เป็นเกมที่สองติดต่อกันแล้วที่ทีมไม่เสียประตูและยิงได้ถึง 3 ลูกหลังจากที่ก่อนหน้านี้โดนคู่แข่งเจาะตาข่ายมาถึง 8 เกมติดต่อกัน รวมเสียไปถึง 12 ประตู

         ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมเก็บคลีนชีตได้สองเกมติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เลยทีเดียว

ครองเกมตั้งแต่เริ่ม

         เชลซี เปิดฉากพร้อมกับศักยภาพที่เหนือกว่าตามหน้าเสื่อ ซึ่งก็เป็นไปตามด้วยพร้อมกับการครองเกมที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งตลอดครึ่งแรกทีมครองบอลมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์

         การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว การต่อบอลที่ไหลลื่นระหว่างแนวรับและมิดฟิลด์ของ วูล์ฟส์ ทำให้ทีมเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้หลายครั้งและสร้างโอกาสทำประตูได้มากมาย

         อย่างไรก็ตามโอกาสยิง 15 ครั้งของทีมมีเพียง 4 หนเท่านั้นที่เข้ากรอบ มีแค่ มาร์ก กูกูเรย่า ที่เป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์เพียงคนเดียวที่ไม่ได้โอกาสทำประตู 

         กระทั่งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บทีมถึงมาได้ประตูขึ้นนำจาก ไค ฮาแวร์ตซ์ ถือเป็นการได้ประตูในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมเลย

เมาท์ และ กูลิบาลี่ ที่โดดเด่น

         เมสัน เมาท์ กับตำแหน่งตรงกลางในสามประสานแนวรุกของทีมหลัง ไค ฮาแวร์ตซ์ น่าจะเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของเจ้าตัว หลังจากที่ผ่านมาทักจะถูกจับไปเล่นในแนวรุกทั้งซ้าย-ขวา

         มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษผ่านบอลสำคัญถึง 5 ครั้ง และ 2 หนในนั้นคือการแอสซิสต์ให้ ฮาแวร์ตซ์ และ คริสเตียน พูลิซิช ทำประตูให้กับทีมในเกมนี้ก่อน อาร์มันโด้ โบรย่า จะมายิงปิดท้าย ขณะเดียวกันก็ยังเลี้ยงบอลคู่แข่งสองครั้งสูงที่สุดของทีมในเกมนี้

         อีกคนที่ทำได้อย่างโดดเด่นก็คือ กาลิดู กูลิบาลี่ ที่ชนะในการดวลลูกกลางอากาศ 4 ครั้ง, เคลียร์บอล 3 ครั้งและเข้าสกัดสำเร็จ 5 ครั้ง ทำให้ ดีเอโก้ คอสต้า แทบหายไปจากเกม โดยเฉพาะการดวลกลางอากาศที่ชนะทุกครั้ง

จัดการหมาป่า

         11 เกมในบ้านก่อนหน้านี้ เชลซี ไม่เคยแพ้ให้กับ วูล์ฟส์ มาก่อน และจากชัยชนะในเกมนี้ก็เพิ่มตัวเลขขึ้นเป็น 12 เกม

         อย่างไรก็ตาม 4 เกมที่เจอกันก่อนหน้านี้ "สิงห์บลูส์" ไม่ชนะเลย ดังนั้นสามแต้มในเกมนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก

         นับตั้งแต่ปี 2018 ที่ "หมาป่า" กลับสู่พรีเมียร์ลีก เชลซี ทำแต้มหล่นในการเจอกันถึง 8 คะแนน มากว่าทุกทีมในช่วงเวลาเดียวกัน

         ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ เชลซี เก็บชัยชนะเกมลีกในบ้านเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีเลยทีเดียว