:::     :::

การจบสกอร์เป็นเหตุ

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
1,386
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นับว่าเป็นผลเสมอที่อารมณ์ต่างกับช่วงกลางสัปดาห์ เพราะการบุกตีเจ๊า แอตเลติโก มาดริด ในเวทียุโรปถือเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจหากดูจากรูปเกมตลอด 90 นาที

ผิดกับนัดล่าสุดที่เปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด ดวล วัตฟอร์ด ความผิดหวังปกคลุมไปทั่วสนาม เนื่องจากขุนพลปิศาจแดงกดดันทีมเยือนตลอด 90 นาที มีโอกาสทองมากมายแต่ดันปิดเกมไม่ได้เอง

ให้พูดตรงๆ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่สามารถฉวยโอกาสมาครองได้ ถึงจะมีจังหวะน่าเสียดายที่บอลชนเสาในช่วงต้นครึ่งแรก ทว่าหลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กดทีมเยือนแทบโงหัวไม่ขึ้น แต่กลับไร้ซึ่งความเด็ดขาด

เรื่องราวเหล่านี้กลับมาเล่นงาน ผีแดง อีกครั้ง และมันดูเหมือนปัญหาที่แก้ไม่ตก กลายมาเป็นเรื่องชวนปวดหัวให้กับ ราล์ฟ รังนิก ที่ต้องออกมาบ่นหลังจบเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

แม้ทีมจะครองบอลหาจังหวะเล่นงาน มีโอกาสสำคัญๆ ในการเจาะตาข่าย วัตฟอร์ด แต่จังหวะสุดท้ายต้องมีอะไรบางอย่างมาขัดขวางไม่ว่าจะเป็น เบน ฟอสเตอร์ ที่เซฟลูกยิงจ่อๆ ของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หรือการเข้าทำที่ผิดพลาดกันเองของแข้งเจ้าถิ่น

ที่สำคัญคือเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ดูเหมือนนักเตะปิศาจแดงจะกดดันตัวเองมากขึ้น เห็นได้จากจังหวะของบอลสุดท้ายที่ไม่เป็นใจ ดูขาดๆ เกินๆ และที่สำคัญคือไม่สามารถเล่นงานแนวรับ แตนอาละวาด ได้แบบจังเบอร์

หลายครั้งที่บอลเปิดเข้าเขตโทษแต่กลับโดนสกัดหรือลอยออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้น หลายครั้งที่การต่อบอลจังหวะสุดท้ายสั้นหรือเบาไป มีหลายครั้งจังหวะไม่ลงตัวทำให้บอลตายและโดนตัด




ถึงจะครองเกมและกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไม่สามารถหาการจบสุดท้ายที่ดีได้ ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่เห็นพร้อมความผิดหวังที่ได้เพียง 1 คะแนน

จึงไม่แปลกใจที่หลายๆ คนมองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาวังวนเดิมๆ หลังจากชนะ 2 นัดติดต่อกัน เพราะตอนนี้ทีมต้องพบผลเสมอ 2 เกมซ้อน ซึ่งแน่นอนว่านัดดวล ตราหมี เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะทีมเป็นรองแทบทั้งเกมก่อนจะฉวยโอกาสตีเสมอ แถมการบุกไปเจ๊าลูกทีม ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลยหากพิจารณาจากทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น

กระนั้นบรรยากาศแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงหลังจบเกมล่าสุด เพราะทีมเป็นต่อก่อนลงสนาม บรรยากาศในทีมที่ดีขึ้นบวกกับผลงานก่อนหน้านี้ทำให้หลายคนมองว่าลูกทีม รังนิก คงไม่มีปัญหาในการคว้าชัย แต่บทสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น

สิ่งที่ต้องตระหนักมากที่สุดคือพิจารณาตัวเองถึงสาเหตุที่ทำได้เพียงคะแนนเดียว ซึ่งปัจจัยสำคัญก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้น มันมาจากตัวเองแทบทั้งหมด เพราะโอกาสในเกมเหนือกว่าทีมเยือนอย่างมาก ไหนจะการครองบอลหรือสร้างจังหวะเข้าทำ

ทุกคนทราบดีถึงปัญหาที่กำลังเล่นงานทีมในตอนนี้ มันคือความต่อเนื่องที่ รังนิก โหยหาจากลูกทีม มันคือความสมดุลที่ทีมต้องเสาะหาหากต้องการไปยังเป้าหมายที่วางไว้

ยิ่งเกมดำเนินไป รังนิก ยอมเปิดหน้าบุกเต็มกำลัง จัดการถอดมิดฟิลด์ตัวกลางออกไป 2 รายพร้อมส่งแนวรุกอย่าง เจดัน ซานโช่ (62) และ มาร์คัส แรชฟอร์ด (74) ซึ่งเรียกเสียงเชียร์จากแฟนบอลได้มากโข เพราะมันเป็นการส่งสัญญาณไปว่าต้องการ 3 คะแนนเพียงเท่านั้น





ท้ายที่สุดถึงจะเปิดหน้าเต็มพิกัดโดยมีแนวรุกในสนามถึง 5 ตัว ไหนจะมีบรรดาฟูลแบ็กที่ดันเกมไปอยู่ในแดนคู่แข่ง แต่ก็อย่างที่เห็นเมื่อไม่สามารถหาจังหวะจะแจ้งหรือมีลูกยิงผีจับยัด มันเลยจบลงด้วยผลเสมอ

ที่กล่าวมาไม่ได้จะดูแคลน วัตฟอร์ด แต่อย่างใด เพราะส่วนหนึ่งต้องชมแนวรับทีมเยือนที่ป้องกันเกมรุก ปิศาจแดง ได้ดี แม้จะมีบางจังหวะที่ผิดพลาดแต่ก็รอดตัวเพราะเจ้าถิ่นไม่เฉียบคม (โดยเฉพาะต้นครึ่งหลังที่ แอนโธนี่ เอลังก้า ยิงจ่อๆ หลุดเสาแรก)

การตั้งรับของ วัตฟอร์ด ไม่ต้องคิดมากเพราะทุกๆ คนลงไปอัดในบริเวณกรอบเขตโทษพร้อมปิดพื้นที่ โรนัลโด้ โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่กองหน้าโปรตุเกสแทบจะไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบงามๆ หรือบริเวณริมเส้นที่โดนบีบทุกๆ ครั้งเมื่อเดินเกมขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น เอลังก้า หรือแม้แต่ แรชฟอร์ด และ ซานโช่ โดนตามประกบแบบไม่ห่าง แม้จะมีการตัดลากเข้าในแต่บอลสุดท้ายก็มักจะตายหรือพลาดกันเอง

อีกทั้งบรรดาแดนกลางทีมเยือนดูจะขยันกว่าเดิมเป็น 2 เท่า โดยเฉพาะ มุสซ่า ซิสโซโก้ ที่เป็น 'MVP' อีกครั้ง เพราะแข้งชาวฝรั่งเศสไล่ตัดเกม แย่งบอล ทำลายจังหวะ หรือแม้แต่พยายามทำเกมสวนกลับ (เมื่อมีโอกาส) แค่มิดฟิลด์ตัวนี้รายเดียวก็แทบคุมพื้นที่ได้หมด

ถือเป็นเกมที่น่าผิดหวัง ซึ่งมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้คงทำได้เพียงกลับไปทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น (อีกครั้ง) และมองไปยังเกมต่อไป

หมดโปรแกรมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ปิศาจแดง จะได้พัก 1 สัปดาห์เต็มเพราะไม่มีคิวลงเตะ เอฟเอ คัพ แต่หลังจากนี้ศึกใหญ่กำลังรอพวกเขาอยู่ 

หลายคนคงทราบแล้วว่าต่อจากนี้ รังนิก ต้องพาลูกทีมเจองานหนักไล่ตั้งแต่ แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส, แอตเลติโก มาดริด และ ลิเวอร์พูล ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของ ผีแดง ในเดือนมีนาคม

กับผลงานที่ขึ้นๆ ลงๆ ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ และหากพิจารณาจากคู่แข่งที่ต่อคิวเข้ามาหลังจากนี้ กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็สามารถเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ว่าแข้งผีแดงจะงัดฟอร์มเก่งออกมาถูกเวลาและผ่านช่วงหฤโหดนี้ไปแบบที่ต้องการได้หรือไม่



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด