:::     :::

แผนงานสุดท้าทายของ อันโตนิโอ ปินตุส

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 22 ที่ กาตาร์ ส่งผลกระทบต่อแผนงานของสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปอย่างมากเพราะจำต้องปล่อยนักเตะส่วนใหญ่ไปเล่นทีมชาติ ในส่วนของ เรอัล มาดริด นั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้เล่นเดินทางไปทำศึกที่ตะวันออกกลางราว 10-15 คน (ตัวเลขหลังน่าจะใกล้เคียงมากกว่า) ซึ่งพวกเขาจะต้องอยู่ที่นั่นราว 1 เดือน (ทัวร์นาเมนท์เริ่ม 21 พฤศจิกายน-18 ธันวาคม) ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ กลายเป็นภาระหนักอึ้งของ อันโตนิโอ ปินตุส โค้ชความฟิตของทีม เพราะเขาจะต้องวางแผนเตรียมความพร้อมด้านร่างกายให้รัดกุมและได้ประสิทธิภาพสูงสุด

แผนงานของ ปินตุส โดดเด่นอย่างมากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาสามารถนำนักเตะมาดริดเดินไปถึงช่วงสุดท้ายของฤดูกาลด้วยระดับร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ แต่แผนจากปีที่แล้วใช้ไม่ได้กับฤดูกาลอันแปลกแปร่งนี้อีกต่อไป...หลายอย่างต้องคิดใหม่ทำใหม่

เบื้องต้นโค้ชความฟิตชาวอิตาเลี่ยนเผยว่าเขามีแผนเตรียมไว้สำหรับนักเตะทุกคนในทีม โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม แผนแรกสำหรับกลุ่มนักเตะที่กลับมาจากฟุตบอลโลก และอีกแผนสำหรับนักเตะที่อยู่ซ้อมที่ บัลเดเบบาส ตลอดทัวร์นาเมนท์ 

………………………

เริ่มต้นด้วย กลุ่มแข้งที่ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกจะทำงานกับทีมโดยไม่มีวันหยุด สิ่งที่ ปินตุส เตรียมไว้ให้ก็คือการฝึกซ้อมอันเข้มข้น เรียกว่า ‘ปรีซีซั่นรอบที่ 2’ และอาจจะหาโปรแกรมให้นักเตะได้ลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง สัก 1 นัด (ตรงนี้ต้องรอการประเมินอีกที) 


นักเตะกลุ่มนี้จะถูกเคี่ยวอย่างหนัก ถูกตั้งความหวังไว้สูงในการแบกทีมหลัง ลา ลีกา กลับมาเริ่มแข่งอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 29 ธ.ค. เนื่องจาก ปินตุส รู้ดีว่า มาดริด ไม่ได้แค่เสียผู้เล่นไปให้กับทีมชาติที่ กาตาร์ เพียงอย่างเดียว หากแต่เมื่อกลับมาแล้วกลุ่มนี้ยังต้องการพักเพิ่มเติมซึ่งก็จะยืดเวลาการใช้งานออกไปอีก นอกจากนี้ยังต้องคิดเผื่อไว้กรณีที่รายใดมีอาการบาดเจ็บติดตัวมาจากทัวร์นาเมนต์อีกด้วย


สำหรับกลุ่มที่ไปเล่นฟุตบอลโลก เมื่อกลับมาแล้ว ปินตุส จะมีโปรแกรมฝึกซ้อมที่ออกแบบไว้ให้โดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขาค่อยๆปรับตัวเข้ากับการลงเล่นใน ลา ลีกา และคาดหวังว่าจะพร้อมมากที่สุดในทัวร์นาเมนท์ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า ไฟนั่ลโฟร์ ซึ่งจะออกสตาร์ทที่ ซาอุดิอาระเบีย ระหว่างวันที่ 13-15 มกราคม (ช่วงนั้น แชมเปี้ยนส์ลีก ยังไม่กลับมา)  



………………………

ในตอนนี้การฝึกซ้อมช่วงปรีซีซั่นของ เรอัล มาดริด ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเราก็ได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อ คาริม เบนเซม่า ยังได้รับอนุญาตให้พักต่อ

กรณีของ เบนเซม่า นั้น จะต้องคิดให้ละเอียดเพราะเขาจะต้องเผชิญกับฤดูกาลที่หนักหน่วงที่สุดในชีวิตบนวัย 34 ปี เพราะนอกจาก มาดริด แล้วเขาต้องร่วมเดินทางไปกับทีมชาติฝรั่งเศสซึ่งเขาคือตัวจริงของทีมที่จะถูก ดิดิเยร์ เดส์ช็อง ใช้งานทุกนัด 


สำหรับ มาดริด เกือบทุกตำแหน่งในทีมต่างมีตัวทดแทนที่มีคุณภาพ ทว่า  ‘เอล กาโต้’ คือหมายเลข 9 เพียงหนึ่งเดียวของ คาร์โล อันเชล็อตติ เขาจะต้องลงเล่นโดยที่ทีมยังไม่มีตัวแทนที่ชัดเจน ถึงแม้ กุนซืออิตาเลี่ยนจะแย้มๆว่าอาจทดลองใช้ เอแดน อาซาร์ เล่นในตำแหน่งนี้ดูก็ตาม 

………………………

ด้วยเหตุนี้ ปินตุส จึงแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็น 3 เฟสด้วยกัน 

เฟสแรก เริ่มต้นไปแล้ว โดยรวมตัวที่ บัลเดเบบาส จากนั้นเดินทางไปทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งจะยกระดับการซ้อมให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน 

และเมื่อเดินทางกลับมา ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคมจะเป็นการเตรียมตัวแบบพิเศษก่อนลงเล่น ยูเอฟ่า ซูเปอร์ คัพ กับ ไอน์ทรัค แฟร้งเฟิร์ต ในวันที่ 10 สิงหาคม


สำหรับการทำงานเฟสแรก ปินตุส เริ่มต้นด้วยการปรับสภาพร่างกาย เน้นการฝึกสมรรถนะ ให้นักเตะใส่หน้ากากตอนซ้อมเพื่อให้ทราบถึงขีดความสามารถของร่างกายนักเตะแต่ละคน ก่อนจะนำข้อมูลมาประกอบการวางแผนฝึกซ้อมที่เหมาะสม


“การเทสต์โดยให้นักเตะทุกคนใส่หน้ากากที่มีการปรับอ๊อปซิเจน 5 ระดับ นั้นไม่ใช่การฝึกซ้อมที่ปราศจากอ๊อปซิเจน มันคือการเทสต์เพื่อให้รู้ถึงเกณฑ์แอโรบิกและเกณฑ์แอนแอโรบิค รวมถึงศักยภาพการทำงานของร่างกายนักเตะแต่ละคนในเวลานี้” 

“ผลที่ได้นั้นช่วยให้เราสามารถออกแบบการฝึกซ้อมที่เหมาะสมหรืออย่างน้อยก็ช่วยกำหนดทิศทางของการทำงานของทีมให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น”

“พื้นฐานของการซ้อมช่วงปรีซีซั่นนั้นคือพื้นฐานของแอโรบิกที่เกิดจากการวิ่งในระยะยาว จากนั้นแต่ละคนก็จะแยกไปในไดเรกชั่นที่เหมาะสมกับตัวเอง ด้วยฝึกซ้อมแบบแอนแอโรบิก ด้วยการวิ่งในระยะที่สั้นขึ้นและเร็วขึ้น”  ปินตุส อธิบายกับ realmadrid.com



           ………………………

สำหรับเฟสที่ 2 จะเริ่มขึ้นพร้อมๆกับ ฟุตบอลโลก ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 4 ธันวาคม เฟสนี้จะเป็นเหมือนช่วงปรีซีซั่นรอบที่ 2 สำหรับนักเตะที่ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก จะต้องเคี่ยวให้ทุกคนมีความฟิตสูงสุด พร้อมที่จะแบกรับโปรแกรมการแข่งขันที่ทีมจะปราศจากแข้งทีมชาติ 


วันที่ 4 ธันวาคมไปจนถึงสิ้นปีนั้นจะเป็นช่วงพักของกลุ่มนักเตะที่ไปเล่นฟุตบอลโลก (แต่ละชาติตกรอบก่อนหลังไม่เท่ากัน) ก่อนจะกลับมาเริ่มต้นทำงานในเดือนมกราคม 2023 คราวนี้กลุ่มแข้งที่ไปบอลโลกจะถูกเคี่ยวอย่างหนักบ้าง 


สำหรับการทำงานในฤดูกาลใหม่นี้ ปินตุส มีไอเดียอยู่ในหัวเรียบร้อยแล้วโดยเจ้าตัวเผยว่า “การหยุดพักช่วงฟุตบอลโลกในเดือนพฤศจิกายน สำหรับนักเตะที่ไม่ได้ไป ผมถือเป็นเรื่องที่ดี พวกเราจะมีช่วงปรีซีซั่นกันเป็นรอบที่ 2 ทำงานเพิ่มกันอีกหน่อย ส่วนนักเตะที่เดินทางไปเล่น จะมีโปรแกรมที่แตกต่างออกไป ตอนที่พวกเขากลับมา พวกเขาจะต้องพักแบบเต็ม 100% จากนั้นจะเริ่มทำงานทีละนิดทีละนิด มันจะเป็นการทำงานควบคู่กันทว่าแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างนักเตะทั้งสองกลุ่ม” 

………………………

เกณฑ์แอโรบิกคืออะไร?

เกณฑ์แอโรบิกคือจุดที่ระดับแลคเตทในเลือดเริ่มเพิ่มขึ้น รูปแบบแอโรบิกของแต่ละคนกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจที่เกณฑ์แอโรบิก 

ตัวอย่างเช่น เกณฑ์แอโรบิกของผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายแบบแอโรบิกต่ำ อาจต่ำถึง 60% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด ขณะที่นักกีฬาที่ฟิตสมบูรณ์ อาจสูงถึง 85% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด


เกณฑ์แอโรบิกที่สูงขึ้น ช่วยให้นักกีฬาฝึกในระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องสร้างแลคเตทในเลือดของตัวเอง ในทางปฏิบัติหมายความว่าคุณสามารถฝึกฝนแบบเข้มข้นได้นานขึ้น




เกณฑ์แอนแอโรบิกคืออะไร?

เกณฑ์แอนแอโรบิกคือการฝึกแบบความเข้มข้นสูงสุดของการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำให้ร่างกายของคุณต้านรับเป็นระยะเวลานานโดยไม่ต้องสร้างแลคเตทมากเกินไปในกระแสเลือด เมื่อคุณเกินเกณฑ์แอนแอโรบิก เมแทบอลิซึมที่ไม่ใช้ออกซิเจนของคุณจะเพิ่มขึ้นและแลคเตทจะเริ่มสะสมในเลือดของคุณ ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้


การออกกำลังกายแบบ แอโรบิก และ แอนแอโรบิก คืออะไร ? 

คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายมีการใช้ออกซิเจน โดยเน้นความสำคัญไปที่การหายใจเข้าออก เพื่อให้หัวใจและหลอดเลือดเกิดการสูบฉีด สามารถส่งต่อออกซิเจนไปใช้เป็นพลังงานตลอดการออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ,วิ่ง,ปั่นจักรยาน,กระโดดเชือก,เดิน

การออกกำลังกายแบบ แอนแอโรบิค คืออะไร?

คือ การออกกำลังกายที่ร่างกายไม่ใช้ออกซิเจน เนื่องจากเป็นรูปแบบของการออกกำลังกายที่ค่อนข้างจะหนักหน่วง รวดเร็ว และต้องใช้ความแข็งแรง จนแทบไม่มีเวลาหายใจ หัวใจและหลอดเลือดไม่สามารถสูบฉีดออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้เพียงพอต่อความต้องการ

กล่าวคือในขณะที่ออกกำลังกายก็จะไม่รู้สึกว่าเหนื่อยมาก จะหอบและเหนื่อยเป็นบางช่วงเท่านั้น และเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กิจกรรมแบบแอนแอโรบิค เช่น กระโดด,วิ่งเร็ว,ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง

 

       เจมส์ ลา ลีกา 




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด