:::     :::

'โมร็อกโก' ม้ามืดตัวจริง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กลายเป็น "ม้ามืด" ตัวจริงเสียงจริงของฟุตบอลโลกหนนี้สำหรับ โมร็อกโก ทีมจากแอฟริกาที่ไล่ตบทีมใหญ่เป็นว่าเล่นจนทะลุเข้ารอบตัดเชือกได้สำเร็จ

โมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาติแรกจากทวีปแอฟริกาที่เข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกหลังจากเฉือนชนะ โปรตุเกส ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

แทบไม่มีใครคาดคิดว่า โมร็อกโก จะเข้าถึงรอบนี้ได้เพราะพวกเขาอยู่ในกลุ่มที่หินโหดไม่น้อยด้วยทีมอย่าง โครเอเชีย รองแชมป์โลก 4 ปีก่อน, เบลเยียม ทีมเบอร์สองของโลกในปัจจุบัน รวมไปถึง แคนาดา ที่พัฒนาขึ้นมาต่อเนื่องในช่วงหลัง

นอกจากนี้ พวกเขาเพิ่งตั้งโค้ชใหม่โนเนมคุมทีมก่อนฟุตบอลโลกเปิดฉากเพียงสองเดือนเศษหลังปลด วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช ที่พาทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย ออกจากตำแหน่ง  

ทว่าทีมลูกหนังจากแอฟริกาทีมนี้กลับทำผลงานได้ดีเกินคาดเริ่มจากยันเสมอ โครเอเชีย 0-0 ในนัดแรก ก่อนหักปากกาเซียนทุบ เบลเยียม 2-0 ต่อด้วยเชือด แคนาดา 2-1 ทำให้เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แถมเป็นถึงแชมป์กลุ่มอีกต่างหาก

ในรอบ 16 ทีม โมร็อกโก โคจรมาพบกับ สเปน ที่ตามหน้าเสื่อแล้วพวกเขาเป็นรองพอสมควร ทว่าเล่นเกมรับอันเหนียวแน่นยันเสมอจนถึง 120 นาที ทำให้ต้องดวลจุดโทษตัดสินซึ่งปรากฏว่า โมร็อกโก ยิงได้แม่นยำกว่าเอาชนะไปได้ 

เจ้าของฉายา "สิงโตแอตลาส" ทำได้ดีอีกครั้งกับแท็กติกรับแน่นรอโต้ในการเจอกับ โปรตุเกส ที่แม้ทัพฝอยทองครองบอลเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ได้ยิงตรงกรอบเพียง 3 ครั้ง และไม่เหลือบ่ากว่าแรงของ ยาซีน บูนู ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากในทัวร์นาเมนต์นี้ 

ขณะที่โอกาสลุ้นของ โมร็อกโก สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้จากจังหวะเปิดบอลโด่งเข้าเขตโทษ ยุสเซฟ เอ็น เนซิรี่ เทคตัวลอยสูงลิบก่อนโหม่งเช็ดบอลตุงตาข่ายสำเร็จ

โมร็อกโก จึงสร้างเหลือเชื่อเข้ารอบตัดเชือกพร้อมผลงานเกมรับอันเหนียวแน่นเสียไปเพียงประตูเดียวที่เป็นการสกัดบอลเข้าประตูตัวเองในเกมกับ แคนาดา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขายังไม่โดนคู่แข่งยิงประตูเลยทั้งที่เจอทีมแกร่งทั้ง โครเอเชีย, เบลเยียม, สเปน และ โปรตุเกส

เครดิตสำคัญที่ต้องพูดถึงคือการสร้างทีมและวางหมากของ วาลิด เรกรากี กุนซือที่เข้าคุมทีมไม่นาน แต่รวมทีมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้รวดเร็วและทำผลงานได้ดีเหลือเชื่อ 

เรกรากี ที่ไม่เคยคุมทีมชาติมาก่อน เรียกนักเตะที่เล่นในยุโรปเป็นหลักมาติดทีมชุดนี้ โดยมีถึง 14 คนจาก 26 คนที่ไม่ได้เกิดใน โมร็อกโก แต่มีเชื้อสายโมร็อกโกมาจากครอบครัว 

ขณะที่ ฮาคีม ซิเย็ค ปีกจาก เชลซี ที่เคยหลุดโผทีมชาติตอนขัดแข้งกับ วาลิลฮ็อดซิช ก็ถูกเรียกติดทีมชุดนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ เรกรากี ทำให้เห็นว่าเขาไม่มองข้ามนักเตะที่คิดว่าสามารถช่วยทีมได้ และทำให้คนอื่นเชื่อมั่นในทีมมากขึ้น 

อีกหนึ่งปัจจัยในการรวมนักเตะ โมร็อกโก จากต่างที่ต่างทางในหลายประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวคือ เรกรากี ยอมให้ครอบครัวของนักเตะเดินทางมาเชียร์ลูกทีมถึงขอบสนามและร่วมในกิจกรรมหลายอย่างของทีม


วาลิด เรกรากี กุนซือคนเก่ง

เหมือนเป็นการซื้อใจนักเตะอย่างเต็มที่ และทำให้หลายคนที่แม้ไม่ได้เกิดในโมร็อกโก ได้มีความรู้สึกถึงรากเหง้าของตัวเองมากยิ่งขึ้นเมื่อมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง 

ภาพที่ อาชราฟ ฮาคิมี่ แบ็กขวาจาก ปารีส แชร์กแมง กอดและจูบคุณแม่หลังจบเกม หรือจะเป็น โซฟียาน บูฟาล แนวรุกตัวเก่งพาคุณแม่มาเต้นฉลองในสนามด้วยจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงเบื้องหลังความสำเร็จของ โมร็อกโก ชุดนี้ได้อย่างดี 

ขณะที่แนวทางการเล่น เรกรากี วางพื้นฐานเกมรับที่เหนียวแน่น เสียประตูยาก นักเตะเล่นกันอย่างมีวินัยและอดทนรอโอกาสอย่างใจเย็น โดยผลงาน 3 นัดก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่มก็ไม่เสียประตูให้คู่แข่งเช่นกัน

ส่วนใหญ่แล้วทีมจากแอฟริกามีจุดแข็งที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย ทว่าเรื่องทักษะความสามารถยังเป็นรองนักเตะยุโรปและอเมริกาใต้


โซฟียาน บูฟาล เต้นฉลองกับคุณแม่

แต่ โมร็อกโก ทีมนี้ต่างออกไปเพราะแต่ละคนทักษะไม่ธรรมดาเลย เอาตัวรอดในการถูกไล่เพรสซิ่งได้ดี และกล้าต่อบอลในพื้นที่แคบ 

นักเตะเกินครึ่งของชุดนี้ที่เกิดต่างแดน ล้วนเติบโตและผ่านการฝึกฟุตบอลแบบยุโรปในประเทศต่างๆ ทั้งในฮอลแลนด์, ฝรั่งเศส, สเปน ฯลฯ นั่นทำให้พวกเขาไม่ต่างจากนักเตะยุโรปที่มีความเข้าใจเกมสูงมาก มีทักษะพื้นฐานที่ดีทั้งส่วนตัวและการเล่นเป็นทีม 

กลุ่มนักเตะที่เกิดในโมร็อกโกโดยตรงก็ใช่ว่าฝึกฟุตบอลแบบตามมีตามเกิดอย่างเดียวเพราะย้อนไปในปี 2009 ได้มีการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลที่ได้มาตรฐานชื่อว่า "Mohammed VI Football Academy" ที่กษัตริย์ โมฮัมหมัด ที่ 6 ทรงให้การสนับสนุน

อะคาเดมี่แห่งนี้ดึงดาวรุ่งที่มีแววจากทั่วประเทศมาฝึกซ้อมในระบบและแนวทางของลีกระดับท็อปจนสร้างนักเตะฝีเท้าดีขึ้นมาหลายต่อหลายคน และมีถึง 3 คนติดทีมชุดประวัติศาตร์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ 

คนแรกของ อัซเซดีน อูนาฮี กองกลางที่เล่นได้แข็งแกร่งมากๆ ในทัวร์นาเมนต์ ปัจจุบันค้าแข้งในฝรั่งเศสกับ อองเช่ร์

นาเยฟ อาเกิร์ด เซนเตอร์ตัวหลักที่ปัจจุบันอยู่กับ เวสต์แฮม ก็เคยผ่านการฝึกจากที่นี่ เช่นเดียวคือหัวหอกตัวเก่ง ยูสเซฟ เอ็น-เนซีรี่ ที่ได้วิชามากมายก่อนถูก มาลาก้า ทีมในสเปนดึงไปร่วมทีมและปัจจุบันลุยให้กับ เซบีย่า 


เอ็น-เนซิรี่ โขกประตูชัยนัดล่าสุด

เมื่อบวกกับการวางหมากของกุนซือที่ดึงศักยภาพของลูกทีมออกมาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการทำให้ทุกคนเชื่อมั่นและมีสปิริตร่วมกัน โมร็อกโก ทีมนี้จึงกลายเป็นความมหัศจรรย์ของฟุตบอลโลก 2022 

ในอดีต โมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์ในฟุตบอลโลกมาหลายต่อหลายครั้่งไม่ว่าจะเป็นทีมแรกจากแอฟริกาที่เก็บคะแนนได้ในรอบสุดท้ายเมื่อปี 1970 และเป็นทีมแรกของทวีปอีกเช่นกันที่ทะลุเข้ารอบน็อกเอาต์ในปี 1986 ซึ่งทั้งสองครั้งจัดขึ้นที่เม็กซิโก 

จนมาถึงครั้งที่ทะลุเข้ารอบตัดเชือกอย่างพลิกความคาดมาย

แน่นอนว่าด่านต่อไปที่มี "แชมป์เก่า" ฝรั่งเศส ขวางหน้าอยู่เป็นงานที่หนักอึ้งแน่นอน 

แต่หากสิงโตแอตลาสตัวนี้ขย้ำตราไก่และไปถึงนัดสุดท้ายในวันอาทิตย์นี้ได้ เชื่อว่าหลายคนก็อาจไม่ได้เซอร์ไพรส์อีกต่อไป


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด