:::     :::

ถ้าไม่มีหัวใจนักสู้ อย่าพูดว่ากูพยายามแล้ว [PAIN]

วันจันทร์ที่ 07 มีนาคม 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,939
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความเจ็บปวดของแฟนผีที่ต้องเห็นทีมไม่มีจิตวิญญาณของนักสู้มากพอในการเจอคู่แข่งที่เหนือกว่า การพ่ายแพ้ยังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับการที่ใจไม่สู้ในสนาม!

เกมดาร์บี้แมตช์เมืองแมนเชสเตอร์ จบลงด้วยการพ่ายแพ้ของปีศาจแดงต่อเจ้าบ้านไปอย่างขาดลอย 4-1 โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่เกมสู้ไม่ได้เลย และโอกาสยิงเป็น 0 ทีมไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะโอกาสยิง, ประตู, expected goals, การครองบอล หรือการได้บอล สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง

ตัวเลขในภาพนี้คงจะตอบอะไรได้ดีแล้วว่า ครึ่งหลังเป็นสถิติที่น่าตกใจมากๆว่า ทีมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งๆที่ดูเหมือนว่าครึ่งแรกจะมีความหวัง โดนนำอยู่แค่ลูกเดียว แต่เมื่อผ่าน 45 นาทีลงมา กลับกลายเป็น "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า" ที่แก้ไขเกมมาได้ดีกว่ามากๆในสามประเด็นสำคัญ นั่นก็คือ การครองบอลที่เข้มข้นและแน่นอนมากขึ้น, การตัดเกมสวนกลับ และการโจมตีใส่จุดอ่อนของแมนยูไนเต็ดในแนวรับ

สถิติ 0 แทบจะทุกค่าของแมนยูไนเต็ดในครึ่งหลัง มันไม่มีคำอื่นใดที่จะพูดได้แล้วนอกจากคำว่า Outclass อีกครั้ง

เฮียเนฟโพสต์..

ดูตัวเลขกันจะจะ ครึ่งแรก ครึ่งหลัง คุณภาพ และความต่างชั้น..

สิ่งที่เห็นในสนามเมื่อวานในหลายๆช็อต หลายๆเหตุการณ์ในเกม คือคำตอบที่ชัดเจนมากว่า "ปัญหาสำคัญ" ที่ฝังรากลึกของแมนยูอยู่ตรงไหน หนึ่งในจังหวะในเกมนี้มีสิ่งที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนอะไรได้ดีมาก

จาก 90 นาที มีปัญหาของทีมให้ได้เห็นมากมาย และบทความนี้ขอหยิบยกเอาประเด็นจากจังหวะหนึ่งของเกมๆนี้ แต่เปิดเผยให้เห็นถึง "จุดอ่อนสำคัญ" ของทีม และสะท้อนภาพปัญหาใหญ่ของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างดีทีเดียว

สิ่งที่เราพูดถึงคือจังหวะประตู 2-1 ที่ซิตี้ยิงขึ้นนำอีกครั้ง จากเควิน เดอ บรอยน์

การเสียประตูที่สอง จากจังหวะที่ลินเดอเลิฟออกไปพลาดและโดนโฟเด้นแตะหลบเข้าไปยิงดาบแรก โดนเดเคอาเซฟไว้ได้

ก่อนที่แบร์นาโด้จะเข้ามาซ้ำดาบสองติดแมกไกวร์ และอเล็กซ์ เตลีส ที่สกัดบอลไม่ออกจากปากประตู จากนั้นจึงโดน เควิน เดอบรอยเหนอะ ซ้ำดาบเล่มที่สามเข้าไปในที่สุด

เจ็บปวดพอๆกับโดนโซโลกดอัลติท่าเพลงดาบลับสามพันโลก ฟันฉัวะๆๆเข้ามาแบบไม่มีปรานี

เราเห็นอะไรจากลูกนี้? เกมรับห่วย? อ่ะ อันนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

แต่มันมีอะไรที่ฝังรากลึกยิ่งกว่านั้นอีก เป็นรากที่ชอนไชเข้าไปกัดกินปีศาจแดงให้ล้มแล้วไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในเร็ววัน

เพราะรากเน่าอยู่ข้างใน

พอยท์ที่เราจะสื่อ ไม่ใช่ความเละเทะของเกมรับที่โดนฉีกเป็นชิ้นๆจนยับเยิน การโดนทีมอย่างซิตี้ที่ต่อบอลกันด้วยคุณภาพระดับสูงเล่นงานนั้นถือว่าเป็นภาพชินตาที่ลูกทีมเป๊ปทำได้อยู่แล้ว และเกมรับของยูไนเต็ดมันก็ขาดคุณภาพที่ดีพอจริงๆในจังหวะดังกล่าว

แต่มี "สิ่งที่น่าเศร้า" แสดงออกมาในจังหวะนี้ ที่ผู้เขียนจะขอให้คุณผู้อ่านไปกดดูใน"ไฮไลท์" ที่เราเสียประตูที่สอง สามารถดูจากลิงค์นี้ ในช็อตจังหวะที่โดนประตู 2-1

จากจังหวะประตู2นี้ คุณเห็นอะไรที่มัน "ผิดปกติบ้าง"

มันชัดมาก และยิ่งทำให้แฟนผีรู้สึกเศร้าใจหนักกว่าสกอร์ 4-1 เสียอีก ถ้าคุณไปย้อนดูจังหวะนี้และสังเกตดีๆ

เพราะที่น่ากังวลไม่ใช่ระบบการเล่น

แต่มันคือ "จิตใจนักสู้" ของนักเตะเราในสนามที่ไม่มีเลย..

ภาพด้านบนคือจังหวะ "ดาบแรก" ที่ฟิล โฟเด้น เข้าถึงบอลก่อน และแตะหลบวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ออกมาจั่วลมในช็อตนี้เพราะช้ากว่าหนึ่งจังหวะเต็มๆ ทำให้เขาหลุดเข้าไปเดี่ยวใส่ดาวิด เดเคอา โดยที่มีสองนักเตะขนาบข้างอยู่

วานบิสซาก้า และ แฮรี่ แมกไกวร์

สองคนนี้ปฏิกิริยาตอบสนองถือว่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แมกไกวร์นี่ชัดเจน คือกว่าจะรู้สึกตัวได้ เท่านั้นยังไม่พอ งึกๆงักๆ จะเข้าก็ไม่เข้า ยืน "มอง" โฟเด้น ใช้สายตาป้องกัน แล้วปล่อยภาระให้เป็นของดาวิด เดเคอาคนเดียว

อันนี้คือโคตรแย่ เพราะถ้าเป็นกองหลังที่มีจิตใจของการทุ่มเทตัวเองเพื่อป้องกันประตูให้ได้ ลูกนี้แมกไกวร์ต้องเข้าแล้ว และไม่ว่ากองหลังที่ไหน เจอแบบนี้ก็ต้องโถมตัวเข้าไปบล็อคบ้าง ไม่ใช่ปล่อยจอยยืนมอง

(เพราะต่อให้คนที่ออกไปสกัดแล้วพลาดอย่างลินเดอเลิฟ เพื่อนร่วมทีมควรจะช่วยกันอุดรอยรั่วของเพื่อนที่พลาด เพราะฟุตบอลคือทีมเวิร์ค)

ช็อตบล็อคจังหวะสุดท้าย อย่าอ้างว่า "กลัวฟาล์ว" นี่เป็นหน้าที่ของกองหลังตัวสุดท้าย แต่แมกไกวร์ก็ไม่เข้าบอล ส่วนวานบิสซาก้าก็ไม่พยายามเข้าไปสกัดให้เต็มที่ ขยับเข้ามาใกล้แล้วก็ยืนมองโฟเด้นเหมือนกัน ไม่แม้แต่จะพยายามแหย่สกัด

แต่ความเทพของเดเคอา ก็ยังเซฟลูกยิงระยะเผาขนแบบนี้ได้ ทั้งๆที่น่าจะโดนตั้งแต่ "ดาบแรก" แล้ว

เห็นชัดว่าเดฟมันสำคัญกับชะตาชีวิตของแมนยูปีนี้มากๆ เพราะถ้าไม่มีเขา ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ตรงไหน และฤดูกาลนี้อาจจะจบลงตั้งแต่เกมที่ 28-29 ด้วยการ "ไม่มีลุ้นท็อปโฟร์" เลยแม้แต่นิดเดียวก็เป็นได้)

- ดาบที่สอง การวิ่งเข้ามาซ้ำของแบร์นาโด้ ซิลวา จุดเริ่มต้นมาจากอะไร? การเติมนักเตะจากแถวสองเข้ามาโจมตีใส่แมนยูอย่างอิสระ ไร้การป้องกัน ไร้การประกบใดๆทั้งสิ้น คือเหตุผลของการยิงดอกสอง ที่สะท้อนให้เห็นความ active มุ่งมั่น ของนักเตะซิตี้อย่างมากในจังหวะทำประตู ที่เติมเข้ามาซ้ำจากวงนอกแบบโล่งๆ

ตัวประกบแบร์นาโด้ ซิลวา "เดิน" ในจังหวะนี้ ปล่อยแบร์นาโด้วิ่งเข้ามาในกรอบเขตโทษ และเติมเข้ามาเป็นนักเตะคนที่ 4 ที่เข้ามาในพื้นที่บริเวณรอบๆกรอบ 6 หลาของแมนยูไนเต็ด

ในขณะที่ตัวป้องกันในพื้นที่ไข่แดงหน้านายทวารของเราตรงนั้น เหลือแค่ "3คน"

ถามผู้อ่านตรงนี้ว่า มันควรเกิดขึ้นหรือไม่ กับการเติมของคู่แข่งที่บุกเข้ามาในพื้นที่จุดตายของทีม ล่อเป้าใส่เดเคอากันอย่างสนุกตีนส์ ด้วยนักเตะที่ outnumbered ผู้เล่นแมนยูในพื้นที่ 6 หลา (ตามภาพเหลือนักเตะเสื้อแดง3ตัว ล้อมกรอบด้วยเสื้อฟ้า4ตัวในจุดอันตรายที่สุด)

ดาบสองสะท้อนความล้มเหลวสุดๆในแง่ของความคิด ความเข้าใจ และการรับรู้ของแนวรับในสนาม ที่ไม่สนใจตัวประกบ และความทุ่มเท + ปฏิกิริยาตอบสนองในการเล่นไม่มีเลย ซึ่งช็อตนี้ผมไม่ได้หมายถึงนักเตะบริเวณนั้นอย่าง แมกไกวร์ AWB และอเล็กซ์ เตลีส แล้ว เพราะมีเพียงแค่สามคนนั้นที่พยายามป้องกันประตูอย่างอุตลุด

แต่.. คนอื่นไปไหนหมด และใครอยู่ใกล้แถวๆนั้นนอกจากสามตัวดังกล่าว ลองดูที่ภาพดีๆ

-เดินดู

-ไม่มีสมาธิ

-ปล่อยให้แบร์นาโด้วิ่งแซงตัวเองเข้ามายิงง่ายๆ ทั้งๆที่อยู่ในจุดที่ใกล้กว่าแบร์นาโด้ในวินาทีแรกๆ

เฟร็ด ลินเดอเลิฟ ซานโช่ แม็คโทมิเนย์ เดินตั้งแต่ช็อตแรกที่โฟเด้นหลุดไปยิง และรีบไม่ตามลงไปช่วย ทั้งๆที่ถ้าวิ่งเข้าไปอาจจะเก็บบอลจังหวะสองได้

คุณอาจจะนึกไม่ออกว่าใคร และผมจะบอกว่า ไม่ใช่แอนโธนี เอแลงก้า ที่เป็นคนผิด เพราะนักเตะก็เป็นตัวรุกที่จะโทษก็ไม่ได้เต็มปากว่า เขาไม่ยอมตามลงมาช่วย

เพราะตัวประกบดังกล่าว และตัวสกรีนแถวสองที่แท้จริง ไม่ใช่หน้าที่เขาเลย (เอแลงก้ารับหน้าที่ไล่ตามเพรสซิ่ง ป้องกันใส่เจา คันเซโล่นะครับ)

ดาบสอง คือความรับผิดชอบของ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ เต็มๆ ที่ยืนดูและไม่เตรียมพร้อมที่จะเข้าสกัดบอลในจังหวะสอง เป็นเพียงคนเดียวที่น่าจะช่วยวิ่งเข้าไปrecoveryบอลได้ และเคลียร์ออกจากตำแหน่งอันตรายได้จากลูกเซฟของเดเคอา

แต่ .. อย่างที่เห็นครับ

- ดาบสาม ที่น่าตกใจคือ ผู้ใช้ดาบที่สองอย่างแบร์นาโด้ หลังจากยิงไปแล้ว ก็ยังคง "วิ่ง" พุ่งเข้าหาบอลอีกในจังหวะที่ติดเซฟของแมกไกวร์ + เตลีส กระดอนออกมา (แบร์นาโด้โคตรขยันตั้งแต่จังหวะวิ่งเติมเข้ามาในกรอบแล้ว)

บอลสามกระดอนมาเข้าเท้าของ เควิน เดอบรอยน์ ในระยะประชิดที่กองหลังยูไนเต็ดสองคนสกัดสุดตัวและร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว

ช็อตดาบสาม มีนักเตะเรือใบที่เติมเข้ามาล้อมกรอบ 6 หลา ถึง 4 ตัวเท่าเดิม แต่กำแพงยูไนเต็ดพังหมดแล้ว ลำตัวแนบกับพื้นเหมือนโดนครูฝึกสั่ง "หมอบ ลุก วิ่ง กลิ้งคลาน กล้าหาญ อดทน สู้ตายยยยยยย" แล้วก็นอนพังพาบอยู่ตรงนั้น

เมื่อบอลสามกระฉอกมาเข้าตีนเพชรฆาต ทุกอย่างก็จบลงด้วยการเป็นประตู และการพยายามเซฟอย่างสุดความสามารถของดาวิด เดเคอา ที่เหลือเขาคนเดียว และไม่สามารถช่วยทีมได้อีกแล้ว เพราะมันสุดกำลังจริงๆ

คำถามก็คือ การที่ เควิน เดอบรอยน์ ยืนโล่งรอยิงซ้ำในตำแหน่งอันตรายแบบนั้น เกิดขึ้นเพราะอะไร? อเล็กซ์ เตลีส ผิดใช่หรือไม่ที่ทิ้งระยะห่างจากKDB ในช็อตนั้น

ถ้าย้อนกลับไปดูจะค่อนข้างชัดว่า ไม่ใช่เลย เพราะแบ็คเราคือตัวซ้ายสุดของทีม ที่ตรงนั้นต้องยืนคุมพื้นที่เสาสองเอาไว้ แถมยังมีตัวที่ต้องพะวงอยู่อย่าง เดอบรอยน์ และ มาห์เรซ ในสถานการณ์ 2 ต่อ 1

ซึ่งเตลีสเจอลูกแบบนี้ประจำ เพราะมิดฟิลด์ตรงกลางไม่มีใครตามลงมาช่วย marking ตัวสอดให้กับเขา รวมถึง "ปีก" ด้วยที่ไม่ลงมาช่วย

อเล็กซ์มักจะต้องเจอคู่แข่งเจาะมาจากด้านหน้าที่ "คู่มิดฟิลด์" ปล่อยหลุดมาเสมอ และต้องพะวงตัวประกบหน้าหลังถึงสองคนประจำ

ภาพด้านบนนี้คือจังหวะmarkingของประตูแรก แทบไม่ต่างกัน.. เตลีสชี้ให้เพื่อนช่วยดูทั้งสองลูก และเป็นความรับผิดชอบของมิดฟิลด์คู่กลาง อย่างแม็คเฟร็ด ที่ปล่อยพื้นที่ตรงนั้นโล่งหลุดประกบ รวมถึงซานโช่ที่ไม่วิ่งตามมาช่วยดูตัวประกบด้วยทั้งสองลูก

นักเตะแมนยูไนเต็ดเดินเล่น ยืนดูเพื่อน และ ไม่มีความกระตือรือร้นเลยแม้แต่นิดเดียวในการจะพยายามลงมาช่วยเล่นเกมรับ ทั้งๆที่ "เห็น" อยู่ตรงหน้าว่าคู่แข่งเติมเข้ามาโจมตีใส่กรอบเขตโทษเราเต็มไปหมด

นักเตะที่เดินอยู่วงนอก ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยเลย ภาษากายบ่งบอกเหมือนกับว่า "ยอมแล้ว" ในจังหวะนี้ จึงใช้สายตาป้องกัน แล้วปล่อยเพื่อนสามคนที่เหลือพุ่งสกัดกันอย่างโดดเดี่ยว

ลินเดอเลิฟ ที่ออกไปสกัดพลาด เราไม่ว่า แต่เลิฟก็เดินดูในจังหวะนี้ ไม่พยายามแก้ไขที่ตัวเองหลุดตำแหน่ง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องแก้ไขเรื่องปฏิกิริยาในจังหวะนี้ที่จะต้อง "ไม่ยอม" ง่ายๆ แต่ลินเดอเลิฟก็ยังไม่แย่เท่า "สองมิดฟิลด์" ของทีมที่ไม่ทำอะไรในจังหวะนี้เลย ตั้งแต่ลูกแรกยันลูกสอง ด้วยเหตุผลสองข้อ

1.การ "หลุดตำแหน่ง ไม่อยู่ในพื้นที่ที่จะต้องป้องกันตัวเติมแถวสองตั้งแต่แรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิล โฟเด้น ที่เล่น False Nine และโจมตีจากวงนอก จุดที่โฟเด้นยืนอยู่ คือหน้าที่รับผิดชอบของแม็คโทมิเนย์เต็มๆ แถมก่อนที่โฟเด้นจะได้บอล ก็เป็นน้องแม็คนี่แหละ ที่ไม่สนใจจะตามประกบ ปล่อยให้เขาวิ่งฉีกไปชิงบอลได้ จนทำให้ลินเดอเลิฟต้องเสี่ยงออกจากตำแหน่ง และสกัดบอลพลาดในช็อตนี้

2 การปล่อยจอย ไม่กระตือรือร้น ไม่สู้ เพราะนอกจากปล่อยโฟเด้นหลุด แล้วไม่ตามลงไปช่วยแล้ว แม็คยังปล่อยให้ แบร์นาโด้ วิ่งแซงหน้าไปในดอกสอง โดยที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองต้องพุ่งตามลงไปช่วยแต่อย่างใด ปฏิกิริยาเหมือนคนเพิ่งตื่น เบลอยาแก้แพ้ และกำลังง่วงๆพร้อมหลับยังไงยังงั้น

ด้านหน้าของแม็ค มีทั้งแบร์นาโด้ และ เดอบรอยน์ อยู่ในข่ายสายตาที่เขาควรรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ตลอดทั้งช็อต เขาก็ทำเพียงแค่ "จ็อก" ไปเรื่อยๆ ไม่ช่วยอะไรทีมเลยในจังหวะนี้

โคตรน่าผิดหวัง

เห็นภาพนี้แล้วโคตรสิ้นหวัง ดูภาษากายนักเตะแมนยูแต่ละคน

นอกจากน้องแม็คแล้ว เฟร็ดก็ลอยหลุดตำแหน่งไปในจังหวะนี้ ซึ่งโอเคว่าอาจจะต้องดันสูงออกไปไล่บอล แต่เฟร็ดก็อยู่ในข่ายที่น่าจะสปีดลงมาช่วยบ้างในช็อตนี้

เพราะอะไรผมถึงต้องตำหนิเฟร็ดด้วย? แน่นอนว่า หนึ่งเลยคือภาษากายเช่นกันที่ไม่คิดจะวิ่งลงไปช่วยต่อ ยืนดูเพื่อนเล่นเช่นกัน ทั้งๆที่น่าจะพยายามวิ่งตามลงไปอีกสักนิด เผื่อจะเก็บบอลจังหวะสองได้

และที่สำคัญคือ เป็นอีกครั้งที่มิดฟิลด์ทีมเรา "หลุดประกบ" ปล่อยเบลอให้เควิน "เดอเบลอ" วิ่งหนี "เฟร็ด" ที่เบลอๆปล่อยตัวประกบของเขาขึ้นมาดวลใส่แผงหลังแมนยูแบบโล่งๆอีกหนึ่งคน

ลูกนี้เฟร็ดก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่เป็นแดนอันตรายของตัวเอง แต่นักเตะที่ active จะเล่นมากกว่า กลับเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ซิตี้ทั้งทีม

ก็สมแล้วกับสิ่งที่เห็นข้างสนาม เป๊ปไม่ปล่อยให้เวลา 1-2 นาทีที่เกมหยุดเสียเปล่า เขามาติวเข้มนักเตะทุกคนในทีม และเก็บทุกดอกว่าลูกทีมของเขาควรต้องทำอะไรบ้าง กระตุ้นอย่างเต็มที่ ส่วนยูไนเต็ดก็เฉื่อยชาเหมือนเดิม

อีกคนที่น่าผิดหวังในประตูนี้ คือ "เจดอน ซานโช่" ที่ทำผิดพลาด "ครั้งที่สอง" จากทั้งสองประตูที่โดนในครึ่งแรก

ลูกแรกเขาก็ทำแบบนี้ ลูกที่สองก็เช่นกัน

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จังหวะที่ อเล็กซ์ เตลีส กำลังอ่านเกมที่ถูกเจาะมาทางขวา และรับผิดชอบแผงหลังตัวสุดท้ายของเสาสองอยู่ เขาชี้นิ้วสั่งให้เพื่อนช่วยถอยลงมา "ประกบตัว" คู่แข่งที่เติมมายืน "ว่าง" อยู่หน้า defensive line ของแมนยูไนเต็ดที่เล่นเกมรับในแนวสุดท้ายอยู่

บอลลูกแรกลูกสอง ถูกเจาะจาก ฝั่งขวาทั้งคู่ล้วนๆ ซึ่งเกมรับยุ่ยมากๆ ไม่สามารถป้องกันการโจมตีริมเส้นได้ยังไม่พอ

"ตรงกลาง" ก็ยังขาดแนวป้องกันแถวสองอีก เพราะมิดฟิลด์ทั้งคู่ไม่เคยอยู่ในตำแหน่งที่ยืนpositioningให้ทีมปลอดภัยจากการโจมตีแถวสองเลย

ประตูแรกคนที่ยืนว่างอยู่คือ KDB ที่ได้บอลมาปุ๊บก็ยิงประตูเข้าไปเลยดอกเดียวเน้นๆ โดยที่ซานโช่ยืนมองอยู่นอกกรอบ และไม่วิ่งเข้าไปช่วยในกรอบทั้งๆที่อยู่ในข่ายระยะที่วิ่งเข้าไปช่วยได้

แต่ลูกแรกอาจจะพอพูดได้ว่า ระยะมันห่างไป และอเล็กซ์อยู่ใกล้มากกว่า เห็นแล้วว่า เดอบรอยน์ว่าง ก็น่าจะพุ่งเข้าไปmarkingก่อนเลย ซึ่งดูเหมือนว่าอเล็กซ์ก็เริ่มที่จะรู้ตัวแล้ว แต่ว่าช้าไป เพราะวินาทีที่รู้ บอลก็ถูกจ่ายมาให้ตัวดังกล่าวที่เขามองอยู่พอดี จึงเข้าไปประกบ และบล็อคลูกยิงเดอบรอยน์ไม่ทัน

ประตู 2-1 เหมือนเดจาวู คนที่อยู่ตรงนั้น นอกจากลินเดอเลิฟ แม็คโทมิเนย์แล้ว เจดอน ซานโช่ก็น่าจะวิ่งเติมเข้าไปได้อีกคนหนึ่งอยู่ อย่างน้อยที่สุดเข้าไปเกะกะๆ หรือบีบระยะคู่แข่งได้ก็ยังดี เผื่อว่าบอลมันจะหลุดออกมาในพื้นที่โล่งตรงนั้น แต่ซานโช่ก็เดินดูเช่นกันเหมือนลูกแรก และไม่ลงมาช่วยในช็อตนี้

ถ้าซานโช่พยายามวิ่งตามเข้าไปตั้งแต่แรก ระยะห่างจากผู้เล่นเกมรับที่เหลืออยู่สามคนจะใกล้กว่านี้ และอาจจะช่วยป้องกันเดอบรอยน์ หรือ มาห์เรซได้

ความผิดของซานโช่ น้ำหนักมันเยอะขนาดไหน ถือว่าค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ก็อย่างที่หลายๆท่านคิด และผมเองก็พูดถึงเคสนี้กับเอแลงก้าเอาไว้ว่า นักเตะที่เป็นตัวรุกแดนบน บางทีถ้าตามเข้าไปเล่นเกมรับถึงกรอบเลย มันก็จะส่งผลต่อกระบวนการเล่น counter-attack ได้ ที่จะไม่มีคนค้ำตัวบน เผื่อมีจังหวะเล่นเกมสวนกลับ

แต่ในมุมมองของผู้เขียน การเล่นเกมรับไม่เกี่ยวกับว่าคุณเป็นนักเตะตำแหน่งไหน ตัวรุก กองหน้า กลางรับ ปีก ไม่เกี่ยว

ถ้าเห็นทีมกำลังจะโดนยิง ยังไงก็ต้องวิ่งเข้าไปช่วย

จังหวะที่ทีมจะเสียประตูแบบนั้น จริงๆไม่ควรจะสนใจอะไรแล้ว และควรลงมา "ช่วยเกมรับ" ในจังหวะนี้บ้าง ซึ่งผมมั่นใจนะว่า ถ้าตำแหน่งที่ซานโช่ยืนตรงนั้น ทั้งลูกแรก ลูกสอง ถ้าเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ เอดินสัน คาวานี่ยืนอยู่ สามคนนี้จะต้องพุ่งตามเข้าไปช่วยเล่นเกมรับในกรอบเขตโทษแน่ๆ โดยที่ไม่ยอมเดินดูอยู่เฉยๆ หรือคิดอะไรเยอะมากกว่าจะต้องพยายามลงไปช่วยเล่นเกมรับ เพราะมันก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมเวิร์คเช่นกัน

ไม่เกี่ยวกับว่าคุณเป็นตัวรุก หรือตัวรับ หน้าที่เล่นรับคือสิ่งที่ต้องใช้ทีมเวิร์ค

ดังนั้น ในจังหวะนี้ ทุกๆตัวที่เดินดูกันหมด และขาดความactiveและใจสู้ที่จะพยายามและทุ่มเทช่วยทีมเล่นป้องกันนั้น น่าตำหนิทั้งหมด ซึ่งรวมๆแล้วมันเยอะมากๆที่ดูเหมือนว่าจะเดินดู ยืนมอง และปล่อยให้เพื่อนแนวรับสามคนสุดท้าย รวมกับเดเคอา ต้องผจญกับนรกการโดนยิงซ้ำสามรอบแบบนั้น ทั้งๆที่ไม่ควรเกิดขึ้น

น้ำหนักของความผิด เมื่อดูจากความผิดซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้น ลูกสองนี่คือ "สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์แบบเน้นๆ" 

นักเตะที่สัมผัสได้ว่า พยายามแล้ว และมีpassionของความเป็นนักสู้จริงๆ กลับกลายเป็นนักเตะที่ไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมกับเกมมากนัก แต่ต้องตัดสินความเป็นความตายให้ทีม อย่าง "ดาวิด เดเคอา" ที่พยายามเซฟอย่างสุดชีวิต ซึ่งลูกเซฟลูกแรกที่บล็อคโฟเด้นที่ยิงระยะเผาขนขนาดนั้นได้ ก็ถือว่าสุดความสามารถแล้ว จริงๆเพื่อนควรจะ "เคลียร์ได้" ตั้งแต่ดอกนี้แล้ว

แต่กลับปล่อยให้คู่แข่งได้ซ้ำถึงอีกสองครั้ง จนกระทั่งเสียประตูไป

รีแอ็คชั่นของเดเคอาในภาพล่างคือสิ่งที่สะท้อนความเจ็บใจ และหัวใจนักสู้ของเดเคอาได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาลุกขึ้นมาและเตะบอลอัดตาข่ายด้วยความอึดอัดและหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด

เดเคอาพยายามป้องกันอย่างสุดชีวิต แต่คำถามคือ ไอ้นักเตะคนอื่นๆที่เหลือของทีม ที่ไม่ได้มีส่วนอยู่ในจังหวะนี้เลย พวกคุณทำอะไรกันอยู่?

ใช่ครับ พวกเขาเดินเล่น เดินดู ไม่สู้ และ "ปล่อยจอย" กันหมดเกือบทั้งทีม เมื่อเห็นว่าวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ โดนฟิล โฟเด้น แตะหลบไปได้

ภาพที่ผมเห็นนักเตะพวกนี้ "เดินเล่น" มันเจ็บปวดมากๆ ถ้าย้อนดูในไฮไลท์ภาพเคลื่อนไหวจะเห็นชัดเจนที่สุด โดยที่ไม่ต้องมาอ่านอะไรยาวๆนี้ ที่เขียนเพื่อที่จะแจกแจงให้เห็นชัดๆว่า แต่ละช็อต นักเตะรายบุคคลผิดพลาดและทำอะไรไม่ดีบ้างเท่านั้นเอง

"รับผิดชอบร่วมกันทั้งทีม" ใช้คำนี้ได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือการที่นักเตะมัน "ไม่รับผิดชอบร่วมกันเลยทั้งทีม"

ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ปล่อยคู่แข่งกระทำชำเราตามสะดวก ทั้งๆที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะตัวที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าปฏิกิริยาตอบสนองในความมีจิตใจนักสู้มากกว่านี้ พวกคุณจะต้อง "วิ่ง" พุ่งเข้าไปช่วยทีมป้องกันในพื้นที่เกิดเหตุแล้ว

นักเตะในทีมเราบริเวณนั้นยืนดูหมด เพราะหวังให้เดเคอาเซฟได้ หวังให้กองหลังสกัดได้ แต่กองหลังเหลือตรงนั้นแค่สามตัว ฝั่งตรงข้ามเติมเข้ามากันเพียบ จะเอาอะไรไปป้องกันได้

เดเคอาเซฟจนสุดชีวิตแล้ว แต่ไม่สามารถต้านทานเกินกว่าที่เขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งมันเป็นความเจ็บปวดในใจแน่นอนที่ตัวเขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ขีดจำกัดของการช่วยทีมมันก็มีอยู่จริงๆ

เพราะนี่คือกีฬาที่ต้องใช้ทีมเวิร์ค เดเคอาจะเก่งขนาดไหนก็ไม่สามารถช่วยทีมไหวจริงๆ ในยามที่เพื่อนเล่นกันแบบนี้


... ประตูนี้คือ "ความเจ็บปวด" (pain) ที่เห็นแล้วมันร้าวในหัวใจจริงๆ แฟนผีที่รักทีมมากๆ มาเห็นจังหวะเคลื่อนไหวและการเล่นในสนามของนักเตะที่ลงไปแล้ว จะปวดใจเหมือนกับผมแน่นอน

นี่แหละคือปัญหาที่หนักยิ่งกว่าเรื่องของระบบการเล่น คุณภาพการเล่น ซึ่งจริงๆแล้ว ทีมมีโค้ชที่ดีเข้ามาช่วยวางระบบการเล่น และสอน "วิธีคิด" ให้แล้วอย่างราล์ฟ รังนิค

แต่นักเตะไม่มีจิตใจเป็นนักสู้เหลืออยู่เลย ใจมันกระจอก เล่นยังไงก็ไม่สามารถชนะได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นทีมไหนก็ตาม

เราไม่เถียงว่า นอกจากช็อตนี้ แมนซิตี้ครองบอลเหนือกว่า และทีมก็ไม่มีอะไรจะไปสู้ได้จริงๆ มันคือความห่างชั้นของคุณภาพที่เรายอมรับอยู่แล้ว

แต่ถ้าใจสู้มากกว่านี้ สกอร์อาจจะไม่แย่อย่างนี้ก็เป็นได้

ปัญหาหนักที่สุดของแมนยู มันจึงไม่ใช่แค่เรื่องผู้จัดการทีม ไม่ใช่การซื้อนักเตะมาเสริมทีมของบอร์ด ไม่ใช่ระบบการเล่นแล้ว

แต่เรื่องที่นักเตะไม่มีจิตวิญญาณนักสู้ ใจฝ่อ หงอ ปอดแหก และใจไม่สู้ นี่แหละคือบอสใหญ่ของปัญหาที่แท้จริง

ถ้าแมนยูอยากลุกขึ้นมาให้ได้ ช่วยปรับ mindset และวิธีคิดก่อนเลย

ไม่ใช่ว่าแพ้แล้วมาโพสต์สวยงามหลังเกม คำพูดดีๆเราไม่ต้องการ ตราบใดที่ยังลงสนามไปแล้วเล่นด้วยทัศนคติแบบ Loser แบบไม่รู้ตัวเอง เล่นแบบไร้จิตวิญญาณ ลงไปแล้ววิ่งเหยาะๆ ไม่สู้ ไม่พยายามเต็ม 100

ถอดเสื้อแมนยูไนเต็ดออกซะ ไปนั่งสำรอง แล้วส่งนักเตะเยาวชนที่มันเห็นคุณค่าของเสื้อตัวนี้มาแทน ยังจะรู้สึกดีซะกว่าถ้าส่งเด็กอายุ 17 ที่วิ่งสุดชีวิตลงมาในสนามแล้วแพ้

กับการทนเห็นตัวจริงในสนามยืนมองคู่แข่งเขาขยี้เรา โดยที่เห็นชัดเจนว่า นักเตะขาดจิตวิญญาณ ขาดความเป็นนักสู้ และ ยังไม่ทุ่มเทมากเพียงพอ ซึ่งพวกเขาหลายๆคนในทีมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำให้สนามมันน่าสิ้นหวังขนาดไหน

น้องแม็คออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกผิดหวังที่แฟนบอลและผู้คนมองว่าพวกเขา "ไม่สู้" แต่น้องน่าจะไม่เห็นตัวเองในสนามจริงๆว่าวันนี้เกิดอะไรบ้างในจังหวะสำคัญๆ

เข้าใจที่น้องพยายามจะสื่อนะว่า "พยายามสู้แล้ว" แต่มันยังไม่เพียงพอ มันไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งเกม นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังสู้ได้ดีกว่านี้ ถ้าทุ่มเทและตั้งใจมากกว่าที่เราเห็นกันผ่านหน้าจอ

และที่สำคัญ มันไม่ใช่น้องคนเดียว ที่เขาด่า เขาด่าเรื่องนี้ทั้งทีม ก็อย่างที่ยกตัวอย่างในจังหวะ 2-1 ของบทความนี้มาให้เห็นแหละว่า ต้องรับผิดชอบกันทั้งทีมจริงๆ เรียงตามลำดับคือ ลินเดอเลิฟ แมกไกวร์ วานบิสซาก้า แม็คโทมิเนย์ เฟร็ด ซานโช่ รวมถึงสำรองที่ลงมาแล้วทำตัวน่าผิดหวังอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ดด้วย ที่ลงมาเล่นแล้วได้แค่นี้ ถ้าอยากย้ายทีมเพราะโดนดร็อปเป็นสำรองของเด็กอายุ 19 ปี แล้วใจไม่สู้ ก็ย้ายทีมได้เลย

(แค่ลูก2นี้ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ดูจะต้องรับผิดชอบเยอะหน่อยเพราะอยู่ใกล้สุดที่จะไปช่วยสามคนสุดท้ายได้ แต่กลับ "จ็อกดูหญิง" จนคู่แข่งที่เขาควรจะประกบได้ถึงสองตัว วิ่งหลุดประกบจนเข้ามาโจมตีใส่ประตูเราขนาดนั้น)

ทีมแพ้ยังไม่เจ็บปวดใจเท่ากับนักเตะเราไม่ทุ่มเท ไม่สู้ในสนามนี่แหละ มันเป็นความเจ็บปวดที่ต้องทนเห็นจริงๆ..

สภาพจิตใจของทีมนี่แหละที่ต้องรีบแก้ และหาคนมา "เฆี่ยน" โดยด่วน

ใครไม่อยากวิ่ง ใครไม่สู้ ใครเหยาะแหยะในสนาม ไปนอนเล่น PS5 ที่บ้านได้เลย

พวกกูไม่ว่า..

-ศาลาผี-

References

https://www.youtube.com/watch?v=LsQvQ0cx930

https://twitter.com/markrstats/status/1500542286484033540

https://www.reddit.com/r/reddevils/comments/t869mc/sky_city_v_united_2nd_half_stats/

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด