แผนงานสุดท้าทายของ อันโตนิโอ ปินตุส
แผนงานของ ปินตุส โดดเด่นอย่างมากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาสามารถนำนักเตะมาดริดเดินไปถึงช่วงสุดท้ายของฤดูกาลด้วยระดับร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ แต่แผนจากปีที่แล้วใช้ไม่ได้กับฤดูกาลอันแปลกแปร่งนี้อีกต่อไป...หลายอย่างต้องคิดใหม่ทำใหม่
เบื้องต้นโค้ชความฟิตชาวอิตาเลี่ยนเผยว่าเขามีแผนเตรียมไว้สำหรับนักเตะทุกคนในทีม โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม แผนแรกสำหรับกลุ่มนักเตะที่กลับมาจากฟุตบอลโลก และอีกแผนสำหรับนักเตะที่อยู่ซ้อมที่ บัลเดเบบาส ตลอดทัวร์นาเมนท์
………………………
เริ่มต้นด้วย กลุ่มแข้งที่ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกจะทำงานกับทีมโดยไม่มีวันหยุด สิ่งที่ ปินตุส เตรียมไว้ให้ก็คือการฝึกซ้อมอันเข้มข้น เรียกว่า ‘ปรีซีซั่นรอบที่ 2’ และอาจจะหาโปรแกรมให้นักเตะได้ลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง สัก 1 นัด (ตรงนี้ต้องรอการประเมินอีกที)
นักเตะกลุ่มนี้จะถูกเคี่ยวอย่างหนัก ถูกตั้งความหวังไว้สูงในการแบกทีมหลัง ลา ลีกา กลับมาเริ่มแข่งอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธ.ค. เนื่องจาก ปินตุส รู้ดีว่า มาดริด ไม่ได้แค่เสียผู้เล่นไปให้กับทีมชาติที่ กาตาร์ เพียงอย่างเดียว หากแต่เมื่อกลับมาแล้วกลุ่มนี้ยังต้องการพักเพิ่มเติมซึ่งก็จะยืดเวลาการใช้งานออกไปอีก นอกจากนี้ยังต้องคิดเผื่อไว้กรณีที่รายใดมีอาการบาดเจ็บติดตัวมาจากทัวร์นาเมนต์อีกด้วย
สำหรับกลุ่มที่ไปเล่นฟุตบอลโลก เมื่อกลับมาแล้ว ปินตุส จะมีโปรแกรมฝึกซ้อมที่ออกแบบไว้ให้โดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขาค่อยๆปรับตัวเข้ากับการลงเล่นใน ลา ลีกา และคาดหวังว่าจะพร้อมมากที่สุดในทัวร์นาเมนท์ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า ไฟนั่ลโฟร์ ซึ่งจะออกสตาร์ทที่ ซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม (ช่วงนั้น แชมเปี้ยนส์ลีก ยังไม่กลับมา)
………………………
ในตอนนี้การฝึกซ้อมช่วงปรีซีซั่นของ เรอัล มาดริด ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเราก็ได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อ คาริม เบนเซม่า ยังได้รับอนุญาตให้พักต่อ
กรณีของ เบนเซม่า นั้น จะต้องคิดให้ละเอียดเพราะเขาจะต้องเผชิญกับฤดูกาลที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตบนวัย 34 ปี เพราะนอกจาก มาดริด แล้วเขาต้องร่วมเดินทางไปกับทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งเขาคือตัวจริงของทีมที่จะถูก ดิดิเยร์ เดส์ช็อง ใช้งานทุกนัด
สำหรับ มาดริด เกือบทุกตำแหน่งในทีมต่างมีตัวทดแทนที่มีคุณภาพ ทว่า ‘เอล กาโต้’ คือหมายเลข 9 เพียงหนึ่งเดียวของ คาร์โล อันเชล็อตติ เขาจะต้องลงเล่นโดยที่ทีมยังไม่มีตัวแทนที่ชัดเจน ถึงแม้ กุนซืออิตาเลี่ยนจะแย้มๆว่าอาจทดลองใช้ เอแดน อาซาร์ เล่นในตำแหน่งนี้ดูก็ตาม
………………………
ด้วยเหตุนี้ ปินตุส จึงแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน
เฟสแรก เริ่มต้นไปแล้ว โดยรวมตัวที่ บัลเดเบบาส จากนั้นเดินทางไปทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งจะยกระดับการซ้อมให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน
และเมื่อเดินทางกลับมา ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคมจะเป็นการเตรียมตัวแบบพิเศษก่อนลงเล่น ยูเอฟ่า ซูเปอร์ คัพ กับ ไอน์ทรัค แฟร้งเฟิร์ต ในวันที่ 10 สิงหาคม
สำหรับการทำงานเฟสแรก ปินตุส เริ่มต้นด้วยการปรับสภาพร่างกาย เน้นการฝึกสมรรถนะ ให้นักเตะใส่หน้ากากตอนซ้อมเพื่อให้ทราบถึงขีดความสามารถของร่างกายนักเตะแต่ละคน ก่อนจะนำข้อมูลมาประกอบการวางแผนฝึกซ้อมที่เหมาะสม
“การเทสต์โดยให้นักเตะทุกคนใส่หน้ากากที่มีการปรับอ๊อปซิเจน 5 ระดับ นั้นไม่ใช่การฝึกซ้อมที่ปราศจากอ๊อปซิเจน มันคือการเทสต์เพื่อให้รู้ถึงเกณฑ์แอโรบิกและเกณฑ์แอนแอโรบิค รวมถึงศักยภาพการทำงานของร่างกายนักเตะแต่ละคนในเวลานี้”
“ผลที่ได้นั้นช่วยให้เราสามารถออกแบบการฝึกซ้อมที่เหมาะสมหรืออย่างน้อยก็ช่วยกำหนดทิศทางของการทำงานของทีมให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น”
“พื้นฐานของการซ้อมช่วงปรีซีซั่นนั้นคือพื้นฐานของแอโรบิกที่เกิดจากการวิ่งในระยะยาว จากนั้นแต่ละคนก็จะแยกไปในไดเรกชั่นที่เหมาะสมกับตัวเอง ด้วยฝึกซ้อมแบบแอนแอโรบิก ด้วยการวิ่งในระยะที่สั้นขึ้นและเร็วขึ้น” ปินตุส อธิบายกับ realmadrid.com
………………………
สำหรับเฟสที่ 2 จะเริ่มขึ้นพร้อมๆกับ ฟุตบอลโลก ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม เฟสนี้จะเป็นเหมือนช่วงปรีซีซั่นรอบที่ 2 สำหรับนักเตะที่ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก จะต้องเคี่ยวให้ทุกคนมีความฟิตสูงสุด พร้อมที่จะแบกรับโปรแกรมการแข่งขันที่ทีมจะปราศจากแข้งทีมชาติ
วันที่ 4 ธันวาคมไปจนถึงสิ้นปีนั้นจะเป็นช่วงพักของกลุ่มนักเตะที่ไปเล่นฟุตบอลโลก (แต่ละชาติตกรอบก่อนหลังไม่เท่ากัน) ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นทำงานในเดือนมกราคม 2023 คราวนี้กลุ่มแข้งที่ไปบอลโลกจะถูกเคี่ยวอย่างหนักบ้าง
สำหรับการทำงานในฤดูกาลใหม่นี้ ปินตุส มีไอเดียอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้วโดยเจ้าตัวเผยว่า “การหยุดพักช่วงฟุตบอลโลกในเดือนพฤศจิกายน สำหรับนักเตะที่ไม่ได้ไป ผมถือเป็นเรื่องที่ดี พวกเราจะมีช่วงปรีซีซั่นกันเป็นรอบที่ 2 ทำงานเพิ่มกันอีกหน่อย ส่วนนักเตะที่เดินทางไปเล่น จะมีโปรแกรมที่แตกต่างออกไป ตอนที่พวกเขากลับมา พวกเขาจะต้องพักแบบเต็ม 100% จากนั้นจะเริ่มทำงานทีละนิดทีละนิด มันจะเป็นการทำงานควบคู่กันทว่าแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างนักเตะทั้งสองกลุ่ม”
………………………
เกณฑ์แอโรบิกคืออะไร?
เกณฑ์แอโรบิกคือจุดที่ระดับแลคเตทในเลือดเริ่มเพิ่มขึ้น รูปแบบแอโรบิกของแต่ละคนกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจที่เกณฑ์แอโรบิก
ตัวอย่างเช่น เกณฑ์แอโรบิกของผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายแบบแอโรบิกต่ำ อาจต่ำถึง 60% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ขณะที่นักกีฬาที่ฟิตสมบูรณ์ อาจสูงถึง 85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด
เกณฑ์แอโรบิกที่สูงขึ้น ช่วยให้นักกีฬาฝึกในระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องสร้างแลคเตทในเลือดของตัวเอง ในทางปฏิบัติหมายความว่าคุณสามารถฝึกฝนแบบเข้มข้นได้นานขึ้น
เกณฑ์แอนแอโรบิกคืออะไร?
เกณฑ์แอนแอโรบิกคือการฝึกแบบความเข้มข้นสูงสุดของการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำให้ร่างกายของคุณต้านรับเป็นระยะเวลานานโดยไม่ต้องสร้างแลคเตทมากเกินไปในกระแสเลือด เมื่อคุณเกินเกณฑ์แอนแอโรบิก เมแทบอลิซึมที่ไม่ใช้ออกซิเจนของคุณจะเพิ่มขึ้นและแลคเตทจะเริ่มสะสมในเลือดของคุณ ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้
การออกกำลังกายแบบ แอโรบิก และ แอนแอโรบิก คืออะไร ?
คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายมีการใช้ออกซิเจน โดยเน้นความสำคัญไปที่การหายใจเข้าออก เพื่อให้หัวใจและหลอดเลือดเกิดการสูบฉีด สามารถส่งต่อออกซิเจนไปใช้เป็นพลังงานตลอดการออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ,วิ่ง,ปั่นจักรยาน,กระโดดเชือก,เดิน
การออกกำลังกายแบบ แอนแอโรบิค คืออะไร?
คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายไม่ใช้ออกซิเจน เนื่องจากเป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ค่อนข้างจะหนักหน่วง รวดเร็ว และต้องใช้ความแข็งแรง จนแทบไม่มีเวลาหายใจ หัวใจและหลอดเลือดไม่สามารถสูบฉีดออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้เพียงพอต่อความต้องการ
กล่าวคือในขณะที่ออกกำลังกายก็จะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยมาก จะหอบและเหนื่อยเป็นบางช่วงเท่านั้น และเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กิจกรรมแบบแอนแอโรบิค เช่น กระโดด,วิ่งเร็ว,ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง
เจมส์ ลา ลีกา