สำหรับคอบอลลีก เอิง ชื่อของ กัลติเย่ร์ ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมากนัก เพราะนี่คือกุนซือฝีมือดีคนนึงของลีกที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว แต่สำหรับคนภายนอก เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่คุ้นหรือแทบไม่รู้จักกุนซือคนนี้เลยด้วยซ้ำ คริสตอฟ กัลติเย่ร์ เกิดที่เมืองมาร์กเซย สมัยเป็นนักฟุตบอลเขาเล่นในตำแหน่งกองหลัง โดยเริ่มต้นเส้นทางสายลูกหนังกับ มาร์กเซย ตั้งแต่เป็นแข้งเยาวชนไปจนถึงชุดใหญ่ ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ ลีลล์, ตูลูส, อองเช่ร์, นีมส์, กลับมา มาร์กเซย อีกรอบตอนปี 1996 และย้ายไปเล่นในอิตาลีกับ มอนซ่า 1 ปี จากนั้นไปผจญภัยไกลถึงลีกจีนกับ เหลียวหนิง ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 1999 ตลอดการเล่นอาชีพของ กัลติเย่ร์ เขาไม่เคยได้แชมป์รายการใด ๆ เลย แต่ทันทีที่แขวนสตั๊ด เขามาเอาดีด้านงานโค้ชแบบเต็มตัว โดยเขาก็ได้เริ่มจากการเป็นผู้ช่วยโค้ชอยู่ถึง 10 ปี ไล่ตั้งแต่ที่ มาร์กเซย, อริส และ บาสเตีย เป็นเวลา 5 ปี จากนั้นในปี 2004 ก็มาเป็นมือขวาของ อแล็ง เปร์แร็ง ที่ อัล-ไอน์ แล้วย้ายไป ปอร์ทสมัธ, โซโชซ์, โอลิมปิก ลียง และ แซงต์-เอเตียน หลังจากทำงานเป็นมือขวานาน 10 ปี ในที่สุด กัลติเย่ร์ ก็ได้โอกาสขึ้นมาทำงานเป็นกุนซือของ แซงต์-เอเตียนน์ เต็มตัวตอนปลายปี 2009 ซึ่งในตอนนั้น อแล็ง เปร์แร็ง กุนซือของทีมถูกปลดเนื่องจากผลงานย่ำแย่มาก ทีมจมอยู่ในโซนตกชั้น นักเตะในทีมระส่ำระส่ายเล่นกันหลุดฟอร์ม ซึ่งสิ่งแรก ๆ ที่ กัลติเย่ร์ เข้ามาเปลี่ยนแปลงคือการขันเกมรับให้แน่น และทำการติวเข้มนักเตะทุกคนก่อนเกมอย่างละเอียด จนสุดท้าย แซงต์-เอเตียน รอดพ้นจากการตกชั้นได้อย่างเหลือเชื่อ โดย กัลติเย่ร์ พาทีมจบฤดูกาลในอันดับ 17 เรียกว่าเฉียดฉิวและลุ้นกันตัวโก่งเลยทีเดียว กัลติเย่ร์ ได้รับสัญญาคุมทีมถาวรหลังจากประสบความสําเร็จในภารกิจดังกล่าว เขาค่อย ๆ สร้างทีมขึ้นมาอย่างน่ากลัว แม้จะไม่ได้เขย่าบัลลังก์แชมป์ แต่ กัลติเย่ร์ ปลุกปั้นให้ แซงต์-เอเตียน กลายเป็นทีมที่มีมาตรฐานระดับสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาพาทีมติดท็อปเทนของลีกได้ 7 ฤดูกาลติดต่อกัน แถมยังเคยพาทีมไปเล่นฟุตบอลยุโรปอีกถึง 4 ครั้ง แต่ที่พีคสุดขีดก็คือ กัลติเย่ร์ พา แซงต์-เอเตียน คว้าแชมป์ เฟร้นช์ คัพ มาครองได้ในปีื 2013 โดยนี่คือการคว้าแชมป์แรกในรอบ 32 ปีของสโมสรแห่งนี้ และยังเป็นแชมป์ใบแรกในอาชีพกุนซือของตัวเขาเองอีกด้วย กัลติเย่ร์ คุมทีมนาน 8 ปีก็ตัดสินใจอำลาทีมตอนปี 2017 ก่อนจะมาตกปากรับคำคุม ลีลล์ อีกหนึ่งสโมสรที่มีชื่อเสียงในลีก เอิง ตอนปลายปี เนื่ิองจากในตอนนั้น ลีลล์ ประสบปัญหาสุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น รั้งอันดับ 18 ในตารางคะแนน และชนะใครยากมากจนทำให้สโมสรต้องเรียกใช้บริการ กัลติเย่ร์ กุนซือที่เคยพา แซงต์-เอเตียน สร้างปาฏิหารย์มาแล้ว กัลติเย่ร์ ใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือนในการพา ลีลล์ โกยแต้มจนหนีการตกชั้นได้ตามเป้า ก่อนที่จะพลิกโฉมทีมด้วยการทะยานคว้าอันดับ 2 ในลีกอย่างเหลือเชื่อ และยังทำให้ ลีลล์ เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกด้วยการเสียไปเพียง 33 ประตูเท่านั้นเอง กัลติเย่ร์ แสดงให้เห็นว่าเขามีฝีมือที่ไม่ธรรมดาเลย ในฤดูกาล 2020-21 เขาพา ลีลล์ กลับมาคว้าแชมป์ลีก เอิง ได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร โดยเฉือน เปแอสเช ไปแค่แต้มเดียว และจุดสำคัญที่ทำให้เป็นแชมป์คือเกมรับ เพราะ กัลติเย่ร์ พาทีมเสียประตูไปเพียงแค่ 23 ลูกจาก 38 นัด และทั้งฤดูกาลแพ้ไปเพียง 3 นัดอีกด้วย กัลติเย่ร์ กลายเป็นกุนซือที่ได้รับการยอมรับในวงการลูกหนังเมืองน้ำหอมเป็นอย่างมาก เขาได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ ลีก เอิง มากถึง 3 สมัย โดยได้ครั้งแรกในปี 2013 ซึ่งปีนั้นได้รางวัลนี้ร่วมกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ก่อนจะมาได้อีก 2 ครั้งในปี 2019 และปี 2021 หลังจากคว้าแชมป์กับ ลีลล์ ได้สำเร็จ กัลติเย่ร์ ประกาศลาออกและมารับงานคุม นีซ ในฤดูกาลที่ผ่านมา โดยเขาสามารถพาทีมจบได้ที่อันดับ 5 และเข้าชิงถ้วยเฟร้นช์ คัพ แต่ไปพ่าย น็องตส์ แบบเฉียดฉิว ชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย กัลติเย่ร์ เป็นของแข็งสำหรับทีมใหญ่ ๆ อยู่เสมอ เขาพาทีมบุกไปชนะ ลีลล์ แชมป์เก่าและต้นสังกัดเก่าถึง 4-0, เสมอ โมนาโก 2-2, ชนะ โอลิมปิก ลียง 3-2 ไม่แพ้ เปแอสเช ในการเจอกันทั้งเหย้า-เยือน และที่น่ากระแทกมือให้เลยก็คือ เขาช่วยให้ นีซ เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกด้วยจำนวน 36 ประตู ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ กัลติเย่ร์ ในการทำทีมเลยก็ว่าได้ เมื่อถามว่า กัลติเย่ร์ ถนัดในการคุมทีมด้วยแท็กติกไหน? ต้องบอกว่าเขาเป็นกุนซือจอมแท็กติกคนหนึ่งขอวงการ โดยมีระบบการเล่นที่ใช้บ่อย ๆ คือ 4-2-3-1 กับ 4-4-2 Double 6 ที่เน้นการคุมเกมกลางสนาม มีตัวตัดบอลสองคน และให้แบ็คเติมเกมขึ้นลงตลอด 90 นาที กัลติเย่ร์ เด่นเรื่องเกมรับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกทีมที่เขาไปคุมจะกลายเป็นกำแพงเหล็กเสียประตูยาก หลักฐานคือเขาพาทีมเสียประตูน้อยที่สุดในลีกเอิงมาแล้วอย่างน้อย 3 ฤดูกาล และไม่เสียประตูถึงหลัก 40 ลูกต่อฤดูกาลเลยใน 4 ปีหลังสุด แต่เมื่อมาคุม เปแอสเช เขาก็ได้ปรับเปลี่ยนแท็กติกโดยให้ เมสซี่ ขยับเข้ามาเล่นด้านในมากขึ้น โดยแผนผังการยืนจะเป็นเพลย์เมกเกอร์อยู่หลังคู่กองหน้าอย่าง เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ คอยบัญชาการเกมรุก แทงบอลตามช่อง ลากเลื้อยกินแดน จนสร้่างอันตรายได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้วเยอะมาก ๆ ถึงจำนวนประตูและแอสซิสต์อาจไม่มากเท่าคนอื่น แต่ เมสซี่ มีส่วนร่วมกับเกมรุกทุกครั้งที่มีประตูเกิดขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถือว่าเป็นการขยับมาเล่นในตำแหน่งที่ถนัด และเป็นจุดที่ทำให้ เปแอสเช มีเกมรุกสุดโหดอย่างที่เห็นในเวลานี้ การมาทำงานที่ เปแอสเช เขาได้ปรับเปลี่ยนแนวทางของทีมให้แตกต่างไปจากเดิมเยอะมาก เกมรุกของพวกเขาวูบวาบมากยิ่งขึ้น มีจินตนาการที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของเขาในการคุมทีมอื่น ๆ มาตลอดคือเกมรับครับ ดังนั้น ในอีกไม่นานนี้ เราอาจได้เห็นฝีมือการขันเกมรับให้แน่นนอกเหนือไปจากการปั้นเกมรุกให้ดุดันแบบนี้ ซึ่งในถ้วยยุโรปเขาอาจใช้เกมรับมาเป็นจุดเด่นในการพาทีมเข้าถึงรอบลึก ๆ ก็เป็นได้ กัลติเย่ร์ โดดเด่นในเรื่องของแท็คติก และการยกระดับผู้เล่น ผลงานในช่วงหลายปีหลังอยู่ในระดับที่สูงมาตลอด เป็นแชมป์กับ ลีลล์ และพา นีซ จบอันดับ 5 ได้อย่างสวยงาม ทั้งที่ชื่อเสียง และตัวผู้เล่นไม่ได้โด่งดังมากเท่าไหร่นัก ดังนั้นพอมาคุม เปแอสเช ที่เต็มไปด้วยสตาร์ระดับโลก จึงทำให้งานของเขาออกมาสวยงามอย่างที่เห็น คริสตอฟ กัลติเย่ร์ เป็นกุนซือฝีมือดี การันตีด้วยรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมลีก เอิง 3 สมัย และการพา ลีลล์ คว้าแชมป์มาแล้ว ดังนั้นกับก้าวที่ใหญ่ขึ้นใน เปแอสเช จึงน่าจับตามองมาก ๆ และอาจเป็นคีย์สำคัญในการสานฝันแชมป์ยุโรปของ เปแอสเช ก็เป็นได้
