กลุ่มเอฟ : เบลเยี่ยม, แคนาดา, โมร็อกโก, โครเอเชีย
เบลเยี่ยม
ผู้จัดการทีม
โรเบร์โต้ มาร์ตีเนซ
คุมทีมมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปี 2016 แม้ว่าจะมีข่าวเชื่อมโยงกับการกลับไปคุมทีมในระดับสโมสรอยู่เสมอ แต่ก็ยังอยู่กับทีมจนถึงตอนนี้
ไม่รู้ว่าจะด้วยจังหวะหรือนักเตะ หรือจะอะไรก็ตาม แต่ว่าก็ต้องยกเครดิตให้ โรเบร์โต้ มาร์ตีเนซ ที่พาให้ เบลเยี่ยม ขึ้นมาเป็นทีมระดับแถวหน้าของโลกไปแล้ว
สตาร์เด่น
เควิน เดอ บรอยน์
ก้าวขึ้นมาเป็นคนสำคัญที่สุดของทีมแทนที่ เอแด็น อาซาร์ ไปเรียบร้อยหลังสตาร์จาก เรอัล มาดริด กลายเป็นคนละคนกับเมื่อก่อนนับตั้งแต่ย้ายไปเล่นกับ เรอัล มาดริด
เควิน เดอ บรอยน์ ก้าวขึ้นมาเป็นกองกลางอันดับต้นๆของโลกไปแล้ว ซีซั่นนี้ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หวังว่าจะฟิตเต็มที่เพราะทีมต้องพึ่งเขาแน่หากหวังถึงตำแหน่งแชมป์
คุณสมบัติ
เบลเยี่ยม อยู่ในอันดับ 2 ของฟีฟ่าในปัจจุบัน แต่ว่าในฟุตบอลโลกหนนี้ทีมยังถูกมองว่าเป็นรองทีมอื่น โดยถูกมองว่าเป็นเต็ง 9 เท่านั้น แต่ถ้ามองจากชื่อชั้นนักเตะแล้วพวกเขาไม่เป็นรองใครเลย และการไม่ได้ถูกจับตาแบบนี้อาจจะส่งผลดีกับทีมก็ได้
แคนาดา
ผู้จัดการทีม
จอห์น เฮิร์ดแมน
กุนซือชาวอังกฤษเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ปี 2018 โดยก่อนหน้านี้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากับการคุมทีมชาติหญิงอยู่นานถึง 7 ปี ได้เหรียญทองแดงโอลิมปิก 2 ครั้ง แบละได้แชมป์ แพน อเมริกัน เกมส์ กับ อัลการ์ฟ คัพ อย่างละ 1 สมัย
แต่เจ้าตัวก็แสดงฝีมือออกมาด้วยการพาทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้ในรอบ 36 ปีเลย ถือว่าสร้างความสุขให้แฟนบอลในประเทศอย่างล้นเหลามจริงๆ
สตาร์เด่น
อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์
สตาร์จาก บาเยิร์น มิวนิค ที่ก้าวขึ้นมาเป็นแข้งคนสำคัญของชาติด้วยฝีเท้าที่ไม่ธรรมดากับการยึดตำแหน่งในทีม "เสือใต้"และเป็นคนสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2020 ในวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น
แม้ว่าปัจจุบันอายุจะยังน้อยแต่วาประสบการณ์ไม่เป็นรองใครไม่ใช่แค่คนในทีมเดียวกันเท่านั้นแต่กับทีมอื่นด้วยกับการลงให้ บาเยิร์นไปแล้วมากกว่า 130 เกม กวาดแชมป์มาแล้วทุกรายการ
คุณสมบัติ
แม้ว่าจะไม่ได้มีแข้งที่มีชื่อเสียงมากมากนักแต่นักเตะในทีมล้วนผ่านการติดทีมชาติมาไม่น้อย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีนักเตะติดทีมรวมกันเยอะทีเดียว แม้เรื่องแชมป์คงหวังยาก แต่หากจะทำแสบกับเพื่อนร่วมกลุ่มล่ะก็มีโอกาสไม่น้อยเลย
โมร็อกโก
ผู้จัดการทีม
วาลิด เลกรากี
เข้ามาทำหน้าที่แทน วาฮิด ฮาลิฮ็อดซิช แบบไม่ทันตั้งตัวหลังจากที่นายใหญ่ชาว บอสเนียฯ โดนปลดจากตำแหน่งจากความไม่ลงรอยกับประธานาธิบดี แถมมีปัฐหากับ ฮาคิม ซิเย็ค สตาร์คนดังจนตัวชื่ออกจากทีมไปเลยด้วย
แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรแต่มีผลงานชิ้นโบว์แดงกับการพา วีดาด เอซี คว้าแชมป์ ซีเอเอฟ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถือว่ามีฝีมือเหมือนกัน
สตาร์เด่น
ฮาคิม ซิเย็ค
กลับมามีชื่ออีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ประกาศแขวนสตั๊ดไปแล้วจากความขัดแย้งกับ วาฮิด ฮาลิฮ็อดซิช ที่ตัดชื่อเจ้าตัวลุยแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ และไม่ติดทีมมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว แถมประกาศอำลาทีมชาติไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย
แต่ตอนนี้กลับมามีชื่อลุยฟุตบอลโลก แน่นอนว่าเขาคือตัวความหวังของชาติ แม้ว่ากับ เชลซี ต้นสังจัดจะไม่ได้โอกาสมากนัก แต่ถ้าเป็นทีมชาติเขาคือคนสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย
คุณสมบัติ
หนึ่งในทีมลำดับท้ายๆที่ถูกคาดว่าจะไปถึงแชมป์ได้ นี่เป็นครั้งที่ 6 ที่เข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย โดย 5 ครั้งตกรอบแบ่งกลุ่ม มีในปี 1986 ที่เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนเป้าหมายผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ถือว่าเยี่ยมแล้ว
โครเอเชีย
ผู้จัดการทีม
ซลัตโก้ ดาลิช
เข้ามาคุมทีมตั้งแต่ปี 2017 และพาทีมโชว์ฟอร์มสุดยอดทันทีในฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ น่าเสียดายที่ไปแพ้ให้กับ ฝรั่งเศส
น่าเสียดายในทัวร์นาเม้นต์ถัดมาในยูโร 2020 ทีมไปได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายก่อนแพ้ สเปน ไป แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าด้วยระบบการเล่นแบะการดึงศักยภาพของผู้เล่นออกมานั้นทำได้อย่างไร้ที่ติเลย
สตาร์เด่น
ลูก้า โมดริช
แม้จะอายุ 36 ปีแล้วแต่ ลูก้า โมดริช ยังโชว์ฝีเท้าอันยอดเยี่ยมออกมาอย่างไม่ตกหล่น ความเร็วไม่ได้ลงดลงไปมากมายอะไรแต่มันสมองต้องบอกว่าไม่เป็นรองใครในโลก
ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติเขายังคงมีความสำคัญ จากฟุตบอลโลกหนก่อนที่ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยม ตามมาด้วยบัลลง ดอร์ด้วย หากทีมหวังไปได้ไกลก็ต้องดูที่ผลงานของ ลูก้า โมดริช นี่แหละ
คุณสมบัติ
แน่นอนว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้ โครเอเชีย ก็ไม่ได้ถูกมองเป็นทีมเต็งลำดับต้นๆที่จะได้แชมป์โดยอยู่ไกลถึงอันดับที่ 12 เป็นรองแม้กระทั่ง เดนมาร์ก หรือ อุรุกวัย ด้วยซ้ำ แต่หากมองจากผลงานเก่าฟุตบอลโลกหนนี้ผลงานคงไม่อ่อนกว่าตามอันดับทีมเต็งแน่
