นี่ถือเป็นเพชรเม็ดงามของเรอัล มาดริด ในวัยเพียง 22 ปร เขาสามารถโชว์ผลงานอย่างยอดเยี่ยม หลายคนบอกว่า ฝีเท้าของเขานำหน้าอายุไปไกลแล้ว โดยกลายเป็นส่วนสำคัญในการพาพลพรรค “ราชันชุดขาว” เก็บเกี่ยวความสำเร็จ
ตั้งแต่วินิซิอุส จูเนียร์ ย้ายมาเล่นในถิ่นซานติอาโก้ เบอนาเบว ในช่วงปี 2018-19 พร้อมกับไต่เต้ามาจากทีมกาสติญ่า สู่ทีมชุดใหญ่ เขาพาทีมกวาดแชมป์รายการสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นลาลีกา, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก
ช่วงนี้ เราลองไปสัมผัสตัวตนของวินิซิอุส จูเนียร์ กันหน่อย ถึงอุปนิสัยใจคอ และสิ่งที่เขาเลือกลงมือทำนอกสนาม บอกเลยว่า เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีทัศนคติที่ยอดเยี่ยม และเป็นแบบอย่างให้กับใครหลายคนได้เลย
วินิซิอุส จูเนียร์ เกิด และเติบโตที่ ซาน กอนซาโล พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ที่แทรกตัวอยู่ในริโอ เดอ จาเนโร ของประเทศบราซิล
เขาเกิดมาในครอบครัวฐานะยากจน กระทั่งสามารถเข้าอะคาเดมี่ของทีมฟลาเมงโก้ ก่อนต่อยอดขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ฐานะทางบ้านจึงดีขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ครอบครัวของเขายังถือว่า “การให้” เป็นสิ่งสำคัญ
เขานำสารพัดปัญหา และปมในวัยเด็ก กลับมาปัดฝุ่นอีกครั้ง การเป็นนักฟุตบอลระดับโลก ไม่ได้ทำให้เขาหลงลืมปัญหา นั่นคือเรื่องการศึกษา ในประเทศบ้านเกิด ซึ่งเงินค่าเหนื่อยจากการเล่นฟุตบอล ถูกนำไปจัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมา โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี และกีฬา เพื่อเพิ่มความรู้ให้กับเยาวชน จุดมุ่งหมายคือสร้างความเท่าเทียมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้คือ คุณภาพของโรงเรียนรัฐบาลในบราซิล ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวที่ฐานะร่ำรวย มักจะส่งลูกหลานเข้าไปศึกษาที่โรงเรียนเอกชนที่มีราคาแพง เด็กเหล่านั้นจะได้รับโอกาสที่ดี ต่อยอดสู่การเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ ซึ่งนักเรียนที่มีผลการเรียนที่ดี จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ภาพรวมทั้งหมดที่กล่าวมา เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การจ่ายเงินให้ลูกหลานเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชนแบบพิเศษ ผู้ปกครองที่ร่ำรวยสามารถควบคุมระบบได้มากกว่า ในทางกลับกัน เด็กจำนวนมากที่ไม่มีกำลังจ่าย กลับหลุดออกจากระบบการศึกษาไปอย่างน่าเสียดาย
ปูมหลังวัยเด็ก ทำให้วินิซิอุส จูเนียร์ รู้ดีว่า การมีฐานะยากจน เต็มไปด้วยความยากลำบากมากขนาดไหน เขาจึงพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยนักเรียนที่ไม่มีทุนทรัพย์มากพอ ที่จะเข้าถึงการศึกษาแบบพิเศษ
เขาทำการเปิดตัวแอปพลิเคชันด้านการศึกษา โดยใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องมือในการดึงดูดเด็กๆ โดยเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่โรงเรียนเก่าของเขาที่ริโอ เดอ จาเนโร พร้อมกับมีแผนขยายเพิ่มเติมในปีต่อไป
“ความกังวลแรกของผมคือ ผมอยากช่วยเด็กเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นผ่านการศึกษา ฟุตบอลคือความฝัน มันจะสวยงามไม่น้อย หากเราลงมือช่วยเด็กๆให้หลุดพ้นจากความยากจน ด้วยการศึกษาเล่าเรียน เป้าหมายของผมคือ การทำให้มันเกิดขึ้นในระยะกลาง และระยะยาว เราจำเป็นต้องมีแพทย์, ทนายความ และวิศวกรออกมาจากสลัมมากยิ่งขึ้น เราตั้งใจที่จะให้โอกาสพวกเขา”
“ผมมองว่า มีช่องว่างขนาดมหึมา ในการเรียนหนังสือที่บราซิล เป็นเรื่องดีที่เราเปิดแอปพลิเคชันที่โรงเรียนเก่าของผม แน่นอนว่า ผมมีความทรงจำดีๆมากมายในสมัยนั้น แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของการเล่นฟุตบอล ผมสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้”
“เรามีตัวอย่างนักกีฬามากมายที่ทำแบบนั้น ผมได้รับแรงบันดาลใจจากเลบรอน เจมส์, ลูอิส แฮมิลตัน และมาร์คัส แรชฟอร์ด ดังนั้น ผมจึงอยากจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อละแวกบ้านของผมก่อน ใครจะรู้ว่าในอนาคต สิ่งเหล่านี้อาจเติบโตทั่วบราซิล ก็เป็นได้“
เขากล่าวต่อ และครอบครัวคอยช่วยเหลือคนในชุมชนเซา กอนซาโล มาตลอด แม้แต่ตอนที่เขาอายุน้อย และยังไม่ได้รับเงินทองมากมายจากการเล่นฟุตบอลก็ตาม ครอบครัวของเขาบริจาคเงินช่วยเหลือทุกทางเท่าที่สามารถทำได้
กระทั่งเวลานี้ วินิซิอุส จูเนียร์ กลายเป็นนักเตะของเรอัล มาดริด และทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่ กระนั้น เขาก็ยังคงทำมันต่อไป โดยแอปพลิเคชันที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เกิดจากเม็ดเงินส่วนตัวของเขาเพียงคนเดียว จำนวนกว่า 2 ล้านเรอัล (สกุลเงินบราซิล ตกเป็นเงินไทยประมาณ 13 ล้านบาท) และไม่มีผู้ร่วมทุนรายอื่น
“ถือเป็นเรื่องดี ในการรวมฟุตบอลเข้ากับการศึกษา แอปพลิเคชันที่ผมสร้างขึ้นมา ช่วยให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนุกมากขึ้น เราดำเนินการมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว การระบาดของโรคร้าย ทำให้เราเห็นแล้วว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนมีความสำคัญมากเพียงใด”
“ผมมองว่า มีช่องว่างของการศึกษาที่ใหญ่โตมาก เราจะพยายามช่วยลดมันให้ได้ เด็กๆจะใช้แอปพลิเคชันที่โรงเรียน มีแบบฝึกหัด และการผ่านด่านมากมายที่ต้องตอบให้ถูก ถึงจะผ่านเกณฑ์”
“เรามีกิจกรรมที่เห็นหน้านักเรียน เช่นการใช้กีฬา ผนวกเข้ากับการเรียนภาษาโปรตุกีส และวิชาคณิตศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ พวกเขายังได้เรียนรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับปัญหาสังคมโลก เช่นวิธีที่เราต้องรักษาสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเท่าเทียม”
“วินิซิอุส จูเนียร์” ทิ้งท้าย โดยเขาคือเด็กหนุ่มวัย 22 ปี ที่เป็นเจ้าขององค์กร เพื่อคอยช่วยเหลือการศึกษาต่อเด็กๆ โดยมีความหวังภายในใจว่า เด็กๆจะสามารถเข้าสู่การเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น
