:::     :::

เสี่ยงเหลือเกิน

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,594
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 ทำให้สถานการณ์ของ เชลซี กลับเข้าสู่ช่วงเวลาที่ล่อแหลมอีกครั้ง
สถานการณ์ที่ดูจะดีขึ้นมาจากชัยชนะในช่วงหลังกลายเป็นเรื่องอดีตไปแล้ว เรื่องราวที่สะสมมาและพักไว้ก่อนถูกยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งถึงความไม่แน่นอนนี้
ทุกอย่างอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนี้ถ้าหากทีมไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่กำลังจะจบฤดูกาลด้วยการไม่มีอะไรติดมือเลยแม้กระทั่งโควต้าฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก!
เกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดถามว่าทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ เล่นไม่ดีหรือ ก็ต้องตอบเลยว่าไม่ใช่ แถมอาจบอกได้ว่าดีกว่าเจ้าถิ่นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะในครึ่งแรก
ตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกที่ทัพ "สิงห์บลูส์" ที่ได้เขี่ยเริ่มเกมก่อนและเกือบได้ประตูตั้งแต่ต้นเกมถ้าลูกยิงของ อัลบาโร่ โมราต้า ไม่พุ่งไปจูบคานเต็มๆ
เชลซี ครองบอลบุกมากกว่า เกมรุกขึ้นอย่างมีระบบ ระเบียบ มีแบบแผน ตรงข้ามกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต่อบอลไม่กี่จังหวะก็เสีย ใช้เกมรุกแบบฉาบฉวยเท่านั้น
วิคเตอร์ โมเสส กับ มาร์กอส อลอนโซ่ เติมเกมสูงอย่างที่ทำมาตลอด ไม่เหมือนในเกมกับ บาร์เซโลน่า ที่แทบไม่เห็นสองคนนี้มีส่วนร่วมกับเกมรุกของทีมเลย 
การจัด แดนนี่ ดริ๊งวอเตอร์ ลงสนามก่อน เชส ฟาเบรกาส ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการวางแผนอันแยบยลของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน ช่วยลดภาระของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้เป็นอย่างดีแถมมีลูกวางบอลยาวเปลี่ยนจังหวะของเกมได้ไม่ถือว่าเป็นรอง เชส เท่าไรนัก แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือความดุดันในการสกัดและเล่นเกมรับได้ดีกว่า
อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่นคือการประสานงานของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ อัลบาโร่ โมราต้า ที่ได้โอกาสเป็นตัวจริงในนัดนี้ สองนักเตะชาวสเปนเรียกได้ว่าเล่นกันอย่างรู้ใจเป็นอย่างดี ปราการหลังกัปตันทีมมักมีลูกวางยาวให้กองหน้าเพื่อนร่วมชาติได้ใช้สปีดอยู่เสมอ เช่นกันกับเกมนี้แม้ว่าจะไม่ได้ออกผลถึงขนาดหลุดไปยิงประตูก็ตาม
แต่อย่างน้อยมันช่วยเพิ่มมิติในเกมรุกได้ เพราะยามที่ คอนเต้ ตัดสินใจส่ง อาซาร์ เป็น "ฟอลส์ ไนน์" ในแดนหน้า บ่อยครั้งพวกเขาจะเล่นลูกเตะมุมสั้นซะมากกว่า
เพราะว่ากันตามตรงแล้วลูกตั้งเตะก็ถือเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของทีมทั้งในเกมรับและเกมรุก เพราะคนที่น่าจะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีมีเพียงแค่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ อันเดรียส คริสเตนเซ่น สองเซนเตอร์เท่านั้น หรืออาจจะพ่วง มาร์กอส อลอนโซ่ ที่มีรูปร่างสูงใหญ่หน่อย 
                                                     วิลเลี่ยน ฟอร์มกำลังเข้าฝักยิงประตูต่อเนื่อง
นั่นทำให้มิติในเกมรุกของทีมกลายเป็นภาระของ เอแด็น อาซาร์ กับ วิลเลี่ยน ที่วิ่งเป็นบ้าอยู่ข้างหน้า
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผล ประตูที่ได้ในเกมนี้ก็มาจากการประสานงานของสองคนนี้เพียวๆจากจังหวะโต้กลับ วิลเลี่ยน พาบอลตั้งแต่หน้าเขตโทษตัวเองขึ้นมาก่อนไหลให้ อาซาร์ วนหาจังหวะก่อนแทงให้สตาร์บราซิลที่วิ่งทะลุหลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนอัดเต็มข้อบอลพุ่งทะลุตัว ดาบิด เด เคอา เข้าไป
ถือเป็นการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของสองนักเตะที่ตอนนี้ได้ชื่อว่ารู้ใจกันติดอันดับต้นๆ เริ่มจาก อาซาร์ ที่ถือว่าวิ่งทำทางได้อย่างฉลาด วนหาจังหวะรอให้ วิลเลี่ยน สอดมาก่อนไหลทะลุไปให้ ขณะที่ อัลบาโร่ โมราต้า ที่วิ่งไปรอที่เสาสองคนเดียวก็ทำให้ เด เคอา ไม่กล้าจะออกมาปิดมุมเพราะกลัวโดนจ่ายบอลไป สุดท้ายบอลสู่ก้นตาข่าย
นอกจากความยอดเยี่ยมของ เชลซี ต้องยกเรื่องความผิดพลาดของผีแดงขึ้นมาพูดถึง สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ควรจะวิ่งตาม วิลเลี่ยน จนสุดแต่กลับหยุดไปช่วยบัง อาซาร์ ทั้งที่มีเพื่อนคอยคุมอยู่แล้ว ถือว่าเป็นประสบการณ์ของเจ้าหนูรายนี้ไป
สกอร์ขึ้นนำเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงเพราะด้วยรูปเกม และการเข้าทำที่ดีกว่าชัดเจน แต่สุดท้าย เชลซี ก็ยันสกอร์นี้ให้อยู่จนจบครึ่งแรกไม่ได้
ดูเผินๆประตูของ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของแนวรุกแต่หากใครได้ดูเกมจะเห็นว่าจังหวะนั้น โรเมลู ลูกากู ไม่ควรหลุดไปแบบนั้น 
เหตุการณ์เกิดตั้งแต่จังหวะแย่งโหม่งหน้าเขตโทษของ อันเดรียส คริสเตนเซ่น กับ ลูกากู ก่อนที่กองหลังชาวเดนมาร์กที่โดนจังหวะเสยลงไปกองกับพื้น จริงอยู่มันไม่ได้เจ็บอะไรมากและมันก็ไม่ใช่จังหวะฟาวล์อะไร แต่การล้มลงไปนั้นทำให้กองหน้าเบลเยี่ยมโลดแล่นเข้าเขตโทษอย่างสบายกว่าเดิม
คริสเตนเซ่น ลุกขึ้นมาเล่นต่อแต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งตัวเองอีกต่อไปก่อนที่จะโดนทำชิ่งไปจนเป็นที่มาของการเสียประตู และคนที่มาเบียดกับ ลูกากู กลายเป็น อลอนโซ่ แทน
อาจจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าหาก คริสเตนเซ่น ไม่ร่วงลงไปจะไม่เสียประตู แต่อย่างน้อยน่าจะสร้างความลำบากให้กับการเข้าทำของผีแดงได้บ้าง
ประตูที่เสียทำให้ เชลซี เสียขบวนรึเปล่า ก็คงต้องบอกว่าไม่ เพราะหลังจากนั้นเกมของผู้มาเยือนก็ยังดีกว่าอยู่ดี แต่ทว่าเมื่อพักครึ่งแล้วกลับมาเล่นกันใหม่ จู่ๆเกมที่ยอดเยี่ยมกลับกลายเป็นตรงกันข้ามหน้าตาเฉย
จากการทะลุทะลวงที่เด็ดขาดกลายเป็นติดขัด ก็องเต้ กับ ดริ๊งวอเตอร์ งานเริ่มรัดตัวจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แดนกลางกลายเป็นของยูไนเต็ดแบบเบ็ดเสร็จ เนมานย่า มาติช ที่ครึ่งแรกแทบไม่ได้ทำอะไรกลายเป็นตัดเกมได้เกือบตลอด กดให้ เชลซี บุกแทบไม่ขึ้นเลย
   
                               เอแด็น อาซาร์ ถูกเปลี่ยนตัวออกทำให้เกมรุกลดความวูบวาบลงไปอีก
เกมที่เป็นรองอยู่แล้วยิ่งสร้างความงุนงงให้กับแฟนบอลเมื่อ คอนเต้ ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกด้วยการถอด อาซาร์ ที่ดูจะเป็นคนสร้างปัญหาให้แนวรับของเจ้าถิ่นได้มากกว่าใครออก แล้วเอา เปโดร โรดริเกซ ลงมาแทน 
จากนั้นไม่กี่อึดใจทีมก็มาสังเวยประตูจากลูกโหม่งของ เจสซี่ ลินการ์ด งานที่ยากอยู่แล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก วิลเลี่ยน ไม่มีเพื่อนรู้ใจที่เล่นด้วยอีกต่อไป เขาแทบจะกลายเป็นคนละคนเมื่อต้องเล่นกับคนอื่น 
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ เชส ฟาเบรกาส ทยอยโดนเปลี่ยนลงมาสมทบเพื่อเพิ่มมิติในเกมรุกมากขึ้น แต่เวลาน้อยไปแล้ว
ยิ่งทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ขึ้นนำยิ่งเรียบร้อย ความเขี้ยวในการคุมทีมด้วยการส่งแนวรับมาแทนแนวรุกยิงเพิ่มความยากไปอีก
จบเกม พ่ายแพ้ อันดับหล่นมาอยู่ที่ 5 ของตาราง อาจจะยังไม่ต้องกังวลอะไรมากมายจากคะแนนที่ตามหลัง สเปอร์ส ที่แซงขึ้นไปเพียง 2 คะแนน เหลือเกมให้เล่นอีก 10 เกม แต่ทิศทางและสถานการณ์ของบรรดาทีมที่อยู่ในหัวตารางล้วนแล้วแต่ดีกว่า
                                 
                                                                           ลูกโหม่งพิฆาต เชลซี
เชลซี อยู่ในความเสี่ยงในหลายๆเรื่อง เสี่ยงที่จะไม่ได้ไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า, เสี่ยงที่จะตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เสี่ยงที่จะจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า
ที่สำคัญเสี่ยงที่ อันโตนิโอ คอนเต้ จะอยู่ไม่จบฤดูกาลด้วย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด