:::     :::

"ประตูแรกของผม ลูกคนแรกของผม" เรื่องราวของ [Kleberson]

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,283
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เนื้อหาบอกเล่าแบบอันซีนจากหัวข้อ UTD Unscripted จากเว็บไซต์Officialของสโมสร ที่เจ้าตัว "เคลแบร์สัน" ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวที่แฟนผีหลายคนไม่เคยรู้ และมองว่าเขาล้มเหลวกับที่นี่ แต่จริงๆแล้ว มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นกับเขาสมัยที่อยู่แมนยูไนเต็ด และเซ็นสัญญาเข้ามาพร้อมคริสเตียโน่ โรนัลโด้! ทั้งหมดนี้คือคำพูดจากปากโดยตรงของเคลแบร์สันล้วนๆ

ลูกผมอายุ 17 ตอนนี้ เขาโตแล้ว เขาขับรถพาน้องสาวไปเที่ยว เขาเป็นแฟนตัวยงของแมนยูไนเต็ดเลยและก็นั่งดูทุกแมตช์โดยใส่เสื้อสกรีนแรชฟอร์ด สำหรับผมมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากที่ได้เห็นเขาโตขึ้นมา ซึ่งก็แน่นอนว่าเหมือนกับพ่อคนอื่นๆ ผมยังจำวันที่เขาเพิ่งเกิดและลืมตามาดูโลกนี้ได้

วันนั้นคือวันที่ 22 พฤศจิกายน 2003 วันที่ผมจะไม่มีวันลืมด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง

แมนยูไนเต็ดเจอกับแบล็คเบิร์นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ก็เหมือนแมตช์เดยทั่วๆไปทุกนัด เราจะไปที่สนามประมาณสามชั่วโมงก่อนเตะ ภรรยาของผมท้องแก่มากในตอนนั้นและเธอบอกว่า "ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากกลับบ้านมากกว่า"

เราคุยกันแล้วก็ตัดสินใจว่าเราไปด้วยกัน ผมไม่ได้รู้ด้วยว่าผมจะมีชื่อติดทีมในวันนั้น ก่อนที่พอไปถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดผมจึงเพิ่งได้รู้ว่า ผมต้องลงเป็นตัวจริงในเกมดังกล่าว

ช่วงครึ่งแรกทีมเราเล่นดีเลย รุด ฟาน นิสเตอรอย ยิงประตูแรกขึ้นนำให้ทีม แล้วผมก็เป็นคนยิงประตูที่สองให้กับทีม ซึ่งพอยิงได้ผมก็ทำท่าอุ้มลูกยอดฮิตเหมือนที่เบเบโต้ทำในบอลโลก94 ที่สหรัฐอเมริกา วิ่งไปที่มุมธงตรงใกล้ๆอุโมงค์ ผมยังเก็บภาพถ่ายในช่วงเวลานั้นเอาไว้อยู่เลย ทั้งที่ถ่ายกับริโอ เฟอร์ดินานด์, ควินตัน ฟอร์จูน และก็อีกหลายๆคนที่มาแสดงความยินดีกับผม ผมมองขึ้นไปยังแฟนบอลขณะที่กำลังทำท่าดีใจอยู่ และภรรยาผมอยู่แถวๆนั้นด้วยตรงอุโมงค์แต่ผมมองไม่เห็น

สุดท้ายเกมนั้นเราชนะ 2-1 และเมื่อผมกลับเข้าไปยังห้องแต่งตัวผมก็อาบน้ำผ่อนคลาย ใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่ง

ซึ่งในวันนั้น ผมยิงประตูแรกกับที่นี่ได้ และทีมเราชนะ ซึ่งทันทีที่ผมออกมาจากห้องแต่งตัวภรรยาก็บอกว่า

"ไปโรงพยาบาลด่วนเลย ฉันว่าเด็กจะคลอดตอนนี้แล้ว!"

ผมจำได้เลยว่าออกมาจากโอลด์แทรฟฟอร์ดแบบเร่งรีบกันสุดๆ ซึ่งพอออกมา แฟนบอลรอบๆสนามที่มองเห็นรถก็อยากจะมาเซย์ไฮกับเราในตอนนั้น พวกเขามีความสุขกันมากเพราะผมยิงประตูได้ด้วย พวกเขาอยากได้ลายเซ็นผมบนรูปภาพและเสื้อ

ขณะที่ทุกคนกำลังจะมะรุมมะตุ้มขอลายเซ็นถ่ายรูปกับผม พวกเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาผมเดินท้องโย้ออกมาเลย ผมเดินฝ่าสายตาเหล่านี้ออกมาด้วยความกลัวมาก และทุกๆคนเริ่มพูดกันว่า "โอ้ว ว้าว เด็กจะคลอดแล้วนี่!"

และหลังจากนั้น ลูกชายผมก็ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้


มันเป็นวันที่พิเศษมากๆเลยสำหรับผม ตั้งแต่เด็กๆไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะได้ลงสนามและยิงประตูให้กับสุดยอดทีมของยุโรปอย่างแมนยูไนเต็ดได้ และกลายเป็นบราซิลเลียนคนแรกที่ยิงได้ในสีเสื้อปีศาจแดง และลูกชายผมก็เกิดมาในวันเดียวกันนั้นด้วย

คนอาจจะกล่าวว่า ผมไม่ได้มีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ตอนอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย ผมมีความสุขกับเรื่องราวเหล่านี้มาก สำหรับผมมันคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดแล้ว

จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินว่าแมนยูอยากเซ็นสัญญากับผมก็คือช่วงต้นๆปี 2003 ผมลงเตะนัดกระชับมิตรให้ทีมชาติบราซิลเจอกับฝรั่งเศส ในสนามที่กรุงปารีส ซึ่งผมได้ยินข่าวลือมาก่อนว่ายูไนเต็ดอยากจะเซ็นสัญญาโรนัลดินโญ่ เพราะเดวิด เบ็คแฮม ย้ายทีมไปแล้ว ซึ่งบทสนทนาถึงข่าวต่างๆเหล่านี้ก็เริ่มที่จะมีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวพันด้วย และผมจำได้ว่าโรนัลดินโญ่ และก็ผู้ช่วยของโรแบร์โต้ พี่ชายของเขา เข้ามาในห้องทานข้าวอยู่วันนึงแล้วบอกว่า

"ฉันคิดว่ายูไนเต็ดสนใจอยากได้ตัวนายอีกคนด้วยนะ"


ตอนแรกๆผมก็เริ่มคุยเรื่องนี้กับเพื่อนๆของผมและก็คนที่สโมสร Atletico Paranaense ของผมเพื่อดูว่าข่าวมันจริงเท็จแค่ไหน แล้วผมก็เริ่มได้รับข้อมูลเกี่ยวกับนักเตะในทีม ประเทศ เมือง ซึ่งในตอนนั้นเทียบกับปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมันยังไม่ได้เจริญก้าวหน้าเหมือนปัจจุบัน มันเลยเป็นอะไรที่ยากมากที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับทีมได้ แม้กระทั่งว่าแมนยูไนเต็ดจะเป็นทีมระดับท็อปในยุโรปก็ตาม ข้อมูลมันหายากเหลือเกิน

ผมดีใจมากๆที่ได้ยินว่าพวกเขาสนใจในตัวผม ก็เพราะว่า นั่นคือแมนยูเลยนะเว้ย "โอ้ พระเจ้าช่วย จริงเหรอเนี่ย แหงอยู่แล้ว ผมอยากย้ายไปอยู่ที่นั่นแน่น๊อน"

ที่บราซิลยุคนั้นเรานิยมลีกอื่นๆกัน พรีเมียร์ลีกไม่ได้ฮิตที่บราซิล เราดูเซเรียอา ดูลีกเอิงกัน เพราะโรนัลดินโญ่เล่นให้ PSG รวมถึงที่สเปน ชาวบราซิลชื่นชอบลาลีกา พรีเมียร์ลีกเพิ่งเริ่มจะขึ้นมา ซึ่งเทียบกับตอนนี้แน่นอนว่าทุกคนที่บราซิลดูพรีเมียร์ลีกกันแล้ว แต่สมัยนั้นยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่นัก

เพราะงั้นผมเลยไม่ค่อยรู้จักเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันดีเท่าใดในตอนนั้น ผมรู้จักชื่อเขา เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาเป็นผู้จัดการทีมมา 16-17 ปีแล้ว มันรู้สึกว่า ว้าว ผู้จัดการทีมอยู่มานานขนาดนั้นเลย สุดยอด ชายคนนี้คือผู้ที่ควบคุมดูแลสโมสรตัวจริงเลย

แล้วการพูดคุยกันระหว่างเอเย่นต์ก็ดำเนินขึ้น ยูไนเต็ดต่อสายกับทีมพาราเนนเซ่ และผมมีความสุขมากที่ดีลสำเร็จลุล่วงและได้เซ็นสัญญาในที่สุด

แน่นอนว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต ผมต้องย้ายข้ามทวีป จากบราซิลมาอังกฤษ บางทีผมก็คิดว่าตอนนี้ก็อยากอยู่ที่ยูไนเต็ดจังเลย เพราะว่าตอนที่ผมพยายามหาร้านอาหารบราซิลเลียนในเมืองแมนเชสเตอร์ในช่วงนั้น ถ้าได้เจอร้านไหนขายข้าวกับถั่วนี่ถือว่าโชคดีมากเลยนะ

ผมนี่ิอิจฉาโรบินโญ่ กับ โจ ที่เขามาอยู่แมนเชสเตอร์ซิตี้ในช่วงไม่กี่ปีหลังจากนั้น เพราะว่าตอนที่ผมเล่นให้แมนยู ร้านบราซิลที่ใกล้ที่สุดมันอยู่ที่ลอนดอนนู่นแน่ะ ถ้าผมอยากจะกินอาหารบ้านเกิด ผมต้องขับรถไปสามชั่วโมงสู่ลอนดอน ไม่งั้นก็คือต้องให้เพื่อนซื้อมาฝากเท่านั้น แล้วโรบินโญ่กับโจก็โพสต์รูปอาหารบราซิลแท้ๆในเมืองแมนเชสเตอร์ แล้วก็มีร้านชูรัสกาเรีย ที่เป็น all you can eat ของเนื้อย่างเสียบเหล็กด้วย โอ้มายก้อด

แล้วปัจจุบันนี้ผมก็เห็นแฟร์นันดินโญ่โพสต์รูปบาร์บีคิวแท้ๆที่นั่นอีก โห่ จารย์...!!

ปกติเวลาว่างๆในเมืองแมนเชสเตอร์ เราจะเดินไปที่ Trafford Centre เราไปที่นั่นบ่อย จำได้ว่ามีร้านพิซซ่าดีๆอยู่ตรงหัวมุม เราจะไปที่นั่นแล้วก็เดินเล่นกัน บางทีก็พยายามไปเดินแถวดาวน์ทาวน์ในแมนเชสเตอร์ด้วย ตอนนั้นผมยังอายุน้อยมากๆ แต่ก็รู้สึกว่าเมืองนี้ส่วนใหญ่มีคนหนุ่มสาวที่อายุน้อยกว่าผมซะอีก 

เพราะภรรยาผมตั้งท้องอยู่ ปกติเราก็จะอยู่กันแต่ที่บ้านและก็ทานอาหารบราซิลเลียนกัน บ้านเราเป็นเหมือนบราซิลย่อมๆในนั้น ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ แล้วเราก็มีช่องทีวีของบราซิล เกมโชว์บราซิลในทีวี รายการทำอาหารบราซิล เราพยายามทำให้มันใกล้เคียงกับการอยู่ที่บราซิลที่สุด เพราะว่าเราสองคนยังอายุน้อยมากๆ และพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะปรับตัวให้ได้ แต่ว่าก็มีหลายๆคนที่พยายามให้ความช่วยเหลือเรา

แรกสุดเลยคือผมแฮปปี้มากที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เซ็นสัญญาเข้ามาด้วย เพราะนั่นแปลว่าไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่พูดโปรตุกีส ไม่งั้นผมก็จะพูดคุยกับใครลำบากมาก แล้วนอกจากนี้เราก็ยังมี ดิเอโก้ ฟอร์ลันอีกคนด้วย เพราะเราพูดสแปนิชกันได้, ควินตัน ฟอร์จูนน่าทึ่งมาก เขาพยายามช่วยเหลือผมด้วยการเป็นล่ามแปลให้ฟังเวลาที่ใครๆพูด หรือว่าเฟอร์กูสันพูด

พวกเขาเหล่านี้แหละที่ช่วยผมอย่างมากในการแปลสิ่งต่างๆเพื่อให้ผมเข้าใจว่าคนอื่นๆต้องการอะไรบ้างจากตัวผม มันลำบากมากเลยเพราะผมยังเด็กมากตอนนั้น ผมไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาได้เลย เพราะงั้นมันเลยยากมากที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของทีม หรือสิ่งที่ผู้คนต้องการ ผมพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรับข่าวสารให้มากขึ้น แต่ภาษาอังกฤษของผมก็ยังไม่ค่อยดี และทำให้ผมลำบากพอสมควร

ส่วนเรื่องของเพื่อนนักเตะ และบุคลากรที่แคริงตันไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น พวกเขาเป็นมิตรกับผมมากๆ พยายามมาคุยกับผมแล้วก็ช่วยให้ผมเข้าใจว่าต้องทำอะไรบ้าง

ในสโมสรตอนนั้นเรามีนักเตะที่มีแบ็คกราวน์สุดยอดทั้งนั้น ไม่ว่าจะพอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์, ไรอัน กิ๊กส์, รอย คีน และพวกเขาก็นำนักเตะอายุน้อยๆเข้ามาเสริม อย่างเช่นผม รวมถึง เอริค เฌมบ้า-เฌมบ้า เพื่อที่จะมาแย่งตำแหน่งกันกับนักเตะเหล่านั้น ซึ่งการที่ต้องสู้แย่งตำแหน่งกับนักเตะเหล่านี้ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เลยเอาจริงๆ เพราะพวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องเล่นยังไงในพรีเมียร์ลีก ลีกที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาที่นี่ ซึ่งผมกับเฌมบ้า-เฌมบ้าก็ฝันอยากจะเอาชนะพวกเขาเหล่านี้ให้ได้

พวกเขาทุกคนน่ารักมากๆ, อดทนที่จะรอและมองว่าพวกเขาจะเป็นอนาคตของทีม พวกเขาก็พยายามช่วยเหลือเราแล้ว แต่ว่าสุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า ระดับชั้นของพวกเขาอยู่ห่างจากเรามากเกินไปจริงๆ

เรื่องหนึ่งที่ผมต้องต่อสู้กับมัน นั่นก็คือปัญหาอาการบาดเจ็บส่วนตัวที่ฉุดรั้งผมเอาไว้ ซึ่งมันทำให้เราเสียเวลาที่จะต้องฟื้นฟู จะต้องกายภาพอย่างดี ใช้เทคนิคที่ดีช่วย จากนั้นพอหายกลับมาได้ ก็ต้องมาแย่งตำแหน่งกับสโคลส์ บัตต์ กิ๊กส์ คีน พวกนี้อีก ซึ่งพวกเขาอยู่ในทีมมานานหลายปีมาก และพวกเขารู้ว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็น

ในฐานะหน้าใหม่ ผมก็รู้สึกว่าจะต้องพยายามเล่นด้วยสไตล์ที่เป็นตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าวิธีนั้นจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่

ผมได้เรียนรู้มากมายจากพวกเขาเหล่านี้โดยเฉพาะการได้เห็นคุณภาพที่พวกเขามี วิธีการคอนโทรลบอล วิธีการนำทีมว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งเรามีรอย คีน เป็นกัปตันทีมของเรา แต่ก็ยังมีแกรี่ เนวิลล์เป็นรองกัปตัน รวมถึง ฟิล เนวิลล์, นิคกี้ บัตต์, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์ ทุกๆคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำทีมทั้งสิ้น

วิธีการพูดคุยสื่อสารกันของพวกเขาเหล่านี้กับคุณเวลาอยู่นอกสนามนั้นพวกเขาจะทำให้ทีมมันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกคนก้าวไปด้วยกัน ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น

ผมได้เรียนอะไรหลายต่อหลายอย่างจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันด้วย รวมถึงคาร์ลอส เคย์รอซ, ไมค์ ฟีแลน ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป มันยากที่จะจัดการทีมในช่วงเวลานั้น เพราะทุกๆคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวทีมชาติทั้งสิ้น นอกจากตัวจริงของทีมแ้ว คนอื่นๆอย่างเช่นผมงี้ก็จะต้องกลับไปเล่นให้บราซิล ควินตัน ฟอร์จูน ก็จะไปแอฟริกาใต้, ดิเอโก้ ฟอร์ลัน ก็กลับไปเล่นกับอุรุกวัย ส่วนคริสเตียโน่ก็จะกลับโปรตุเกส, เฌมบ้า-เฌมบ้าบินกลับแคเมอรูน

ทุกๆคนมีดีกรีระดับตัวทีมชาติหมด และทุกๆคนก็อยากลงสนาม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะบริหารเวลาการลงเล่นของคนเหล่านี้ บางเวลาคุณจะได้เห็นรุด ฟาน นิสเตอรอย นั่งอยู่ชั้นบน ข้างหลังม้านั่งสำรอง และไม่ได้แต่งตัวเลยด้วยซ้ำ โอ้พระเจ้าช่วย บางวันเขาก็ยิงได้ทีนึงสามลูก แต่นัดต่อไป เขาก็อาจจะต้องไปนั่งพักก็ได้

บางทีบางวันผมก็รู้สึกล้มเหลวว่า ผมควรจะพยายามอยู่ในอังกฤษให้ได้นานกว่าในตอนนั้นที่ผมย้ายหนีไปตุรกีเพื่อซบเบสิคตัส ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาดีๆในตุรกีและผมสนุกมาก ผู้คนต้อนรับอย่างอบอุ่นและมีความสุข แต่ถ้าผมตัดสินใจอยู่โยงต่อในอังกฤษ และพยายามต่อสู้แย่งตำแหน่งที่แมนยู หรือยอมออกไปยืมตัวกับสโมสรอื่นๆก่อน นั่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างแท้จริงของผมในช่วงเวลานั้นก็ได้

มีบทเรียนดีๆต่างๆมากมายให้คุณได้เรียนรู้ในเมืองแมนเชสเตอร์ และบทเรียนที่ว่าเหล่านั้นผมก็อยากจะหยิบมันไปใช้กับปรัชญาการโค้ชนักเตะ

ผมเป็นโค้ชเยาวชนอยู่ที่ฟิลาเดเฟียในUSซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ดีเลย เพราะฟิลาเดเฟียยิ่งใหญ่มากๆ เป็นเมืองที่สวยน่าอยู่ เป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในอเมริกา ส่วนภาษาอังกฤษของผม ตอนนี้ดีขึ้น แม้ยังต้องเข้าคลาสวีคละครั้งอยู่

ตอนแรกที่ผมมาจากบราซิลมาอยู่ที่นี่ เรารู้ได้เลยทันทีว่ามันจะเป็นสถานที่ที่ดีและน่าอยู่มาก แถมยังมีสถานศึกษาดีๆให้กับลูกๆของผมอีกด้วย และโอกาสในการเป็นโค้ชของผมอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันที่เขามอบตำแหน่งหน้าที่ให้

ช่วงเวลาของผมตอนที่อยู่กับแมนยูไนเต็ดยังคงทรงคุณค่าสำหรับผม เพราะว่าผมยังใช้อะไรต่างๆมากมายที่ได้เรียนรู้จากประเทศอังกฤษนำเอาไปสอนเด็กนักเรียนฟุตบอลที่ผมดูแลอยู่ในปัจจุบันด้วย

บางทีคนอาจจะคิดว่าผมไปด้วยกันไม่ได้กับยูไนเต็ด แต่ผมมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมากๆ ผมมีความสุข มีเพื่อนดีๆมากมาย และมันยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกข้างในใจอยู่เสมอมาก็คือ

ผมหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้กลับมาโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสดังกล่าว ผมก็ยังมีความสุขกับเรื่องราวส่วนตัวของผมกับที่แห่งนี้อยู่ดี

หวังว่าวันนึงผมจะได้กลับมายังสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง

-Kleberson-

Reference

https://www.manutd.com/en/news/detail/utd-unscripted-kleberson-my-first-goal-my-first-born

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด