พื้นที่ ยูโรป้าคอนเฟอเรนซ์ลีก เป็นการแย่งชิงกันระหว่าง บียาร์เรอัล กับ แอธ.บิลเบา โดยก่อนลงสนามทั้ง ‘เยลโล่ ซับมารีน’ ได้เปรียบอยู่เมื่อมีแต้มนำ 56-55  แต่ก็ถูกมองว่าไม่แน่ เพราะพวกเขาต้องไปเยือน บาร์เซโลน่า ถึง คัมป์ นู ส่วน ‘โลส เลโอเนส’ ล่องใต้ไปเจอกับ เซบีย่า 

ผลปรากฏว่า บียาร์เรอัล งัดฟอร์มดุบุกอัด บาร์ซ่า 2-0 จาก อัลฟองโซ่ เปดราซ่า แบ็กซ้ายนาทีที่ 40 จากนั้นครึ่งหลังนาที 54 ได้เพิ่มอีก 1 ลูกจาก มอย โกเมซ ปีกตัวจี๊ดที่เจ็บไปนาน ส่วน บิลเบา เร่งไม่ขึ้นพ่าย เซบีย่า ไป 0-1 

หลังเกม มาร์เซลีโน่ การ์เซีย โตรัล กุนซือบิลเบาบอกว่าเกมครึ่งแรกนั้นสูสี ต่างฝ่ายต่างมีโอกาส แต่พอครึ่งหลังนั้นผลงานของลูกทีมดร็อปลงไป เหตุผลนั้นเพราะนักเตะของเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ คัมป์ นู 

“พวกนักเตะนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ คัมป์ นู และนั่นทำให้เราสูญเสียการควบคุม”  มาร์เซลีโน่ ให้สัมภาษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าพวกบิลเบาคิดว่า บาร์ซ่า ไม่ได้เล่นอย่างจริงจังอย่างที่ควร 

ความพ่ายแพ้ต่อ เซบีย่า 0-1 ทำให้ แอธ.บิลเบา จบอันดับที่ 8 ของตารางเก็บได้ 55 แต้ม พลาดตั๋วเล่นฟุตบอลยุโรปถึง 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งนั่นทำให้อนาคตของ มาร์เซลีโน่ ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าจะต้องกลับไปประเมินร่วมกับทีมงานกันอีกที 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจหลักๆอาจขึ้นอยู่กับว่าใครจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานสโมสรคนใหม่ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกันในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ที่สนามซาน มาเมส 

ฟากฝั่งผู้สมหวัง บียาร์เรอัล แม้ผลงานใน ลีก จะกระท่อนกระแท่น แต่ก็ถือว่ายังไม่มือเปล่า และนั่นทำให้ อูไน เอเมรี่ ทำสถิติคุมทีมไปเล่นฟุตบอลรายการยุโรป 15 ฤดูกาลติดต่อกันแล้ว

นับแต่เทิร์นโปรขึ้นเป็นเทรนเนอร์อาชีพ เอเมรี่ คุมทีมลงเล่นเวทียุโรปไปแล้วทั้งสิ้น 163 เกม, 49 เกมกับ เซบีย่า, 44 เกมกับ บาเลนเซีย,27 เกมกับ บียาร์เรอัล,20 เกมกับ อาร์เซน่อล, 16 เกมกับ เปแอสเช และ 7 เกมกับ สปาร์ตัก มอสโก้...สุดยอดจริงๆ  

………………………………..

จากการแย่งชิงพื้นที่สุดท้ายฟุตบอลยุโรป มาสู่การโรมรันเพื่อความอยู่รอด ซึ่งในเกมที่ 38 มี  กรานาด้า,กาดิซ และ เรอัล มายอร์ก้า ที่ต้องเล่นเกมชี้ชะตาเพื่อหาทีมสุดท้ายที่จะเก็บของตาม อลาเบส กับ เลบันเต้ ไปเล่นในเซกุนด้า ดิบิซิออน ฤดูกาลหน้า 

ก่อนลงเล่น สถานการณ์ของ กรนาด้า ได้เปรียบมากกว่าใคร พวกเขามี 37 แต้ม มากกว่า เรอัล มาอยร์ก้า และ กาดิซ ที่มี 36 แต้ม อีกทั้งโปรแกรมก็ยังเอื้อให้มากกว่า เมื่อได้เล่นในรังเอสตาดิโอ โลส การ์เมเนส ของตัวเองกับ เอสปันญ่อล ทีมที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว แถมยังเพิ่งเปลี่ยนกุนซือได้ไม่ถึง 10 วัน 

ขณะที่ กาดิซ ต้องไปเยือน อลาเบส ที่ตกชั้นไปแล้ว ส่วน เรอัล มายอร์ก้า เดินทางไป ปัมโปลน่า เพื่อเล่นกับ โอซาซูน่า 

จบครึ่งแรก ทั้ง 3 สนามไม่มีประตูเกิดขึ้นแม้แต่ลูกเดียว นับคะแนนแบบเรียลไทม์ กรานาด้า ยังรอดตกชั้นแบบไม่ยากเย็น 

แต่เปิดฉากครึ่งหลังได้อึดใจเดียว อังเคล โรดริเกซ ยิงให้ มายอร์ก้า ขึ้นนำ โอซาซูน่า 1-0 นาทีที่ 46 

จากนั้นนาที 75 โชโก้ โลซาโน่ กองหน้าฮอนดูรัสซัดให้ กาดิซ ขึ้นนำ อลาเบส 1-0 บ้าง ก่อนที่ เกลม็อง เกรนิเยร์ มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสซึ่งลงเล่นเกมที่ 5 ให้ มายอร์ก้า ในฐานะตัวสำรองทั้งหมดจะมายิงประตูย้ำชัยชนะให้ ทีมชาวเกาะบุกชนะ โอซาซูน่า 2-0 

กาดิซ ยิงได้ มายอร์ก้า ยิงได้ พวกเขาบุกเก็บชัยชนะเหนือคู่ต่อสู้สำเร็จ ขณะที่ กรานาด้า เล่นกับ เอสปันญ่อล ในบ้านแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยได้ ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมสุดท้ายที่ต้องตกชั้นไป 

ว่าไปแล้ว นับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเหมือนกันที่ กรานาด้า ต้องตกชั้น 

ฤดูกาล 2019-20 ภายใต้การนำของ ดีเอโก้ มาร์ติเนซ พวกเขาจบที่ 7 ของตารางคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูโรป้า ลีก ฤดูกาลต่อมา 2020-21 แม้ไม่ได้ไปยุโรป แต่ก็จบสูงถึงอันดับที่ 9 

จุดเปลี่ยนสำคัญน่าจะอยู่ที่การลาออกของ ดีเอโก้ มาร์ติเนซ หลังจบฤดูกาล 2020-21 เนื่องจากมีปัญหาขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร 

การเข้ามาของ โรเบิร์ต โมเรโน่ อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปนส่งผลกระทบต่อทีมอย่างมาก เมื่อเขารื้อรูปแบบการเล่นและโครงสร้างเดิมของทีมเพื่อใส่ไอเดียการเล่นของตัวเองลงไป แต่กลายเป็นว่ามันไม่เวิร์ค จนทีมเริ่มผลงานแย่ลงเรื่อยๆ 

จนที่สุดบอร์ดก็ตัดสินใจปลด โมเรโน่ ออก แต่งตั้ง รูเบน ตอร์เรซิย่า ซึ่งแทบไม่มีโปรไฟล์อะไรเข้ามาทำงานก่อนจะปลดอีกครั้งเพื่อแต่งตั้ง ไอตอร์ การ์รานก้า เข้ามาช่วยทีมในช่วงโค้งสุดท้าย ทว่าอดีตปราการหลังเรอัล มาดริด ยุค 90 ทำไม่สำเร็จ 

การตกชั้นของ กรานาด้า จึงพูดได้ว่าการตัดสินใจของบอร์ดบริหารมีส่วนสำคัญยิ่งทำให้สโมสรต้องพบกับจุดจบใน ลา ลีกา อย่างไม่คาดคิด ซึ่งนับว่าเสียหายอย่างใหญ่หลวง

นอกจาก กรานาด้า แล้ว อลาเบส หนึ่งในทีมตัวแทนจากแคว้นบาสก์ก็นับว่าน่าผิดหวังอย่างยิ่ง เมื่อลงเล่นนัดสุดท้ายกับ กาดิซ ที่บ้านตัวเอง และลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ทำให้จบอันดับสุดท้ายใน ลา ลีกา ทำสถิติเป็นทีมที่แพ้มากที่สุดใน ลีก ที่ 22 เกม เป็นทีมที่ยิงน้อยที่สุดแค่ 31 ประตู และเป็นทีมที่เสีนประตูมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่ 65 ลูก รองจาก เลบันเต้ ซึ่งเสียไป 76 ประตูจาก 38 เกม 

ผลงานที่นับว่าเป็นตัวฉุดรั้งให้ อลาเบส ตกชั้นก็คือการเล่นเป็นทีมเยือนโดย 18 นัด 54 แต้มเต็ม พวกเขาเก็บได้แค่ 6 แต้มจากการเสมอ 3 ชนะ 1 

เลบันเต้ คืออีกหนึ่งทีมที่ตกชั้น แต่สำหรับแฟนๆของพวกเขา อาจพูดได้ว่ามีเวลาเตรียมตัวตัวใจนานกว่าคนอื่นๆ เมื่อครั้งนึงเคยทำสถิติต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้วลากยาวมาถึงฤดูกาลปัจจุบันโดยไม่ชนะใครใน ลา ลีกา ติดต่อกันถึง 27 เกม 

นี่ผลงานที่แย่แบบสุดๆ อย่างไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกสเปน แต่อย่างน้อย เลบันเต้ ก็จากไปพร้อมกับผลงานชนะรวด 2 นัดสุดท้ายจนทำให้หนีบ๊วยสำเร็จ และหนึ่งนั้นเป็นการเอาชนะและดึง อลาเบส ร่วงตกชั้นตามพวกเขาไป 

ส่วนผู้รอดชีวิต เซร์คิโอ กอนซาเลซ เทรนเนอร์กาดิซ ให้สัมภาษณ์หลัง mission complete ว่า “ฟุตบอลนั้นให้ความยุติธรรมกับรูปแบบการเล่นของพวกเรา” หมายถึงว่าทีมของเขาทุ่มเทและเล่นฟุตบอลที่ดี จึงได้รับผลตอบแทนที่ดี 

ส่วน ‘ชาวเกาะ’ เรอัล มายอร์ก้า อีกหนึ่งผู้รอดชีวิต งานนี้คงต้องให้เครดิตกับ ฮาเวียร์ อากีร์เร่ มากหน่อย 

กุนซือชาวเม็กซิกันที่เข้ามารับงานต่อจาก หลุยส์ การ์เซีย ปลาซ่า หลัง มายอร์ก้า ออกไปแพ้ เอสปันญ่อล 0-1 ทำสถิติพ่าย 6 เกมติดต่อกัน  

ตอนเข้ามารับงาน อากีร์เร่ เหลือเกมอยู่ในมือ 9 เกม ปรากฏผลงานออกมา ชนะ 4 แพ้ 4 เสมอ 1 รอดตายแบบหวุดหวิด ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยอมรับว่าในนัดที่ 35 ที่พ่ายคาบ้านต่อคู่แข่งโดยตรงอย่าง กรานาด้า 2-6 นั้นทีมทั้งเสียขวัญ และรู้สึกช็อคอย่างมาก 

“ขาข้างนึงของเราร่วงไปที่ เซกุนด้า ช่วงเวลานั้นมันเลวร้ายมาก ผมนอนไม่หลับไป 3 วันเลย” 

แต่มาตอนนี้ทุกอย่างจบอย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง อากีร์เร่ กำลังจะได้รับรางวัลตอบแทนให้คุมทีมชาวเกาะต่อไป หลังทำได้ตามข้อตกลงพาทีมรอดตกชั้นเป็นผลสำเร็จ 

ยินดีด้วยกับผู้รอดชีวิตและเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วยกับทีมที่ต้องร่วงตกชั้น 

พรุ่งนี้เรามาคุยกันถึงบทสรุป ลา ลีกา ฤดูกาล 2021-22 ในส่วนอื่นๆกันครับ 

เจมส์ ลา ลีกา