:::     :::

เจาะ 3 ประเด็นน่าสนใจก่อนเกม เชลซี vs ลิเวอร์พูล พร้อมสถิติน่ารู้ก่อนเกม

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
3,175
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แชมป์แรกของปี 2022 กำลังเดินทางมาถึงรอบตัดสินแล้วนะครับกับฟุตบอลถ้วยรายการ คาราบาว คัพ โดยปีนี้คู่ชิงถือว่าสมน้ำสมเนื้อมากนั่นคือ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล และนี่คือ 5 ประเด็นน่าสนใจของเกมคู่นี้ที่อาจส่งผลต่อผลแพ้-ชนะได้เลย

1) ทีเด็ดอยู่ที่วิงแบ็ค

เชลซี กับ ลิเวอร์พูล เป็นสองทีมที่มีอัตราส่วนการได้ประตูจากผู้เล่นตำแหน่งแบ็คมากที่สุดในลีก โดยทางฝั่งของ เชลซี นั้นได้ประตูจากแบ็คของทีมมากถึง 11 ประตูจากทุกถ้วยทุกรายการในซีซั่นนี้ อีกทั้งยังแอสซิสต์รวมกันมากถึง 14 ครั้งอีกด้วย โดยแบ็คซ้ายขวาของพวกเขาได้แก่ เบน ชิลเวลล์, รีซ เจมส์, มาร์กอส อลอนโซ่ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า 


ขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล แม้แบ็คของพวกเขาจะทำประตูรวมกันได้เพียงแค่ 3 ลูก แต่จุดที่น่าสนใจคือจำนวนแอสซิสต์ครับ เพราะแบ็คของหงส์แดงนั้นมีส่วนร่วมต่อการได้ประตูสูงถึง 34ลูก! โดยแบ่งออกเป็นของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 16 ครั้ง, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 12, คอนสแตนตินอส ซิมิกาส 3, เนโก วิลเลี่ยมส์ 2 และ คอร์เนอร์ แบรดลี่ย์ ดาวรุ่งของทีมอีก 1 ครั้ง


วิงแบ็คของทั้งสองทีมล้วนแล้วแต่เป็นคีย์แมนสำคัญในการเล่นเกมรุก สถิติข้างต้นระบุชัดเจนว่าการขึ้นเกมส่วนใหญ่จะตั้งต้นจากแบ็คทั้งสองข้าง โดยในรายของ เทรนต์ ถือว่าเป็นคนที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด ตัวเลขในลีกฤดูกาลนี้ของเขาพุ่งหนีจากแบ็คคนอื่นไปไกลมาก 23 นัดสร้างโอกาสในการได้ประตูมากถึง 66 ครั้ง และจ่ายบอลแม่นยำถึง 1,216 จาก 1,565 ครั้งเลยทีเดียว


เกมรอบชิงคืนนี้ เชลซี จะไม่สามารถใช้งาน เบน ชิลล์เวลล์ ได้เป็นที่แน่นอนแล้วเนื่องจากบาดเจ็บยาว ส่วนในรายของ รีซ เจมส์ ยังต้องเช็คฟิตอีกครั้ง ขณะที่ ลิเวอร์พูล ในส่วนของแบ็คไม่มีปัญหาฟิตสมบูรณ์ครบทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ จะส่งใครลงสนามเท่านั้นเอง




2) ประตูสำรองที่ไว้ใจได้

อย่างที่รู้กันว่าฟุตบอลรายการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเวทีของผู้เล่นสำรองกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสถิติของผู้รักษาประตูสำรองทั้งสองทีมที่ได้ลงในถ้วยนี้อย่าง เกป้า กับ เคลเลเฮอร์ ถือว่าน่าสนใจมากเพราะทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันเลย


เกป้า ลงสนามในถ้วยคาราบาว คัพ ไปทั้งสิ้น 5 นัด เสียไปเพียง 2 ประตูและเก็บคลีนชีตได้ถึง 3 นัด โดยตั้งแต่รอบก่อนรองชนะเลิศเป็นต้นมาเขายังไม่เสียประตูเลยสักเกมเดียว ขณะที่ เคลเลเฮอร์ ได้ลงในถ้วยนี้ 3 นัด เสียไป 3 ประตูแต่เก็บคลีนชีตไป 2 นัด ซึ่งทั้งสามประตูที่เสียเกิดขึ้นในเกมที่เสมอกับ เลสเตอร์ 3-3 แค่เกมเดียวเท่านั้น 


สถิติที่น่าสนใจของนายทวารทั้งสองคนคือ เกป้า กับ เคลเลเฮอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นจอมเซฟจุดโทษด้วยกันทั้งสิ้น สถิติในการเซฟจุดโทษถ้วยนี้ค่อนข้างสูสีกัน เกป้า เซฟไป 1 หน ส่วน เคลเลเฮอร์ เซฟไป 2 ครั้งในเกมกับ เลสเตอร์ ดังนั้นหากเกมรอบชิงยืดเยื้อไปจนถึงช่วงดวลจุดโทษก็เป็นไปได้ว่าทั้งสองคนจะได้โชว์ฝีมือในการดวลลูกนิ่งให้ได้เห็นก็เป็นได้




3) หน้าเป้าที่ไม่จำเป็น

ทั้ง เชลซี และ ลิเวอร์พูล แม้จะเป็นทีมที่ทำประตูได้มากติดท็อปทรีของลีกก็จริง แต่ด้วยสไตล์การทำทีมของทั้ง ทูเคิ่ล และ คล็อปป์ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นทีมที่นิยมการมีกองหน้าตัวเป้าจอมเข้าฮอสสักเท่าไหร่ เพราะสถิติที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าทีเด็ดในการทำประตูของพวกเขาล้วนมาจากผู้เล่นตำแหน่งอื่นมากกว่ากองหน้าตัวกลาง


ฝั่ง เชลซี มีทีเด็ดอยู่ที่แบ็คและปีก รวมถึงบรรดากองกลางที่สอดขึ้นมาทำประตูได้บ่อย ๆ ขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล เองความหวังหลักคือผู้เล่นปีกอย่าง มาเน่ กับ ซาล่าห์ และมี ดิโอโก้ โชต้า ที่สอดแทรกเข้าไปอยู่ได้ในทุกพื้นที่ของเกมรุก 


ปัญหาในเกมนี้ของ ลิเวอร์พูล คือพวกเขาอาจจะไม่ได้ใช้งาน โชต้า กับ ฟิร์มิโน่ ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน แต่ก็ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่เนื่องจากคนอื่น ๆ ในทีมยังพอทดแทนได้ อีกทั้งสไตล์การเล่นยังใกล้เคียงกันจนส่งใครลงมาก็ไม่กระทบต่อแท็กติกมากนัก ส่วนทางฝั่ง เชลซี นั้นกองหน้าตัวหลักอย่าง โรเมลู ลูกากู ฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนามก็จริงแต่กลับเป็นคำถามตัวโต ๆ ว่า ทูเคิ่ล สมควรส่งลงสนามหรือไม่? 


สถิติ 10 ประตูจาก 28 นัดรวมทุกรายการสำหรับกองหน้าตัวเป้ามันดูน้อยเกินไปจริง ๆ  ยิ่งมองไปที่ค่าตัวมหาศาลบวกกับการมีส่วนร่วมต่อเกมด้วยแล้ว ลูกากู ดูจะกลายเป็นส่วนที่ขาด ๆ เกิน ๆ ในแท็กติกของ ทูเคิ่ล ค่อนข้างมาก ดังนั้นในเกมนัดสำคัญกับ ลิเวอร์พูล คืนพรุ่งนี้จึงมีเครื่องหมายคำถามตัวโต ๆ ว่าควรส่งลงเป็นตัวจริงหรือจะเลือกใช้ ฟอลส์ ไนน์ อย่าง ไค ฮาร์แวร์ตซ์ ที่ยิงไปแล้ว 7 ประตู 4 แอสซิสต์ดีกว่า เพราะการเคลื่อนที่และการเล่นของ ไค นั้นมีประโยชน์มากกว่า ลูกากู ในด้านแท็กติกอย่างชัดเจน




วิเคราะห์ความน่าจะเป็น: เกมคู่นี้ถือว่าเป็นเกมนัดชิงที่สมน้ำสมเนื้อในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นกึ๋นของกุนซือ, คุณภาพนักเตะ และขุมกำลังสำรอง ส่วนตัวผมคิดว่าเกมนี้ 11 ตัวจริงตอนออกสตาร์ตเกมจะมีผลต่อทิศทางของแท็กติกในการดวลกันเป็นอย่างมาก


เชลซี หากเลือกใช้ ฟอลส์ ไนน์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามน่าจะช่วยทำให้เกมการเล่นมีสมดุลกว่าใช้หน้าเป้าอย่าง ลูกากู ขณะที่คีย์แมนแดนกลางของทั้งสองทีมก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ตัดสินเกมได้ไม่แพ้กัน 


สื่ออังกฤษต่างคาดการณ์ผลแข่งขันแตกโดยส่วนใหญ่เลือกให้ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายกำชัยในเวลาด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนทรรศนะของผมคิดว่าน่าจะเสมอกัน 2-2 แล้วไปตัดสินกันในช่วงดวลจุดโทษ


สถิติน่ารู้ของคู่นี้


- ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครมานานถึง 12 นัดรวมทุกถ้วยทุกรายการ โดยเกมสุดท้ายที่เป็นฝ่ายปราชัยคือเกมที่แพ้ เลสเตอร์ หวุดหวิด 0-1 ตอนปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว 

- 3 นัดหลังสุด ลิเวอร์พูล ยิงได้ 11 ประตูและเสียแค่ประตูเดียวเท่านั้น

- เชลซี เข้าชิงในฟุตบอลถ้วยเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันแล้วนับตั้งแต่ปี 2017 โดยเป็นเอฟเอ คัพ 4 ครั้ง และลีก คัพ 2 ครั้งรวมปีนี้ด้วย

- สถิติการเจอกันของทั้งสองทีมคือ เชลซี ชนะ 65, เสมอ 43 และ ลิเวอร์พูล ชนะไปมากถึง 82 ครั้ง หากนับแค่ 5 นัดหลังสุดก็ยังเป็นหงส์แดงที่เหนือกว่าเมื่อชนะ 2 เสมอ 2 และแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น

- สถิติการดวลกันของ ทูเคิ่ล กับ คล็อปป์ นับเฉพาะในอังกฤษคือเจอกัน 7 ครั้ง ทูเคิ่ล ชนะ คล็อปป์ ได้ 2 เสมอ 3 และแพ้ไป 2 ถือว่าสูสีกันมากทีเดียว




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด