:::     :::

เส้นทางลูกหนังของ "เควิน เดอ บรอยน์"

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
2,129
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นี่เข้าสู่ฤดูกาลที่ 7 แล้ว ที่เพลย์เมคเกอร์อย่างเควิน เดอ บรอยน์เล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมกับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการยิงประตู และการแอสซิสต์ โดยเรียกได้ว่า มาตรฐานการเล่นของเขาแทบจะไม่ตกลงไปเลย หากไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือร่างกายไม่ฟิตสมบูรณ์เต็มร้อย นี่คือคนที่พลพรรคเรือมสีฟ้าเลือกที่จะส่งลงเล่นเป็นตัวจริเเสมอ


อย่างไรก็ตาม กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่อยง่าย ดาวเตะวัย 30 ปี ต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย โดยในช่วงนี้ เราลองไปย้อนความทรงจำกันหน่อย เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเดอ บรอยน์ ในการเล่นฟุตบอลในลีกบ้านเกิดที่ประเทศเบลเยี่ยม ก่อนจะข้ามน้ำข้ามทะเล มาประสบความสำเร็จในศึกพรีเมียร์ลีก เหมือนทุกวันนี้

ย้อนกลับไปตอนที่เดอ บรอยน์ อายุเพียง 17 ปี เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2008 ถือเป็นช่วงเวลาที่เขาเพิ่งก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ของเกงค์ สโมสรในลีกเบลเยี่ยม เป็นครั้งแรก ซึ่งสามารถเรียกความสนใจจากบรรดาผู้เล่นมากประสบการณ์ ที่กำลังฝึกซ้อมตามปกติ


ภายในสนามฝึกซ้อม เดอ บรอยน์ ที่กำลังเป็นดาวรุ่งหน้าละอ่อน แสดงออกถึงความเป็นผู้ใหญ่ ทำการตะโกนสั่งรุ่นพี่เหล่านั้น ด้วยประโยคที่ว่าเอาหน่อยซิครับ พวกคุณต้องทำให้ดี และทำการวิ่งมากกว่านี้ !! โปรดนำพาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่ผมสามารถจะผ่านบอลไปให้


จากคำกระตุ้นดังกล่าว ทำเอานักเตะรุ่นใหญ่บางคนถึงกับตกตะลึง เพราะนี่เป็นการฝึกซ้อมแบบ 5 ต่อ 5 คน ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ โดยไม่มีอะไรต้องเดิมพัน และไม่มีอะไรต้องเคร่งเครียด ดังนั้น คำกระตุ้นจากปากของเด็กหนุ่มแก้มแดง ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


ดาวิด อูแบร์ต อดีตกัปตันทีมเกงค์ ออกมาย้อนความทรงจำถึงเหตุการณ์นั้นว่าการกระทำแบบนี้ มันไม่สำคัญสำหรับเด็กคนนี้ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการความสมบูรณ์แบบมาตลอด แน่นอนว่า เขาไม่สนใจด้วยว่า เขาจะต้องตะโกนใส่ผู้คนที่อยู่เบื้องหน้า เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้น


มันน่าตกใจเหมือนกันนะอูแบร์ต กล่าวต่อไปเพราะว่าเดอ บรอยน์ กำลังตะคอกใส่เรา พร้อมกับบอกว่า เราเล่นกันไม่ดี พร้อมกับเรียกร้องให้เราทำในแบบที่เขาบอก แต่คุณรู้อะไรมั้ย ? เราต่างให้ความเคารพเขานะ เพราะเขากำลังพูดสิ่งที่ถูกต้อง เราต่างชื่นชมเขา ทั้งในเรื่องของความมั่นใจ และการเรียกร้องสิ่งที่ดีขึ้น เรากลับได้ความคิดที่ว่า -เอาหน่อยแล้วกัน อย่าทำให้เจ้าเด็กนี่ต้องผิดหวัง-”

ยิ่งนักเตะรุ่นใหญ่ ใช้เวลาร่วมกับเดอ บรอยน์ มากเท่าไหร่ พวกเขาเรียนรู้มากขึ้นว่า นี่คือนักเตะที่พิเศษ พร้อมทั้งมีวิธีการมองจังหวะเกมในสนามที่แตกต่างจากคนอื่น นี่คือสิ่งที่หาได้ยากมากๆ โดยเฉพาะกับดาวรุ่งที่เพิ่งก้าวขึ้นมาสู่ระดับอาชีพ หลายคนมองว่า นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ 


อูแบร์ต กล่าวเสริมว่าย้อนกลับไปเวลานั้น เดอ บรอยน์ จะรู้สึกหงุดหงิด เมื่อเห็นนักเตะคนอื่นทำแบบนั้น หรือว่าแบบนี้ไม่ได้ จากนั้น เขาจะเสนอแนวทางแก้ไข โดยเขาจะบอกว่าให้เราวิ่งมากขึ้น และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องมากกว่านี้ เขาไม่ใช่แค่ใช้ปากพูด เขาทำให้เห็นในสนามด้วย


เดอ บรอยน์ พิสูจน์ตัวเองด้วยสองเท้า เพียงไม่นานนัก เราต่างให้ความยำเกรงเขา เขาเป็นนักเตะที่เปี่ยมด้วยเทคนิค และความสมบูรณ์แบบ เหนือสิ่งอื่นใด เขาโดดเด่นในแง่แรงผลักดัน และจิตวิญญาณ แม้เขาจะเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยมากก็ตาม


เพียงไม่นาน เดอ บรอยน์ กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญ สามารถพาทีมอย่างเกงค์ ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นผลสำเร็จ ทำให้บรรดาแมวมองทั่วยุโรปหันมาจับตาเขาอย่างจริงจัง


เขาเป็นนักเตะที่สำคัญต่อเรามาก เขาคือจอมทัพ และยังสามารถถ่างออกไปเล่นด้านซ้ายในระบบ 4-4-2 บางครั้ง เขาสามารถเป็นแม่ทัพตัวหลอกได้ด้วย หากว่าขยับมาเล่นด้านใน .... ผู้จัดการทีมแค่ปล่อยให้เขาโชว์ผลงาน โดยไม่บอกข้อมูลอะไรมากเกินไป เพราะเราต่างรู้ดีว่า เขาคือนักเตะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ


เขารู้ว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร เขาทราบเสมอว่า ตัวเองสามารถก้าวไปอยู่กับสโมสรที่อยู่ระดับสูงกว่าเกงค์ เขาโตเร็วแซงหน้าวงการฟุตบอลเบลเยี่ยม ไปแล้วด้วย เขาต้องการถูกรายล้อมด้วยผู้เล่นชั้นเลิศ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า สุดท้ายแล้ว เขาจะพัฒนา ด้วยการย้ายทีมออกไป


อูแบร์ต ทิ้งท้ายถึงเดอ บรอยน์ ที่ย้ายออกไปร่วมทีมเชลซี ในช่วงปี 2012 

ขณะที่เพียต เดอ วิสเซอร์ ทีมงานแมวมองของเชลซี ย้อนความหลังถึง เดอ บรอยน์ เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า นี่คือเพชรเม็ดงาม ที่รอวันจรัสแสงออกมา พร้อมกับมองว่า นี่คือคนที่จะก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต โดยกล่าวว่าเดอ บรอยน์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุด เท่าที่ผมเคยค้นพบมา"


 “6 ปีก่อนหน้านั้น ผมออกเดินทางไปประเทศเบลเยี่ยม เพื่อค้นหาบางอย่าง ที่นั่นเต็มไปด้วยเด็กฝีเท้าดี โดยเฉพาะสโมสรเกงค์ พวกเขามีดาวรุ่งพรสวรรค์สูง และนี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้พบกับเดอ บรอยน์ ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 18 ปี ที่มีเทคนิคที่เหลือร้าย


ผมไม่ค่อยเห็นอะไรแบบนี้ เขาลงเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุก พร้อมกับมีสัมผัสบอลแรกที่เจ๋งสุดๆ ผมนำเทปการเล่นของเขา ไปให้กับโรมัน อบราโมวิช ซึ่งโรมัน ได้รับชมมัน พร้อมกับพูดออกมาว่า -เขาต้องย้ายมาร่วมทีมของเรา !!-


"กระทั่งปี 2012 เชลซี ทุ่มงบราว 7 ล้านปอนด์ กระชากตัวเขามาร่วมทีม เป็นจำนวนเงินที่มากอยู่ กับการซื้อผู้เล่นดาวรุ่งหนึ่งคน ผมบอกกับอบราโมวิช ไปว่า วันหนึ่งเจ้าหมอนี่จะมีค่าตัวมากกว่านี้ 10 เท่าตัว และวันนี้ก็กลายเป็นความจริงแล้ว"


กระทั่งปี 2014 ถือเป็นช่วงเวลาที่เดอ วิสเซอร์ ต้องเจ็บปวดมากที่สุด เมื่อ "สิงโตน้ำเงินคราม" ตัดสินใจปล่อยเพชรเม็ดงามนี้ให้กับโวล์ฟบวร์ก และผลสุดท้ายเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ระเบิดคลังกว่า 55 ล้านปอนด์ ดึงตัวมาเป็นแกนหลักในแนวรุก

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด