วิเคราะห์คู่แข่งหงส์ จากรอบแบ่งกลุ่ม ชปล.
ในบทความนี้ ผมจะพาไปวิเคราะห์กันครับว่าทั้ง 3 ทีมที่หงส์แดงต้องดวลเดือดด้วยนั้น มีจุดแข็งตรงไหนและมีจุดอ่อนอย่างไรบ้าง มารับชมกันเลยครับ
1) อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ลิเวอร์พูล เพิ่งเจอกับ อาแจ๊กซ์ ในรอบแบ่งกลุ่มไปเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน โดยในตอนนั้นหงส์แดงเอาชนะไปได้ทั้งสองนัดเหย้าเยือนด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งเกมในแอนฟิลด์ได้ประตูชัยจาก เคอร์ติส โจนส์ นาทีที่ 58 ส่วนอีกเกมบุกไปชนะจากการทำเข้าประตูตัวเองของผู้เล่น อาแจ๊กซ์ สถิติในการเจอกันของ ลิเวอร์พูล กับ อาแจ๊กซ์ ทั้งหมดคือ 4 ครั้ง ซึ่งหงส์แดงชนะ 2 เสมอ 1 และแพ้ไปแค่ครั้งเดียว การมาเจอกันในฤดูกาลนี้ อาแจ๊กซ์ เปลี่ยนกุนซือจาก เอริค เทน ฮาก มาเป็น อัลเฟร็ด ชเราเดอร์ ซึ่งยังคงใข้ระบบเดิมเป็นหลักคือ 4-3-3 แต่แนวรุกกับแนวรับมีการโมดิฟายใหม่พอสมควร หลังจากเสียสตาร์ดังอย่าง ลิซานโดร มาร์ติเนซ กับ เซบาสเตียน อัลแลร์ ไปในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ชเราเดอร์ เคยทำงานเป็นผู้ช่วยของ ฮูบบ์ สตีเฟ่นส์, ยูเลี่ยน นาเกลมันส์, เทน ฮาก และ โรนัลด์ คูมัน มาก่อนผลงานล่าสุดของเขาในฤดูกาลที่แล้วคือการพา คลับ บรูซ คว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ ก่อนจะมารับงานต่อจาก เทน ฮาก ที่ อาแจ๊กซ์ ปัจจุบัน ชเราเดอร์ คุมทีมมาแล้ว 3 นัดขนะรวด ยิงได้ 10 ประตู จุดแข็งคือเกมรุกที่ยังคงวูบวาบไม่ต่างจากช่วงที่ เทน ฮาก คุมทีม เล่นเพรสซิ่งและต่อบอลสั้นดีมาก แต่จุดอ่อนคือเกมรับที่ไม่แน่นเท่าไหร่ โดยตอนนี้เสียไปแล้ว 3 ประตูจาก 3 นัดแรกในลีก นักเตะเด่นที่น่าจับตามองคือ ดูซาน ทาดิช เพลย์เมกเกอร์ประจำทีมซึ่งเป็นหัวใจหลักในเกมรุก บอลทะลุช่องของเขาอันตราย อีกทั้งยังวิ่งทะลุขึ้นมายิงประตูด้วยตัวเองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี สตีเฟ่น เบิร์กไวน์ ที่เป็นกองหน้าจอมถล่มประตูอีกคน ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้หงส์แดงได้ไม่ยากเลยทีเดียว ผลลัพธ์ที่คาด: จบในอันดับ 2 2) นาโปลี ลิเวอร์พูล เจอกับ นาโปลี ในรอบแบ่งกลุ่มค่อนข้างบ่อยช่วง 10 ปีหลังสุดมานี้ โดยในปี 2010, 2018 และ 2019 เจอกันทั้งหมด 6 นัด หงส์แดงชนะ 4 แพ้ 2 ซึ่งเป็นการแพ้ที่บ้านของ นาโปลี ทั้งหมด ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ กุนซือของ นาโปลี ใช้ระบบ 4-3-3 และมีจุดเด่นตรงแดนกลางที่ไล่บี้ครองบอลแบบสุดตัว อีกทั้งยังเล่นเกมรุกได้ดุดันมาก ๆ ผลงานในเซเรีย อา ปีนี้ลงเตะไป 2 นัด ชนะรวด ยิงได้ 9 เสีย 2 โดยที่มีอาวุธเด็ดคือลูกเซตพีซซึ่งได้ประตูมาแล้วถึง 2 เม็ดในฤดูกาลนี้ จุดอ่อนของ นาโปลี ยังคงเป็นเรื่องความไม่สม่ำเสมอและความคงเส้นคงวา ในหลาย ๆ นัดโดยเฉพาะบอลยุโรปพวกเขาไม่สามารถครองบอลหรือรักษาสกอร์นำเอาไว้ได้จนจบเกม ส่งผลให้ตกรอบอยู่บ่อย ๆ และไม่ค่อยไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศเลยในช่วงหลัง ฤดูกาลที่ผ่านมา นาโปลี จบในอันดับ 3 ของตาราง มีคะแนนตามหลังทีมแชมป์อย่าง มิลาน 7 คะแนน ส่วนในถ้วยยูโรปา ลีก ก็ตกรอบด้วยน้ำมือของ บาร์เซโลน่า นักเตะเด่นที่น่าจับตามองคือ ปิเอโตร ซิลินสกี้ ที่อยู่กับทีมมานานหลายปีแล้ว และเป็นแข้งที่มักจะทำผลงานในการเจอกับ ลิเวอร์พูล ได้ดีอยู่เสมอ นอกจากนี้ วิคเตอร์ โอฮิมเซน ก็เด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ที่หงส์แดงจะประมาทไม่ได้เลย ผลลัพธ์ที่คาด: จบในอันดับ 3 3) กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ยอดทีมจากแดนวิสกี้ได้เพียงแค่รองแชมป์ลีกสกอตต์ในฤดูกาลที่ผ่านมาก็จริง แต่ในปีนี้พวกเขาออกสตาร์ทด้วยการคว้าชัย 3 จาก 4 นัดแรก ยังไม่แพ้ใครแต่ก็เกาะกลุ่มลุ้นแชมป์กับ เซลติค มาแบบติด ๆ เลยทีเดียว เรนเจอร์ส มี โจวานนี่ ฟาน บรองฮอสท์ เป็นกุนซือ เขานิยมการเล่นในระบบ 4-2-3-1 สลับกับ 4-3-3 จุดเด่นคือเกมทางริมเส้นโดยเฉพาะแบ็คทั้งสองข้างซึ่งเติมเกมรุกได้ดี แต่จุดที่น่าห่วงคือเกมรับซึ่งในบางครั้งมักเสียประตูในจังหวะง่าย ๆ โดยเฉพาะจังหวะชี้เป็นชี้ตาย นักเตะเด่นของพวกเขาคือ เจมส์ ทราเวนเนียร์ แบ็คขวาที่มีลีลาคล้าย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดยเขาเด่นทั้งลูกเซตพีซ จุดโทษ และการยิงลูกจุดโทษให้ทีม เป็นมือหนึ่งในการเล่นลูกตั้งเตะที่เก่งมาก ๆ และเป็นคนสำคัญในการทำประตูให้ทีม แม้ว่าจะเล่นแบ็คขวาก็ตาม ผลลัพธ์ที่คาด: จบในอันดับ 4 และทั้งหมดนี้คือคู่แข่งในรอบแบ่งกลุ่มของ ลิเวอร์พูล ที่จะต้องเจอกันบนเวทียุโรป แม้ว่าชื่อชั้นอาจเป็นรอง แต่ทั้งหมดอาจสร้างเซอร์ไพรส์พลิกล็อคได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นทีมเต็งอย่าง อาแจ๊กซ์ หรือทีมรองอย่าง เรนเจอร์ส รวมไปถึง นาโปลี เองที่มักทำแสบใส่ ลิเวอร์พูล ได้อยู่บ่อยครั้ง มาลุ้นกันครับว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ลิเวอร์พูล จะทำผลงานในถ้วยยุโรปได้ดีแค่ไหน ในฐานะรองแชมป์เก่าจะไปได้ไกลจนถึงรอบชิงอีกไหม อีกไม่นานเราคงได้รู้กัน