:::     :::

แมนยูช้า หรือข้าใจร้อน?

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,058
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความรู้สึกของแฟนบอลที่รู้สึกว่าแมนยูไนเต็ด "เดินดีลช้า" กระบวนการดำเนินงานมันช้าจริง หรือเป็นสิ่งที่แฟนบอลใจร้อนเกินกว่าที่ควรจะเป็นกันแน่? นี่คือคำตอบบางส่วนที่พอจะอธิบายได้ในเบื้องต้น
ท่ามกลางข้อสงสัยที่แฟนบอลแมนยูไนเต็ดบางส่วนเข้าใจว่าสโมสรเดินดีลซื้อนักเตะ "ช้า" อยู่ในเวลานี้

คำถามก็คือ มันช้าและไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่แฟนบอลคิดจริงๆหรือ? นี่คือประเด็นที่น่าหยิบยกมาหาคำตอบอย่างมาก

เริ่มต้นกันด้วยรายละเอียดของตลาดซื้อขายนักเตะที่แฟนบอลควรจะรู้ข้อมูลกันก่อนว่า หน้าต่างซื้อขายของพรีเมียร์ลีก รายละเอียดเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ตลาดซื้อขายนักเตะที่เปิดในวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา

ดีลที่ซื้อขายข้ามระหว่างประเทศ และการเซ็นฟรี จะต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่ 1 กรกฎาคม ถึงจะดำเนินการได้เรียบร้อย (international deals and free transfers will not go through until July 1.)

ทุกสโมสรจากลีกต่างๆสามารถเซ็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ได้แม้ว่าจะเลยเดดไลน์ไปแล้ว ตราบใดที่นักเตะคนนั้นยังไม่มีสัญญากับสโมสรใดๆก่อนวันที่ 1 กันยายน และการตกลงดีลที่เกิดขึ้นข้ามลีกจะสามารถประกาศอย่างเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เปิดให้สามารถเซ็นสัญญากับสโมสรได้

การซื้อขายนักเตะจะสิ้นสุดกันวันตลาดปิด ในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2022 เวลาห้าทุ่ม ตามเวลาBST (บ้านเราคือเช้ามืดวันที่ 2 กันยายน เวลาตีห้า)

ภาษาชาวบ้านคือมันเพิ่งเปิดในอังกฤษ ในขณะที่ดีลอื่นๆจากสโมสรในยุโรป หรือส่วนต่างๆของโลก จะต้องรอจนกว่าสิ้นเดือนนี้ถึงจะดำเนินการสำเร็จได้

รอยต่อที่แท้จริงมันอยู่วันที่ 30 มิถุนายน-1 กรกฎาคม นั่นแหละ เพราะสัญญาของนักเตะบางคนกับแมนยูไนเต็ด จนถึงตอนนี้ (12 มิถุนายน) เขาก็ยังไม่หมดสัญญากับเราจนกว่าจะหมดสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

เรื่องนี้คือประเด็นแรกที่ควรต้องรู้รายละเอียดของกรอบระยะเวลาการซื้อขายและเสริมทีมอย่างถูกต้องก่อนที่จะทำการวิพากษ์วิจารณ์ หรือคิดว่ามันช้า/เร็ว อย่างไรบ้าง

"Some fans think United are slow in this transfer market, it has just opened in the UK, & will not open to sign players from European & the rest of the World clubs until the end of the month."

ประโยคแบบsimple แต่อธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนภายในสองบรรทัดสั้นๆ

ในยามที่สโมสรอยู่ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของฟอร์มการเล่นและสถานภาพทีม การทำข่าวโจมตีแมนยูไนเต็ดมักจะเป็นข่าวที่ขายได้เสมอ และได้ผลกับแฟนบอลที่ขาดวิจารณญาณในการวิเคราะห์ข่าวอยู่แล้ว

การทำคอนเทนต์บนการเหยียบย่ำสโมสรพบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะมุกตลกที่เหยียบย่ำซ้ำเติมทีมเกินกว่าเหตุ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาบนหน้าฟีดข่าวที่สร้าง "มุมมองการรับรู้" (perception) แบบผิดๆต่อแฟนบอลมากมาย จนทำให้ทุกอย่างมันดู "แย่เกินกว่าความเป็นจริง" ไปมาก

เมื่อสิ่งเหล่านี้มาผนวกกับมุมมองในการเชียร์ฟุตบอลที่ขาดวิจารณญาณ และเต็มไปด้วยทัศนคติในแง่ลบ ทุกอย่างจึงดูเลวร้ายไปซะทุกอย่าง

ทั้งที่จริงๆมันไม่ได้แย่เว่อร์อะไรขนาดนั้น

ประเด็นเรื่องความช้าที่เข้าใจกันแบบผิดๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ดีลของเจดอน ซานโช่ ที่ซื้อมาเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว แฟนบอลบางส่วนยังเข้าใจกันอยู่ว่า ดีลนี้ล่าช้าเป็นปีๆ จากการที่เราวืดในซัมเมอร์ฤดูกาล 2020/21 และได้ตัวในฤดูกาล 2021/22 แทน

การที่ทีมตัดสินใจไม่ยื่นซื้อเพราะโดนโก่งราคา มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

สโมสรไม่ยื่นซื้อซานโช่ตอนที่โดนโก่งราคาไป 120ล้านยูโร และกลับมาดีลเขาอีกครั้งช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และซื้อได้ในราคาแค่ 85ล้านยูโร (72ล้านปอนด์) เท่านั้น

หรือจะให้ซื้อในราคา 120 ล้านแค่เพื่อให้แฟนบอลรู้สึกว่าซื้อตัวมาได้เร็ว? ไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่

และในเมื่อสโมสรไม่โอเคกับราคานี้ จึงเลือกที่จะไม่ยื่นข้อเสนอในปีนั้น มันคือการดีลอย่างถูกต้องที่เลือกจะไม่ยอมโดนโก่งราคาเกินความจำเป็น

การรักษาราคาซื้อขายให้สมเหตุสมผลคือเรื่องสำคัญมาก ดีลซานโช่ก็ไม่ได้สำเร็จตั้งแต่การยื่น "first offer" แต่อย่างใด

ถ้าใครจำได้ แมนยูไนเต็ดเสนอราคาเบื้องต้นในครั้งแรกไปต่ำกว่าค่าตัวที่ดอร์ทมุนด์ตั้ง จากนั้นค่อยยื่นmatchกับที่ต้นสังกัดต้องการ จนคว้าตัวสำเร็จ การค่อยๆต่อรองคือเรื่องธรรมดาของการbidต่อรองราคานักเตะอยู่แล้ว

ทีมอื่นๆเขายื่นครั้งเดียวแล้วได้ตัวเลยหรือไม่.. ก็ไม่

ที่แฟนบอลเห็นทีมอื่นเปิดตัวกันทีเดียวได้ตัวเลย นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีการลงรายละเอียดหรือดีเทลในการซื้อขายนักเตะออกมาเป็นข่าวเหมือนทีมชื่อดังที่ขายข่าวได้อย่างแมนยูไนเต็ดนั่นเอง

บางทีถ้าไม่มีข่าวอะไรรายงานออกมาเลยถึงความคืบหน้าในการเดินดีล แล้วเปิดตัวปั้งเดียวนักเตะชูเสื้อเลย อาจจะดีกับการรับรู้ของแฟนบอลมากกว่าก็ได้

บางคนรู้สึกเหนื่อย เบื่อกับข่าวนักเตะ

แต่บางคนมองเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดา

การตามข่าวไปเรื่อยๆด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของการขายข่าวจากสื่อทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งแฟนบอลควรจะทำ

และถ้าทำได้ มันจะทำให้การตามข่าวซื้อขายนักเตะเป็นไปอย่างสบายๆ ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับการเสพข่าว

ยกตัวอย่างง่ายๆในตอนนี้ แมนยูไนเต็ดกำลังมีข่าวกับ "แฟรงกี้ เดอ ยอง" อยู่ และการพูดคุยต่างๆก็ดำเนินการอยู่เรื่อยๆ

มีทั้งการประชุมวางแผน การพูดคุยงานของ Erik ten Hag กับผู้ประสานงานอย่าง John Murtough ผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสร และทีมงานฝ่ายScoutในเรื่อง "แผนการเสริมทัพ" เรียบร้อยแล้วตั้งแต่อัมสเตอร์ดัม

ลากยาวมาถึงการมีตติ้งที่ลอนดอนเมื่อเดือนก่อน ช่วงก่อนแมนยูลงเตะเกมสุดท้ายของซีซั่นในการเจอคริสตัล พาเลซ

ข่าวออกมาชัดเจนเป็นระยะๆว่า แพลนการเสริมทัพ ถูกพูดคุยและมีตติ้งกันไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นความกังวลในเรื่องที่ว่า ทีมเดินดีลทีละคนโดยไม่ได้มีแผนรองรับนั้นก็ควรจะตกไป และไม่ต้องกังวลในกรณีนี้

คนเจรจาดีลก็คุยต่อรองดีลหลัก ในขณะที่เป้าหมายอื่นๆทีมก็ติดตามสอบถาม และดูสถานการณ์อยู่แล้ว

การที่ทีมเจรจาให้เสร็จเป็นรายๆไป มันไม่ได้แปลว่าตัวอื่นเราจะไม่ทำอะไรเลย เหมือนอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ที่สำคัญคือช่วงนี้มี FIFA Day ที่จะยังไม่หมดจนกว่าจะถึงช่วงกลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ หลายๆทีมต้องเตะกันจนถึงวันที่ 15-16 มิถุนายน นักเตะตัวท็อปทั้งหลายติดภารกิจทีมชาติ และอยู่ในสถานะที่จะยังไม่ดำเนินการอะไรต่อจนกว่าจะกลับมาจากแคมป์ทีมชาติ

บางคนอาจจะขอตัวจากแคมป์ทีมชาติ และเดินทางมาเคลียร์รายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตรวจร่างกาย หรือเตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อรอดีลบรรลุอย่างเป็นทางการในช่วงต้นกรกฎาคมที่จะถึงนี้

คิดง่ายๆ ดีลฮาลันด์ยังต้องรอเวลาเซ็นกันอย่างเป็นทางการเลย

แต่จริงๆแล้วยังมีเวลาอยู่อีกเยอะ เพราะรอให้หมดฟีฟ่าเดย์ช่วงนี้แล้วไปเร่งดีลเมื่อนักเตะหมดภารกิจแล้วก็ยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ในช่วงที่ผู้จัดการทีมจะเรียกนักเตะมาเข้าแคมป์ และเตรียมตัวไปปรีซีซั่นด้วยกัน

ยูไนเต็ดยังสามารถเร่งรัดดีลต่างๆให้เรียบร้อยได้โดยที่พอมีเวลาจัดการดีลให้เรียบร้อยในเป้าหมายเบื้อต้น เนื่องจากเกมปรีซีซั่นนัดแรกของแมนยูไนเต็ดคือการเจอลิเวอร์พูลในวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ที่ราชมังคลาฯบ้านเรา

ตามรายงานข่าวที่ออกมา เอริค เทน ฮาก เรียกให้นักเตะมาเตรียมตัวฝึกซ้อมปรีซีซั่นกันเร็วกว่ากำหนดการเดิม 2 สัปดาห์ ขึ้นมาเป็นราวๆวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ซึ่งก็เป็นช่วงที่นักเตะหมดภารกิจรับใช้ทีมชาติช่วงนี้พอดี ผู้เล่นต่างๆโดยเฉพาะตัวที่ติดทีมชาติ ก็ยังมีเวลาให้ได้พักผ่อนกันอีกราวๆคนละ 5-6 วัน ก่อนที่จะต้องกลับมารายงานตัว

โดยการกลับมาซ้อมเร็วกว่ากำหนดครั้งนี้ ETH ต้องการเรื่อง "ระดับความฟิต" ของนักเตะที่จะต้องเพียงพอต่อเกมการเล่นของเขา การกลับมาเร็วของเด็กๆในทีมก็เพื่อโฟกัสและพัฒนาเรื่อง Fitness Level มากขึ้น

เมื่อเรียงไทม์ไลน์กันแบบง่ายๆ โคตรง่ายให้เห็นแล้ว จะพบว่า เวลาในการเซ็นสัญญานักเตะยังเหลืออยู่เยอะแยะ ในยามที่จริงๆแล้ว "ตลาดนักเตะก็เพิ่งจะเปิดได้สองวัน" เท่านั้น

แต่แฟนบอลที่ใจร้อนอาจจะรู้สึกว่ามันช้าอยู่ ถ้างั้นมาดูกรอบระยะเวลาแบบคร่าวๆตามนี้

-หมดเกมทีมชาติ ฟีฟ่าเดย์ > 15 มิถุนายน 2565

-กลับมาเข้าแคมป์ที่แคริงตัน ปรับสภาพความฟิต > 20 มิถุนายน 2565

-ดำเนินการเซ็นสัญญานักเตะนอกUKอย่างเป็นทางการ / วันวางขายเสื้อฤดูกาลใหม่ > 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป

-เดินทางปรีซีซั่นเกมแรก > 12 กรกฎาคม 2565

จากไทม์ไลน์นี้เราจะเห็นว่า

1. มีเวลาที่สะดวกในการเซ็นนักเตะให้เข้าทีมมาทันก่อนปรีซีซั่นเกมแรก = "1 เดือน"

2. เวลาในการซื้อขายนักเตะจนกว่าตลาดจะปิด = "2 เดือนครึ่ง"

3. เวลาในการเซ็นบิ๊กดีล หรือนักเตะใหม่ เพื่อให้มาพร้อมกับช่วงเวลาเปิดตัวเสื้อฤดูกาลใหม่ตามปกติ = "2 สัปดาห์"

ประเด็นสำคัญมีแค่ข้อหนึ่งข้อเดียวด้วยซ้ำ ข้อหลังๆแทบไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว เมื่อจริงๆทีมเรายังมีเวลาอีกเป็นเดือนในการหานักเตะเข้าทีมมาก่อนที่จะปรีซีซั่น นั่นเป็นเวลาที่มากพอสำหรับการเดินดีลซื้อขายนักเตะเพื่อให้ทันการเตรียมทีมในเบื้องต้น

แฟนบอลจะให้สโมสรเดินดีลครบ 4 คนภายใน 1 เดือนให้ทันช่วงปรีซีซั่นเลยทันที นั่นคือความคาดหวังที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริง

ถ้าการช้า มันเป็นแค่ความไม่ทันใจแฟนบอลที่อยากให้มันจบดีลเร็วๆจะได้ไปต่อตัวอื่น แบบนี้ไม่เรียกว่าแมนยูช้า

มันคือการใจร้อน

เราพิจารณากันที่การดำเนินงาน ไม่ใช่ความรู้สึก

เพราะถ้าตอนนี้ มีข่าวออกมาเพิ่มเติมว่า แมนยูไนเต็ดน่าจะปิดดีลแฟรงกี้ เดอ ยอง ได้ในอีกราวๆ 1-2 อาทิตย์ แฟนบางส่วนก็จะรู้สึกว่า "มันช้า" อยู่ดี แม้ว่าในความจริงแล้วตลาดเพิ่งเปิด ระยะเวลาดำเนินการก็ยังพอมี

ที่สำคัญ ดีลมาได้ก็ยังไม่ได้เริ่มต้นฝึกซ้อมเตรียมทีมอยู่ดี เท่าที่สังเกต นักเตะใหม่มาอย่างช้าสุดก็ไม่น่าเกิน "ต้นกรกฎาคม" เพราะนั่นคือระยะเวลาก่อนปรีซีซั่นเริ่ม และเป็นเวลาราว 1-2อาทิตย์หลังจากนักเตะที่ถูกเรียกกลับมาก่อน พัฒนาระดับความฟิตได้ทันพอดี

ยุคนี้ตลาดเพิ่งเปิดได้สองวัน ยังไม่เซ็นนักเตะเข้ามาก็มองว่าทำงานกันแย่แล้ว บางทีมันก็ไม่แฟร์กับคนทำงานของสโมสรที่พยายามเดินงานกันวุ่นอยู่หลังฉาก

โดยเฉพาะเอริค เทน ฮาก

ที่เห็นมีเปิดตัวกันไปบ้างแล้วในหลายๆดีล เหล่านั้นคือการ "เซ็นฟรี" ของพวกผู้เล่นฟรีเอเย่นต์ทั้งหลายสามารถเซ็นกันได้ก่อนและออกข่าวเปิดตัวกันไปแล้ว แต่เมื่อแมนยูไนเต็ดยังไม่มีเป้าหมายที่เป็นตัวฟรีในตอนนี้ ทีมเราก็ยังไม่มีการเซ็นสัญญาดังกล่าว มันก็ง่ายๆแค่นั้นเอง

ต้องถามคำถามกลับไปด้วยว่า แฟนๆแน่ใจมากน้อยกี่เปอร์เซ็นต์ว่า สิ่งต่างๆมันเป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ ข่าวที่ได้รับมา จริงเท็จมากน้อยแค่ไหน

พอมีข่าวเคลื่อนไหวเยอะ ก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกมองว่า ขายข่าว เล่นข่าว แต่พอไม่มีข่าว ก็มองว่าทีมเราไม่ทำอะไรเลยอีก

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านผู้ชมเหล่านั้นต้องการอะไรจากข่าวแมนยูกันแน่

อีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องที่ลิเวอร์พูลกำลังจะได้ "ดาร์วิน นูนเญซ" ไป ในขณะที่แมนยูมีข่าวมานานแต่พลาดตัว ตรงนี้ก็กลายเป็นมุมมองที่ "ดูเหมือนว่า" แมนยูอยากได้ใครมานาน แล้วโดนลิเวอร์พูลตัดหน้าไปง่ายๆ

แน่ใจเหรอว่ามันเป็นอย่างนั้น?

ถ้าพิจารณาดีๆมันค่อนข้างชัดเจนในเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ ที่เราเลือกจะทุ่มเงินกับบิ๊กดีลในพื้นที่มิดฟิลด์มาก่อนตำแหน่งกองหน้า

คิดง่ายๆ ถ้าซื้อแฟรงกี้ในราคาราว 70ล้าน และไปเอานูนเญซอีก 80ล้าน งบประมาณในซัมเมอร์นี้ก็ปาเข้าไป 150 ล้านแล้วอย่างต่ำๆ แต่สโมสรเราขาดนักเตะอีกหลายตำแหน่งมากไม่ว่าจะเป็นมิดฟิลด์อีกหนึ่งคน รวมถึงกองหลัง แบ็ค ปีกขวา อีกหลายจุดที่จำเป็นต้องอุดรูรั่ว

การที่ลิเวอร์พูลได้นูนเญซไป ไม่ได้แปลว่าแมนยูไนเต็ดไร้น้ำยา หรือสิ้นมนต์ขลัง มันก็แค่การตัดสินใจของนักเตะ และการตัดสินใจของสโมสรในการจะทุ่มกับดีลไหนมากน้อยเพียงใด

ถ้าต้องเอาเงินมหาศาลไปลงทุนมาได้แค่นักเตะสองคน ซึ่งยังต้องเสี่ยงอีกว่าดีลจะปังหรือไม่ปัง การเล่นจะเข้ากับทีม และตรงตามสิ่งที่ผู้จัดการต้องการหรือไม่

ถ้าเข้าใจในเรื่องtransfer budgetและลำดับความสำคัญที่ต้องเสริมในตำแหน่งดังกล่าว ประเด็นบ่นเรื่องนูนเญซจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าการที่ลิเวอร์พูลได้นูนเญซไป เป็นความล้มเหลวของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปซะอย่างนั้น

ทั้งๆที่ปีศาจแดงยังมีตัวเลือกในการเสริมทัพอีกมากมายในตลาด กับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่จะมาเข้าระบบของเทน ฮาก ที่แมนยูไนเต็ด

กองหน้าตัวเป้าที่สามารถดึงมาใช้งานเพื่อเข้าระบบ ในฐานะตัวสนับสนุนช่วยสลับกันเล่นกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังมีอยู่เต็มตลาด ไม่ว่าจะเป็นแพทริค ชิค / เซบาสเตียน อัลแลร์ / โจนาธาน เดวิด / วิคเตอร์ โอซิมเฮน ฯลฯ ยังไม่รวมตัวที่มีข่าวซึ่งน่าสนใจอีกหลายคน อย่าง คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู เป็นต้น

ยังไม่รวมการปรับเปลี่ยนเอานักเตะที่มีอยู่แล้วอย่าง แรชฟอร์ด หรือ กรีนวู้ด ดึงมาเล่น Centre-Forward กึ่งๆ False Nine ก็ยังสามารถใช้ได้อยู่ แล้วปรับแผนเป็นการซื้อปีกขวาธรรมชาติอย่าง Antony มาแทน ก็ยังเป็นไปได้อยู่ ในราคาราว 52 ล้านปอนด์ ซึ่งก็สมเหตุสมผลกับนักเตะ

การพลาดคว้าตัวนูนเญซไปคนนึง ทั้งๆที่เรทราคาที่เบนฟิก้าขายก็เห็นแล้วว่าราคารวมตก 100ล้านยูโร (80+20) เราจะให้แมนยูไนเต็ดทุ่มเงินก้อนระดับนี้เพื่อนักเตะหนึ่งคน ในยามที่สโมสรไม่ได้ไปUCL และต้องค่อยๆสร้างทีมใหม่จากรากฐานไปทีละนิดๆ มันเป็นการลงทุนที่เกินความเหมาะสมอย่างมาก

เพราะถ้าไปbidสู้กับลิเวอร์พูลด้วยราคาดังกล่าว นั่นต่างหากคือการกระทำโคตรไม่สมเหตุสมผล เพราะมันสะท้อนระบบวิธีคิดในการจัดการที่ไม่ดีพอในเรื่องpriorityการเสริมทัพ

ถ้าไปทำแบบนั้นแหละค่อยว่าไปอย่างที่สมควรโดนด่าให้หนักๆจะด่าบอร์ดสโมสรให้หนักๆ แต่นี่มันไม่ใช่

ต่อข้อสงสัยที่ว่า "ทีมเราเดินดีลกันแค่ทีละคน" เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายถึงขนาดที่คนเข้าใจ ในเมื่อแผนงานถูกคุยและวางPriorityในการเสริมทีมเอาไว้แล้วว่ามีตัวไหนในข่าย และจัดลำดับความสำคัญเอาไว้แล้ว ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการดำเนินงาน

ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคือเรื่องที่ยูไนเต็ดไม่ไปbidสู้ด้วยราคาที่สูงในดีล ดาร์วิน นูนเญซ และพุ่งเป้าไปที่ "แฟรงกี้ เดอ ยอง" ก่อนนี่แหละ เป็นคำตอบที่ดี เพราะปัญหาของทีมจุดหลักอยู่ที่มิดฟิลด์มาก่อนกองหน้า ยามที่โรนัลโด้ก็ยังอยู่กับทีม

มันคือการวางแผนเสริมทีมที่ดีมากในเรื่องการ "จัดลำดับความสำคัญ" ที่พุ่งเป้าได้ถูกต้องตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง

ทีมงานหลังบ้านทำงานกันอยู่ตลอดเวลาในตอนนี้ แต่แฟนบอลก็คิดว่าทีมทำงานช้า คิดว่าคนอย่างเอริค เทน ฮาก ที่เป็นworkaholic และระเบียบจัดๆ คงไม่ปล่อยให้ระยะเวลาในช่วงนี้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แน่ๆ

สิ่งที่เป็นคำตอบของการทำงานหลังบ้านที่ไม่ได้เป็นข่าว นั่นก็คือเรื่องของ "ท่าที" ที่เปลี่ยนไปของแฟรงกี้ เดอ ยอง จากเดิมที่นักเตะก็แสดงออกว่าอยากจะอยู่บาร์เซโลน่าต่อ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนว่า เอริค เทน ฮาก จะมีสกิลสาลิกาลิ้นทอง ที่สามารถกล่อมแฟรงกี้ให้ตอบรับ "โปรเจ็ค" ที่แมนยูไนเต็ดของETH ได้สำเร็จ

ล่าสุดมีนักข่าวไปถามว่า "คุณจะย้ายจากชายหาดคาตาลัน แล้วไปอยู่แมนเชสเตอร์หนาวๆใช่ไหม?"

แฟรงกี้ : "(หัวเราะ) ผมพูดไม่ได้ครับ" (“(Laughs). No I can't, I can't say anything.” [@espn,@OjoDeSauron])

ถือว่านักเตะมีมารยาทดีมากๆที่ให้เกียรติต้นสังกัดปัจจุบัน และฉลาดในการตอบ แต่ "ท่าที" ก็เห็นชัดเจนตามข่าวที่รายงานออกมาเป็นระยะๆว่า นักเตะเองก็พร้อมที่จะย้ายทีม ในยามที่ต้นสังกัดอย่างบาร์ซ่าต้องการขาย และเจ้านายเก่าของเขาก็ต้องการตัวมาร่วมทำงานในตำแหน่งถนัดที่เขาจะได้เป็นศูนย์กลางที่แมนยูไนเต็ด

สถานการณ์มันพลิกเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?

คำตอบง่ายมากและชัดเจน นั่นก็คือ "การเดินเกมหลังบ้าน" ของเทน ฮาก และสโมสรในการพูดคุยและเจรจากับนักเตะคนสำคัญจนสามารถโน้มน้าวให้เขายินยอมย้ายมาเป็นตัวหลักคนใหม่ให้ทีมได้สำเร็จนั่นเอง

มันคงจะดีกว่า หากแฟนบอลจะเข้าใจว่าทีมกำลังปรับปรุงโครงสร้างสโมสร ทั้งการดำเนินงาน ทั้งบุคลากรที่ออกไปจากที่นี่หลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตัวสำคัญในการเดินดีลอย่าง "แม็ตต์ จัดจ์" ที่เป็นคนดูแลเรื่องการเงิน ก็เพิ่งออกไป

ทุกฝ่ายทำงานกันอยู่แล้ว ความคืบหน้าก็มีให้เห็นกันอยู่ชัดๆ ระยะเวลาก็ยังพอจะมีในการดำเนินงานตรงนี้อยู่

ทุกอย่าง ดำเนินการไปอย่างที่มันควรจะเป็นแล้วในตลาดนี้ และส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่า บทสุดท้ายของตลาดนักเตะในช่วงซัมเมอร์ของฤดูกาล 2022/23 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ มันจะเป็นตลาดที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จในการดึงนักเตะที่จำเป็นและ "ถูกต้อง" ตามที่เอริค เทน ฮาก ต้องการอย่างแน่นอน

ถึงเวลานั้นเสียงก่นด่าน่าจะไม่มีแล้ว เมื่อทุกอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้อง

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ข่าว หรือการดำเนินงานของสโมสร

มันอยู่ที่มุมมองและทัศนคติแฟนบอลล้วนๆที่จะมองแต่มุมมองแง่ลบ หรือตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่า ที่รู้สึกว่าทุกๆสิ่งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมันดูเลวร้ายไปซะหมด ทั้งที่จริงๆมันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น

การไม่ได้ไปUCL การที่ทีมมีการเล่นย่ำแย่ มันเป็นวัฎจักรธรรมดาบนโลกใบนี้ที่มีรุ่งเรือง ก็ย่อมมีวันที่ตกลงมา

แต่เมื่อตกลงมาแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่มีวันกลับขึ้นไปไม่ได้ซะที่ไหน ซึ่งถ้าเข้าใจและมองด้วยมุมมองที่ดี การเชียร์แมนยูไนเต็ดยุคนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นเลย

สถานการณ์แบบนี้แหละ วัดหัวใจและทัศนคติในการเป็นsupporterได้ดี

-ศาลาผี-

Reference

When does the summer transfer window open? Premier League, Serie A, LaLiga, Bundesliga, Ligue 1

https://www.espn.co.uk/football/soccer-transfers/story/4583159/when-does-the-summer-transfer-window-open-premier-leagueserie-alaligabundesligaligue-1

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด