สำหรับดาร์วิน นูนเญซ ดาวยิงป้ายแดงของลิเวอร์พูล หลังจากผลงานฝืดในช่วง 2 เกมแรกของช่วงปรีซีซั่น ก่อนจะมาระเบิดฟอร์ม ด้วยการยิง 4 ประตูในเกมเดียว แม้จะเหลือหนทางพิสูจน์ตัวเองอีกยาวไกล แต่นี่ถือเป็นจุดที่เรียกความมั่นใจของเขาได้
ช่วงนี้ เราลองไปดูปูมหลังของนูนเญซ กันหน่อยว่า กว่าจะก้าวมาเป็นกองหน้าระดับโลกเหมือนทุกวันนี้ เขาต้องเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง พร้อมกับไปฟังเรื่องราวดีๆ ที่สัมผัสถึงตัวตน ผ่านบุคคลใกล้ชิดของเขากันด้วย ไม่แน่ว่าเราอาจหลงรักหัวหอกรายนี้เพื่มมากขึ้น
ดาร์วิน นูนเญซ เกิด และเติบโตที่อาร์ติกัส ประเทศอุรุกวัย โดยลืมตาดูโลกพร้อมกับสถานะที่ยากจน คุณพ่อเป็นคนงานก่อสร้าง และคุณแม่เป็นคนเก็บขวด อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ครอบครัวกลับยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อผลักดันลูกชายเข้าสู่วงการลูกหนัง
“กอนซาโล เด ลอส ซานโตส” ผู้อำนวยการกีฬาของเพนารอล ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในลีกอุรุกวัย ออกมากล่าวถึงนูนเญซ ที่เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังที่นี่ โดยบอกว่า นี่คือผลผลิตอันน่าภูมิใจ พร้อมกับมั่นใจมากว่า เขาจะก้าวมาเป็น 1 ใน 5 กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก และเตรียมเขย่าวงการลูกหนังยุโรปในไม่ช้า
“ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาเป็นคนที่เก็บตัว เมื่อเขาอายุมากขึ้น เขาก็เริ่มผ่อนคลาย ทักษะของเขาเหนือกว่าคนอื่น เนื่องจากเขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง” เด ลอส ซานโตส ย้อนความทรงจำ “สิ่งที่น่าทึ่งของเขาคือเรื่องกายภาพ หลังจากประเดิมลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ ในวัย 18 ปี เขาก็โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานที่บริเวณหัวเข่า ทำให้พัฒนาการของเขาล่าช้าไป เขาใช้เวลาเกือบปี ก่อนที่จะยิงประตูแรกได้”
“บุคลิกของเขาแข็งกร้าวมาก ผมไม่ได้หมายความว่า เขาเป็นเด็กไม่ดีนะ สำหรับผมแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่มากในวัยของตัวเอง และสงบนิ่ง เขามีจิตใจที่เป็นผู้ชนะ มีดีเอ็นเอของความเป็นชาวอุรุกวัย เขากระหายชัยชนะ ในแง่ความสำเร็จด้านกีฬา ทั้งสโมสร และทีมชาติ” เด ลอส ซานโตส ทิ้งท้าย
หลังจากเล่นกับเพนารอล เพียงไม่นานนัก เขาก็ได้ย้ายไปร่วมทีมอัลเมเรีย ในศึกเซกุนด้า สเปน การย้ายมาเล่นในยุโรปครั้งแรกในชีวิต สิ่งแรกที่เขาเลือกลงมือทำคือ การหาบ้านใหม่ให้กับพ่อแม่ เป็นการตอบแทนบุญคุณ และการทำงานหนัก นี่คือความรัก ช่วยให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้
นูนเญซ กล่าวว่า “ผมเคยเข้านอน ทั้งที่ท้องยังว่าง กระนั้น คนที่เจอกับความหิวบ่อยที่สุด นั่นคือแม่ของผมเอง แม่ต้องแน่ใจว่า ผมกับพี่ชายต้องได้กินข้าวก่อน แม่เคยเข้านอน โดยไม่ได้กินข้าวร่วมกับผม ผมจะไม่มีวันลืมว่าตัวเองมาจากไหน ผมมาจากครอบครัวที่ถ่อมตน และทำงานหนัก พ่อของผมเป็นคนงานก่อสร้าง และทำงาน 8-9 ชั่วโมง เพื่อนำเงินมาซื้อสิ่งของที่จำเป็น และอาหารให้กับเรา”
“ขณะที่แม่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน นอกจากนี้ แม่มักออกไปตามข้างถนน เพื่อเก็บขวดมาขาย ตอนที่ผมย้ายไปร่วมทีมอัลเมเรีย สิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรกคือ ซื้อที่ดินราว 37 ไร่ เพื่อเป็นของขวัญให้กับแม่” นูนเญซ กล่าวถึงความยากลำบากในชีวิต ที่เขา และครอบครัวต้องฝ่าฟันกันมา
ขณะที่ ฆาเบียร์ อเกนโฆ่ โค้ชฟิตเนสของอัลเมเรีย ย้อนความประทับใจว่า “นูนเญซ ถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่ทำงานหนักมาก เขามาจากครอบครัวที่ถ่อมตน รู้ว่าอะไรคือสิ่งจำเป็น ในการก้าวไปอยู่จุดสูงสุด ผมมั่นใจว่า เขายังทำงานหนักจนถึงวันนี้ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่วิ่งเร็วสุดในลีกด้วย อัตราการเร่งที่น่าทึ่ง ทำให้เขาเป็นเหมือนสัตว์ร้าย”
“หลังจากนั้น เขาย้ายไปเบนฟิก้า ซึ่งเป็นสโมสรที่ใหญ่กว่า สถิติการยิงประตูยังคงดำเนินต่อไป เขาแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นยอดนักสู้ เขาจะย้ายไปสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอีก และพร้อมที่จะก้าวต่อไปแล้ว” อเกนโฆ่ ทิ้งท้าย
อีกแง่มุมหนึ่ง ในการย้ายมาเล่นในลีกยุโรป ที่ได้รับค่าเหนื่อย และค่าตอบแทนที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ทำให้ความถ่อมตนของนูนเญซ ลดน้อยลงไปเลย เขายังเป็นคนเดิมเสมอ เหมือนกับตอนเป็นเด็กที่แสนยากจนที่ประเทศอุรุกวัย
เรื่องดังกล่าว ถูกยืนยันจากปากของ ดาบิด บาเดีย อดีตผู้ช่วยโค้ชของอัลเมเรีย ที่ออกมาเล่าถึงนูนเญซ ที่ย้ายมาร่วมทีม ในฤดูกาล 2019-20 ด้วยความประทับใจ แม้จะอยู่โลดแล่นในเซกุนด้า เพียงซีซั่นเดียว เขาก็ฝากความทรงจำที่ดีเอาไว้
บาเดีย บอกว่า นูนเญซ คือนักฟุตบอลที่ทำตัวติดดิน และเรียบง่าย อาจเป็นเพราะเขามาจากครอบครัวที่ยากจน และต้องต่อสู้ดิ้นรนในประเทศอุรุกวัย เขารู้ดีว่า โลกลูกหนังอาชีพถือเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เขาจึงต้องฝ่าฟันกับความลำบากไปให้ได้
“เราอยู่ในร้านขายโทรศัพท์” บาเดีย ย้อนความทรงจำ ถึงเหตุการณ์ที่แง้มให้เห็นถึงตัวตน “เขากำลังเลือกซื้อมือถือ ผลสุดท้าย เขาเลือกซื้อรุ่นธรรมดา ไม่ใช่รุ่นท็อปที่สุดด้วย ผมถามเขาว่า -ทำไมนายไม่ซื้อรุ่นที่ดีกว่านี้ ?- เขาตอบกลับว่า -แค่นี้ก็พอแล้วครับ ผมเอาไว้แค่โทรคุยเท่านั้น-”
“สำหรับผม ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหมือนกัน คุณคาดหวังว่า เขาต้องซื้อมือถือรุ่นท็อปที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาต้องการแค่รุ่นปกติ เพื่อที่เขาจะโทรกลับไปหาคุณแม่ได้”
บาเดีย กล่าวว่า การที่เขาย้ายมาเล่นในลีกยุโรป เป็นครั้งแรก กับอัลเมเรีย ถือเป็นเรื่องดี เพราะการฟาดแข้งในลีกรองของสเปน ช่วยให้เขาปรับตัว และไม่ต้องเจอกับความกดดันที่สูงมาก เขาทำหน้าที่แค่เล่นฟุตบอล และยิงประตู ผลสุดท้าย เขายิงในลีก 16 ประตู จากการลงสนาม 30 เกม ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมเบนฟิก้า ทีมดังในลีกโปรตุเกส
“อัลเมเรีย ถือว่าไม่ใช่เมืองใหญ่ของประเทศสเปน คุณสามารถออกไปเดินข้างนอกได้ตลอดเวลา เพราะอากาศค่อนข้างร้อน” บาเดีย บอกต่อ “ผมมักเจอเขาเดินเล่นอยู่ในเมือง เขาไม่ได้อยู่บ้าน และไม่ค่อยได้คุยกับใคร ที่อัลเมเรีย ถือเป็นเมืองที่คุณสามารถเดินไปไหนมาไหนก็ได้บนท้องถนน ผู้คนจะไม่เข้ามารุมล้อมเขา แน่นอนว่า เขาเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
เรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้คือ ตอนที่เขากลายมาเป็นนักเตะของอัลเมเรีย นูนเญซ ใช้เงินตัวเอง เพื่อจ้างนักโภชนาการ และโค้ชด้านการปรับสภาพร่างกาย มันเป็นการจ้างแบบส่วนตัว นอกเหนือจากสิ่งที่สโมสรจัดเตรียมเอาไว้ให้ ทั้งหมด เป็นการยกระดับให้เขาสามารถสู้กับนักเตะคนอื่นได้
บาเดีย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ทุกคนคาดหวังกับเขา เขาทำงานหนักมาก และพัฒนาตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในแง่ของการเรียนรู้แท็คติก, การดูแลร่างกาย และการเคลื่อนที่"
"เขาปรับปรุงการฉีกหนีตัวประกบ คอยเรียนรู้ว่า เขาควรวิ่งไปตรงไหน และควรเคลื่อนไหวอย่างไร นี่คือการผสมผสานระหว่างขนาดของร่างกาย และความเร็ว เขาน่าทึ่งมาก โดยสามารถชิงจังหวะก่อนกองหลังเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งเสี้ยววินาทีที่กล่าวมานั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก”
ปัจจุบัน เขากลายเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงมากขึ้น นอกจากการก้าวไปติดทีมชาติอุรุกวัย ชุดใหญ่ นี่คือกองหน้าที่มีอนาคตที่สดใส ที่ย้ายจากเบนฟิก้า ไปยังลิเวอร์พูล ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก บาเดีย ในฐานะคนใกล้ชิดมองว่า เขาจะเอาตัวรอดจากลีกมหาโหดได้อย่างแน่นอน
“ผมมองว่า เขาเอาตัวรอดได้ 100 เปอร์เซนต์ ผมคิดว่าเขาเข้ากันได้กับพรีเมียร์ลีก เพราะเขามีความแข็งแกร่ง, ความเร็ว และการเอาชนะคู่แข่ง เขาพัฒนาเรื่องการจับบอลแรกด้วย หากจะมีลีกไหนในโลกที่เข้ากับเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ลีกนั้นคือพรีเมียร์ลีก” บาเดีย ทิ้งท้าย
