:::     :::

กุนซือไทยรุ่นใหม่ไฟแรงสูง

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,121
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ซีซั่น 2021/2022 ในลีกเมืองไทย มีกุนซือไทยหน้าใหม่ที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้เทรนเนอร์ชาวต่างชาติที่เข้ามาระดมสมองแก้เกมต่อกรกับคู่แข่งในทุกสัปดาห์

นอกจากโค้ชไทยที่มีประสบการณ์ในลีกบ้านเราและทำทีมมานาน จนผลงานดี ทั้ง สมชาย ชวยบุญชุม ของ ตราด เอฟซี และ สะสม พบประเสริฐ จาก ชลบุรี เอฟซี แล้ว วันนี้เราลองมาดูกุนซือไทยเจเนอเรชั่นใหม่ ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับการยอมรับจากแฟนบอลไปเรียบร้อยแล้ว  


ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี) 

                หนึ่งในกุนซือประวัติศาสตร์ ที่สามารถคุมสโมสร เกิน 100 นัด ทั้ง ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด และ พีทีที ระยอง แต่สโมสรหลังมีแชมป์เมเจอร์แรกของสโมสรให้ได้ติดมือ เมื่อคว้าแชมป์ไทยลีก 2 ซีซั่น 2018 อย่างยิ่งใหญ่ ก่อนจะพาทีมจบอันดับ 11 ในไทยลีกฤดูกาล 2019 และเป็นการปิดฉากของทัพ "พลังเพลิง" หลังประกาศยุบสโมสร

                ในเวลานั้นชื่อของ "โค้ชโจ" ถือว่าเนื้อหอมมากๆ มีหลายทีมที่อยากได้ไปลุยในลีกสูงสุด ก่อนที่เขาจะตกร่องปล่องชิ้นกับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี เพราะศรัทธาในแฟนบอลที่ให้การหนุนหลังเฉลี่ยแมตช์ละเกือบ 2 หมื่นคน รวมทั้งเป้าหมายที่อยากจะพาสโมสรพลิกโฉมการเล่นให้ดุดันมากขึ้น 

                เขาใช้แพสชั่นของตัวเอง ในการกระตุ้นให้ผู้เล่นโคราชออกไปสู้ เสมือนเป็นวันสุดท้ายที่จะออกศึก และลูกทีมตอบโจทย์ตรงนั้น ด้วยการพายอดทีมแห่งแดนย่าโม เล่นแบบเกรี้ยวกราด แต่แฝงด้วยรูปแบบการเล่นที่ไม่ซับซ้อน จนกลายเป็นทีมที่เคี้ยวยากเหลือเกินสำหรับคู่แข่งทุกทีม ทว่าในฤดูกาลนี้เส้นทางของ "โค้ชโจ" กับทัพ "สวาดแคท" ก็ต้องถึงคราวสิ้นสุดหลังจบเกมนัดที่  24 หลังบุกไปเสมอ สมุทรปราการซิตี้ 1-1 ก่อนจะออกมาประกาศยุติการทำหน้าที่เพื่อเป็นการรับผิดชอบผลงาน แต่เชื่อเหลือเกินว่าผลงานโดยรวมที่ "โค้ชโจ" เคยรังสรรค์เอาไว้จะทำให้เขาว่างงานได้ไม่นานแน่นอน


รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค (โปลิศ เทโร เอฟซี) 

                ปี 2018 ลิ้มรสชาติของการพาทีมตกไปเล่นในไทยลีก 2 แต่ว่ากุนซือระดับโปร ไลเซนส์ รุ่นที่ 2 ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย กลับไม่ได้ย่อท้อ เขาได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสร้าง โปลิศ เทโร เอฟซี กลับมาให้แข็งแกร่ง แม้จะมีงบประมาณไม่มากนักแต่ก็สามารถทำทีมกลับมาลีกสูงสุดได้อีกครั้งภายในปีเดียว 

                ปีแรกของ "โค้ชอ้น" ในการทำทีมบนไทยลีก 1 แบบเต็มๆ สามารถพาทีมยืนหยัดอยู่รอดได้อย่างน่าดูชม และปล่อยตัวหลักอย่าง พี่น้องฝาแฝด "อักษรศรี" ทั้ง ทิตาธร-ทิตาวีร์ ซึ่งแจ้งเกิดกับทีมชาติไทย พาทีม ยู-23 เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึก ชิงแชมป์เอเชีย ไปให้กับ การท่าเรือ เอฟซี พร้อมกับนำเม็ดเงินที่ขายนักเตะคนสำคัญมาใช้ในการบริหารจัดการทีมให้อยู่รอดได้ต่อไป

                แม้จะเหลือในช่วงโค้งสุดท้าย และ โปลิศ เทโร เอฟซี ยังไม่การันตีที่จะรอดตกชั้น แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อดีตดาวเตะทีมชาติไทยหน้าหยกรายนี้ ถือเป็นกุนซือรุ่นใหม่ ที่มีผลงานชวนให้หลายทีมหมายปองมากๆเหลือเกิน อย่างไรก็ตามเขาเองก็ยังเหลือสัญญาอีก 1 ปี และทางสโมสรก็ยืนยันแล้วด้วยว่าต้องการให้ "โค้ชอ้น" ทำทีมต่อไปให้นานที่สุด


สุกฤษฎิ์ โยธี (ลำปาง เอฟซี) 

                จากทีมที่ไม่เคยอยู่ในสารบบของการลุ้นเลื่อนชั้น แต่ด้วยการปรับโครงสร้างของทีมซึ่ง ลำปาง เอฟซี ได้ไปจับมือกับ หนองบัว พิชญ เอฟซี เพื่อการนำนักเตะของ "พญาไก่ชน" ที่ยังขึ้นชุดใหญ่ไม่ได้ มาลุยกับ "รถม้ามรกต" ทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก และยังอยู่ในเส้นทางลุ้นเลื่อนชั้นทั้งแบบอัตโนมัติหรืออาจต้องไปลุ้นรอบเพลย์ออฟ

                ไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้น ทีมได้ดึงอดีตนักเตะศรีราชา อย่าง "โค้ชต้น" เข้ามากุมบังเหียน แถมดีกรีไม่ธรรมดา เพราะจบ บี ไลเซนส์ รุ่นเดียวกับ "โค้ชโชค" โชคทวี พรหมรัตน์ ผู้พาทีมชาติไทย คว้าแชมป์ซีเกมส์ 2015 และพา การท่าเรือ เอฟซี ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ 2019 มาครองอย่างยิ่งใหญ่ 

                ผ่านไป 2 ใน 3 ของฤดูกาลนี้ "โค้ชต้น" กลายเป็นผู้ขับเคลื่อน "รถม้ามรกต" ด้วยฟอร์มที่แข็งแกร่ง พวกเขาเก็บไปได้ 47 คะแนน อยู่ที่ 4 ของตาราง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ้นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นไปเล่นในไทยลีก 1 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมเสียด้วย 


สุเมธ อยู่โต (ชัยนาท ฮอร์นบิล) 

                นี่คืออดีตนักเตะของ ชัยนาท ฮอร์นบิล ตั้งแต่เล่นลีกรากหญ้าเมื่อปี 2010 และเติบโตมาพร้อมกับทีม เห็นความสำเร็จ ทั้งได้แชมป์ไทยลีก 2 เมื่อปี 2017 ไปจนถึงได้พัฒนาการของสนาม เขาพลอง สเตเดี้ยม จากสภาพพื้นดินแดงๆ สู่ฟลอร์หญ้าสีเขียวขจี ปัจจุบันมีอัฒจันทร์ครบ 4 ด้าน รายล้อมด้วยคลับเฮาส์ กับสนามซ้อม 

                ก่อนที่ สุเมธ อยู่โต จะแขวนสตั๊ด พร้อมกับมี เทสติโมเนียลแมตช์ ในการอำลาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2015 จากนั้นเขาได้ไปทำงานเป็นครูอยู่ที่โรงเรียน อบจ.ชัยนาท สามารถดันลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนขึ้นมาเล่นฟุตบอลอาชีพมากกว่า 10 คน หลังจากคุมทีมเยาวชนของสโมสรมานานหลายปี 

                แม้ “นกใหญ่พิฆาต” จะไม่ได้เป็นทีมเงินถุงเงินถังเหมือนก่อน แต่พวกเขาก็ยังคงคอนเซปต์ในการปั้นเยาวชนขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และผ่านมาถึงตรงนี้  “โค้ชเมธ” ก็พาทีมมาอยู่ที่ 5 ของตารางแล้ว มาดูกันว่าซีซั่นนี้เขาจะพาทีมกลับไปลุ้นตั๋วเพลย์ออฟ เหมือนกับฤดูกาลที่ผ่านมา ได้หรือไม่ 


สมชาย มากมูล (เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด) 

                ในช่วงก่อนจบเลกแรก เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด มีการปรับทัพครั้งใหญ่ในตำแหน่งหัวเรือ ซึ่งพวกเขาดึง "คสช" เข้ามาคุมทีม แทนที่ "เซอร์เด็จ" จเด็จ มีลาภ ด้วยความหวังที่จะพาทีมนี้ เข้าไปเล่นในรอบเพลย์ออฟ เพื่อชิงตั๋วขึ้นลีกสูงสุด ตามเป้าหมายที่สโมสรได้วางเอาไว้ก่อนเปิดซีซั่น 

                ทำให้เลกสองได้นักเตะใหม่อย่าง กันตภณ คีรีแลง, พงษ์ภัทร หลิวรุ่งเรืองกิจ, สุพจน์ จดจำ, จักกริช เข็มนาค รวมถึงอีกหลายคนจาก สิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี ส่วนต่างชาติได้ มาร์ลอน ดา ซิลวา และ เคนโตะ นางาซากิ เข้ามาเติม จนกระทั่ง "ค้างคามหากาฬ" แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมาก 

                ทั้งที่ทีมมีข่าวไม่ค่อยสู้ดีนักเกี่ยวกับเรื่องสภาพการเงินออกมามากมาย แต่ "โค้ชสมชาย" ก็ยังพาทีมไม่ปราชัยให้กับใคร 9 เกมต่อต่อกัน จนกระทั่งเกมออกไปเยือน ลำพูน วอริเออร์ จะพลาดท่าเกมแรกด้วยการแพ้ไป 1-3 แต่ปัจจุบันพวกเขามี 44 คะแนน เข้ามาอยู่ที่ 6 ของตาราง ทิ้ง อุดรธานี เอฟซี 2 แต้ม เท่ากับว่าเวลานี้ทะยานมาพื้นที่เพลย์ออฟแบบเต็มตัว  


เทิดศักดิ์ ใจมั่น (อุทัยธานี เอฟซี) 

                การคัมแบคมาเป็นกุนซือให้ อุทัยธานี เอฟซี ครั้งนี้ ต้องบอกว่าสโมสรให้ความไว้วางใจ "น้าเทิด" มากทีเดียว เพราะมอบให้ทั้งสิทธิ์และโอกาสในการทำทีมแบบอิสระ โดยเฉพาะการหานักเตะเข้ามาเติมเต็ม เพื่อเป้าหมายกลับไปเล่นในไทยลีก 2 ฤดูกาลหน้าให้ได้ 

                จากสไตล์การทำทีมที่เน้นระบบ 3-4-3 ซึ่งจะให้เซนเตอร์ตัวกลางอย่าง วัฒนา พลายนุ่ม ที่ชำนาญเกมรับเป็นพิเศษเล่นเป็น "ลิเบโร" คอยปัดกวาดแนวรุกฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งให้โอกาสดาวรุ่งหลายๆ คนได้ลงสนามบ่อยครั้ง จนกลายเป็นที่ยอมรับของทุกคนภายในสโมสรไปจนถึงแฟนบอล 

                ด้วยการทำทีมแบบเน้นผลการแข่งขัน ทำให้ลูกทีมของ "น้าเทิด" นำจ่าฝูงตั้งแต่เกมแรก จนสามารถคว้าแชมป์ไทยลีก 3 โซนเหนือแบบม้วนเดียวจบ ตั้งแต่ยังไม่สิ้นสุดซีซั่น อีกทั้งพาทัพ "ช้างป่าห้วยขาแข้ง" เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ในศึก เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ แม้สุดท้ายจะตกรอบทั้ง 2 รายการไปแล้วก็ตาม แต่ก็ถือเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ตัวจริงสำหรับบอลถ้วยในปีนี้


ชูศักดิ์ ศรีภูมิ (สระบุรี ยูไนเต็ด) 

                หลังผ่านการเล่นให้กับสโมสรมามากมาย ทั้ง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, กรุงเทพพณิชยการ (BBC), ธนาคารกรุงไทย, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, สินทนา, นครปฐม, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, การบินไทย, หนองจอก และ สระบุรี พร้อมกับมีประสบการณ์ในการคุมทีมของเมืองไทยมาตั้งแต่อายุน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น  

                สระบุรี เอฟซี, เลย ซิตี้, ปากน้ำโพ, สุโขทัย, ระยอง เอฟซี, เกษตรศาสตร์ เอฟซี, เมืองเลย ยูไนเต็ด, ทีมชาติลาว รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี และศรีสะเกษ เอฟซี ในที่สุดปี 2021/2022 แต่ก่อนเริ่มซีซั่นใหม่ของไทยลีก 3 "โค้ชชู" ชูศักดิ์ ศรีภูมิ ก็ได้กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง ในการคุมทัพพลพรรค "ชุนพลรถถัง" สระบุรี ยูไนเต็ด  

                ในที่สุดเขาเองก็สามารถพาทีมเข้ามาเล่นในรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ได้สมกับที่เป็นเจ้าของฉายา "มิสเตอร์แชมเปี้ยนส์ลีก" ด้วยการเป็นแชมป์โซนตะวันตกได้อย่างน่าชื่นชม แม้ว่าเกมแรกเขาอาจจะพาทีมเปิดบ้านแพ้ให้กับ กระบี่ เอฟซี 2-3 แต่ยังเหลืออีก 4 เกมให้อดีตปราการหลังรายนี้ได้พิสูจน์ ว่าจะสามารถพาทีมเลื่อนชั้นไปเล่นไทยลีก 2 หรือไม่ 

                เทรนเนอร์ไทยรุ่นใหม่ทั้ง 7 คน น่าจะเป็นคนที่อยู่ในใจของแฟนบอลหลายคนไปแล้ว ต้องบอกว่าโค้ชคนไทยจริงๆ แล้วสามารถต่อกรกับกุนซือฝรั่งตาน้ำข้าว ที่มาหากินในลีกบ้านเราได้อย่างไม่เคอะเขินเลยทีเดียว โดยมีสิ่งที่ได้เปรียบคือความเข้าใจในตัวผู้เล่นและวัฒนธรรมลูกหนังในแบบไทยๆ ดีอยู่แล้ว เหลือเพียงการเก็บประสบการณ์และสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งๆ ขึ้นไป 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด