นอร์แมน ไวท์ไซด์ ดูโตกว่าอายุจริง แต่เขาเพียงแค่ 16 ปีเท่านั้นเองตอนที่ลงเดบิวต์ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
ดาวเตะไอริชเหนือรายนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมากและก็ไต่ระดับขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ จนกระทั่งผู้จัดการทีมอย่าง รอน แอตคินสัน ได้ตัดสินใจนำดาวยิงเลือดใหม่คนนี้ลงเล่นในเกมดิวิชั่นหนึ่งที่เจอกับ ไบรจ์ตัน แอนด์ โฮฟอัลเบี้ยน ในวันที่ 24 เมษายน 1982
ชื่อของนักเตะหมายเลข 11 รายนี้ปรากฏขึ้นบนบอร์ดแทนที่ Mike Duxbury นักเตะถิ่นของแมนยูไนเต็ดอีกคนเช่นกัน เราได้ยลฝีเท้าของนักเตะผู้นี้ที่ในอนาคตเขาจะเป็นคนพาแมนยูไนเต็ดคว้าแชมป์ FA Cup สองสมัย โดยได้หนึ่งครั้งในฤดูกาลถัดมา และอีกปีหนึ่งคือ 1985 ด้วยลูกปั่นโค้งหนีมือ เนวิลล์ เซาธ์ธอล เป็นภาพความทรงจำในวัยเด็กของแฟนบอลหลายๆคน
ในเกมที่สนาม Goldstone เรย์ วิลกิ้นส์ยิงประตูในเกมรอบชิง FA Cup ใส่ทีมนกนางนวล ก่อนที่ แฟร้งค์ สเตเปิลตัน จะถวายพานให้กับไวท์ไซด์ยิงประตูแรกให้แมนยูไนเต็ดได้สำเร็จภายในสองปีที่เดบิวต์
แมตช์นั้นเป็นที่จดจำที่สุดของการที่ไวท์ไซด์ได้ก้าวขึ้นมาสู่ฟุตบอลระดับซีเนียร์อย่างเต็มตัว แน่นอนว่าเขาเป็นชายหนุ่ม ใจยังร้อน มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา และดูโตเกินกว่าอายุของเขา
นอร์แมน ไวท์ไซด์ คือนักเตะที่อายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่เรามีดาวรุ่งผู้ไร้เทียมทานอย่าง ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส เกิดขึ้นมาที่สโมสร เพราะงั้นมันอาจจะเป็นจุดสนใจและแรงกดดันก็ได้สำหรับนักเตะที่ถูกเปรียบเทียบกับตำนานเช่นนั้น
แต่ไม่ใช่กับไวท์ไซด์
"ผมยังไม่ได้มีวิสัยทัศน์อะไรที่กว้างไกลนัก ผมเอาใจแต่ ไม่ชอบให้ใครมาขวาง แฟนผมก็ไม่มีด้วย ผมไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน สิ่งเดียวที่ผมอยากทำคือ ผมอยากเป็นนักฟุตบอล"
"สโมสรแรกที่ติดต่อมาหาผมตั้งแต่อายุยังน้อยมากๆคืออิปสวิช ทาวน์ ตอนนั้นบ็อบบี้ ร็อบสันเป็นผู้จัดการทีม แต่ตอนที่แมวมองมาเคาะประตูบ้าน เขาบอกว่า คุณร็อบสันคิดว่าคุณยังเด็กเกินไปหน่อยนึง รออีกสักหกเดือนจะได้ไหม ซึ่งในตอนนั้นเหมือนกัน บ็อบ บิช็อป ก็เข้ามาเช่นกันและพาผมไปอยู่กับยูไนเต็ด นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เกิดขึ้น ผมอายุ 16 ปี แล้วก็เข้าสู่ทีมชุดใหญ่"
วันเดบิวต์แห่งชะตากรรมของไวท์ไซด์มาถึง เมื่อนายใหญ่แอตคินสันถามว่าเขามีชุดจะใส่รึยัง ก่อนที่จะใส่ชื่อลงในรายนามนักเตะตัวสำรอง ซึ่งเหลือที่เพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพราะ ไมค์ ดักซ์บิวรี่ มีอาการบาดเจ็บอยู่ ทำให้เขาได้ลิ้มรสกับโอกาสการลงเล่นในฟุตบอลระดับซีเนียร์ครั้งแรก รวมเวลาแล้ว 12 นาทีในสนาม
ไวท์ไซด์เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเขาได้ค่าเหนื่อยราวๆ 16 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ แต่ถ้าชนะ จะมีโอกาสได้โบนัส 800 ปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งทำให้เขาผิดหวังในตอนนั้น
แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา เด็กหนุ่มจากเบลฟาสต์รายนี้ได้ลงเล่นในเกมที่แฟนผียุคนี้รู้จักกันดีอย่าง "The FA Youth Cup" ในรอบชิงชนะเลิศกับ "Watford" ที่สนาม โอลด์แทรฟฟอร์ด (คุ้นๆมั้ย ปีนี้รอบชิงของพวกเด็กๆเราก็เตะOTFเหมือนกัน) หารู้ไม่ว่าตัวเขาจะได้เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้ว
หลังวันเดบิวต์ทีมชุดใหญ่เกมแรก หลังจากนั้นก็ได้ลงในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 1981/82 เขาก็อายุเข้า 17 ปี และได้เซ็นสัญญาใหม่กับสโมสรในวัยเด็กของเขา หลังจากที่แอสซิสต์ให้กับไบรอัน ร็อบสันแล้วในลูกเปิด ยังไม่สาแกใจเขาก็กดประตูที่สองให้กับทีม บนชัยชนะเหนือ สโต๊ค ซิตี้ 2-0 และกลายเป็นผู้ทำประตูของปีศาจแดงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ในที่สุด หลังจากที่อายุขึ้นเลข 17 เพียงแค่อาทิตย์กว่าเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อมาเขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือเข้าทีมตะลุยฟุตบอลโลกที่สเปน แถมยังทำลายสถิติเปเล่ที่อายุน้อยที่สุดซึ่งได้ลงในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แถมยังเป็นผู้เล่นตัวสำคัญในทีมชาติของผู้จัดการอย่าง Billy Bingham อีกด้วย
"มันเป็นปีที่ดีมากๆสำหรับผม ผมได้ลงเดบิวต์ให้กับแมนยูไนเต็ด และก็ทีมชาติด้วยตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องตลกก็คือ ทีมกายภาพอย่าง Jim McGregor นั้นก็ดันเป็นคนไอร์แลนด์เหนือด้วยในเวลานั้น แล้วยัง Eric Harrison อีก อีริคก็เคยทำงานร่วมกับจิมที่เอฟเวอร์ตัน พร้อมๆกับ บิลลี่ บิงแฮมด้วย เพราะงั้นพวกเขาสามคนก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว พวกเขาเลยแอบๆมาบอกผมตอนที่อยู่ในห้องรักษาว่า บิลลี่กำลังดูเอ็งอยู่นะไอ้หนู ตั้งใจเล่นต่อไป"
"อีริคมีการประชุมประจำเดือนเพื่อรายงานความคืบหน้าของฝีเท้านักเตะว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งมันดีเลยนะ เขาบอกผมตอนมีตติ้งครั้งหนึ่งว่า ให้ตั้งใจซ้อมต่อไป จบฤดูกาลนายอาจจะเซอไพรส์ก็ได้นะ ซึ่งก็เซอไพรส์จัดๆเลย อยู่ดีๆผมก็ได้ไปเตะฟุตบอลโลกซะยังงั้น!!"
นี่คือเรื่องราวจากคำบอกเล่าในการเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งของ "Norman Whiteside ที่อยากให้แฟนผีได้รู้จักและจดจำชื่อนักเตะคนนี้เอาไว้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับตำนานของเรา ที่น่ารู้จักและจดจำเช่นกัน สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ตำนานการเป็น "ผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" นี่แหละ
(คนละสถิติกับนักเตะที่ลงสนามพรีเมียร์ลีกอายุน้อยที่สุดนะครับ อันนั้นเป็นของ Angel Gomes)
กับอายุ 17 ปี [0 เดือน] 8 วัน ทิ้งห่างอันดับสองอย่าง Sammy McIlroy ค่อนข้างห่างพอสมควร (ของแซมมี่ แม็คอิลรอย ยิงได้ตอนอายุ 17 ปี 3 เดือน 4 วัน)
นอร์แมน ไวท์ไซด์ ตอนเป็นนักเตะเขาคือผู้เล่นที่เล่นได้ทั้งตำแหน่ง Striker และ Midfielder ลงเล่นให้แมนยูไนเต็ดไปทั้งหมด 7 ฤดูกาล 278 นัด ยิงไป 68 ประตู จากทั้งเกมลีกและบอลถ้วย ก่อนจะย้ายไปแขวนสตั๊ดช่วงสองสามปีสุดท้ายที่เอฟเวอร์ตัน ด้วยการถูกขายในราคา 600,000 ปอนด์ (ยุคนั้นเยอะมาก) และต้องแขวนสตั๊ดก่อนเวลาอันควรด้วยวัยเพียงแค่ 26 ปีเท่านั้นเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เข่า
เกียรติประวัติของไวท์ไซด์กับแมนยูยุค 80 คือ พาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ 2 สมัย ในปี 1983 และ 1985 และรวมถึงการได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเกม FA Youth Cup ปี 82 ตามที่เขาเล่าเอาไว้ รวมถึงนัดชิง ลีกคัพ ปี 1983 และเกมแชริตี้ชิลด์ของปี 1983 ด้วยเช่นกัน
ข้างล่างนี้คือสุดยอดประตูในตำนานของไวท์ไซด์ กับลูกยิงเสียบมุมรอบชิงชนะเลิศของเขาที่พาทีมคว้าแชมป์ปี1985
เขายังคงเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นใน FIFA World Cup อยู่ รวมถึงสถิตินักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในลีกคัพ และรอบชิงเอฟเอคัพด้วย รวมถึงยังเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูให้ทีมชุดใหญ่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่จนบัดนี้
ติดธงไอร์แลนด์เหนือไปทั้งหมด 38 นัด และได้ไปเล่นบอลโลกสองสมัยในปี 1982 กับ 1986 พาประเทศของเขาคว้าแชมป์ในการจัดครั้งสุดท้ายของถ้วย British Home Championship 1983/84
นอร์แมน ไวท์ไซด์หลังจากแขวนสตั๊ดแล้ว เขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาอาการเจ็บที่เท้า และยังทำงานร่วมกับฝ่ายรักษาพยาบาลที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในปัจจุบัน
https://www.manutd.com/en/news/detail/forty-years-on-since-norman-whiteside-man-united-debut
ไฮไลต์การยิงของไวท์ไซด์ เอาไว้ดูเพลินๆครับ
