุรุกวัย นอกจากนี้ปราการหลังคนอื่นๆก็ยังสลับกันเจ็บและแบน ทำให้ขาดความต่อเนื่อง
หลายครั้งในฤดูกาลนี้ที่ โชโล่ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการถอยเอาผู้เล่นอย่าง จอฟเฟร่ ก็องด็อกเบีย บ้าง ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โก้ บ้างขยับมายืนเป็นปราการหลังตัวกลางซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด
นอกจากนั้นแล้ว อีกจุดนึงที่เห็นได้ชัดก็คือ ฟอร์มของตัวหลักในยามนี้อย่าง ฟิลิเป้ และ มาริโอ เอร์โมโซ่ ที่กำลังถดถอย หลายเกมพวกเขาพลาดกันง่ายๆ
ล่าสุดกับ โซเซียดาด เมื่อคืนวันพุธ ฟิลิเป้ ครองบอลพลาดจนโดนฉกไปยิง จนเสียประตู
ไม่เพียงแค่บรรดาแนวรับที่มีปัญหาทั้งบาดเจ็บและฟอร์มตกแล้ว แต่ในส่วนของผู้เล่นคนอื่นๆเองก็ยังดร็อปลงไปด้วย ทำให้ แอตเลติโก โดนโจมตีง่ายมาก
การป้องกันลูกเซตพีซ หรือลูกกลางอากาศที่เคยแกร่งจนแทบไม่มีใครเจาะได้ มาวันนี้ พวกเขาพร้อมจะเสียประตูแทบทุกครั้งที่บอลถูกโยนลอยเข้ามาในกรอบ
การเสียประตูจากความผิดพลาดแบบเด็กประถม การโดนคู่ต่อสู้ทำประตูจากลูกโด่ง ลูกครอส ทำให้ แอตเลติโก กลายเป็นทีมใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน
หลังเกมที่ อาโนเอต้า นักข่าวพยายามจี้ไปที่ผลงานของแผงหลัง ว่าจะแก้ไขอย่างไร ? โชโล่ เองก็ได้แต่ตอบว่า ฟุตบอลมี 2 พื้นที่ที่สำคัญ (กรอบเขตโทษของตัวเองกับของคู่ต่อสู้) หากใครเด็ดขาดกว่าก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะ
“เราจะพยายามแก้ไข มองหาหนทางทำให้ดีขึ้น เราจะมุ่งมั่นต่อไป”
คำตอบของ โชโล่ เป็นคำตอบพื้นๆทั่วไป ไม่ได้ลงลึกรายละเอียดนัก ฟังเหมือนง่ายๆ ก็แค่กลับไปหาจุดบกพร่องและแก้ไขมันในสนามซ้อม
อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปแล้ว ผู้คนเริ่มสงสัยกันว่า แอตเลติโก มีปัญหาอะไรที่มากกว่าเรื่องเกมรับ และการเล่นในสนามหรือไม่ ? มีบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นที่ไม่อาจอธิบายที่ในสาธารณะได้หรือเปล่า ?
นอกเหนือจากเกมรับอันเหนียวแน่นแล้ว อีกหนึ่งจุดแข็งของ แอตเลติโก ในยุคของ โชโล่ ที่ทุกคนทราบดีก็คือ ‘สปิริตทีม’
ตรงนี้แหละ...มันหายไปหรือเปล่า ? ไว้เดี๋ยวเรามาคุยกันในตอนหน้า เร็วๆนี้ครับ
เจมส์ ลา ลีกา
