:::     :::

"ลีซอ"ธีรเทพ วิโนทัย กับสิ่งที่เยาวชนรุ่นหลังต้องก้าวตาม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
605
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จบลงอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับจังหวะสุดท้ายบนเส้นทางนักเตะอาชีพชายหนุ่มวัย 37 ปี ที่ชื่อ "ลีซอ" ธีรเทพ วิโนทัย หลังโลดแล่นบนลูกหนังไทยมาอย่างยาวนานกว่า 23 ปี

โดยก่อนหน้านี้ในระดับสโมสร “ลีซอ” ได้ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการกับ “โปลิศ เทโร” ซึ่งเป็นสโมสรแรกและเป็นสโมสรสุดท้ายในฐานะนักเตะอาชีพ

แน่นอนว่างานเลี้ยงอำลาในเกมรีโว่ไทยลีกที่พบกับ “นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี” ในเกมนัดสุดท้ายของเลกแรกจบลงอย่างสวยงาม เมื่อเขาซัดประตูชัยจากจุดโทษพา “มังกรโล่เงิน” เฉือนชนะ “สวาทแคท” ด้วยสกอร์ 1-0 พาทีมเก็บ 3 แต้ม และทำสถิติยิง 96 ประตูในการเล่นฟุตบอลไทยลีก 


แต่ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง คือการได้รับเกียรติให้จัดเกมเทสติโมเนียลแมตช์ อำลาสนามอย่างเป็นทางการในนาม “ทีมชาติไทย” ในเกมพ่ายต่อ ไต้หวัน 0-1 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา

แม้ตอนแรกจะมีข่าวว่า มาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชทีมชาติไทย จะให้เวลา “ลีซอ” อยู่ในสนามเพียง 14 นาที ตามหมายเลขโปรดของเขา แต่เอาเข้าจริงเขาถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 28 ท่ามกลางเสียงปรบมือจากแฟนบอลในสนาม

ซึ่งทุกวินาทีเป็นช่วงเวลาที่ฝังในใจเขาไปตลอดกาลแน่นอน โดย “ลีซอ” ติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ไป 53 นัด ยิงไป 16 ประตู 

ย้อนกลับไปในวัย 14 ปี เขาถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ้าหนูมหัศจรรย์ของวงการลูกหนังไทย 


ถูกเรียกติดทีมชาติไทยครั้งแรกไปลุยศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก U-17 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อปี 1999 ร่วมกับเพื่อนต่างวัยที่ต่อมาจากก้าวมาเป็นตำนานลูกหนังไทยไม่ว่าจะเป็น สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, ศักดิ์ดา เจิมดี และ พิชิตพงษ์ เฉยฉิว

ตลอดเส้นทางระดับชาติ เขาได้สร้างความสำเร็จ ความประทับใจ และสร้างสีสันให้กับแฟนบอลไม่มากก็น้อย 

ไม่ว่าจะเป็นการยิงแฮตทริกในรอบชิงชนะเลิศ พาทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 23 พร้อมทำสถิติคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้ 4 สมัย ในปี 2544, 2546, 2548 และ 2550

หรือจะเป็นจังหวะยิงประตูสุดสวยให้กับทีมชาติไทย ในเกมบุกไปแพ้ ญี่ปุ่น 1-4 ที่สนามไซตามะ สเตเดี้ยม ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อปี 2008 ยังคงตรึงใจและอยู่ในความทรงจำ 


รวมถึงท่าดีใจ หรือการสวมสตั๊ด 2 สีลงสนาม จนหลายคนทำตามกันเพียบ 

นอกจากฝีเท้าที่ดีของเจ้าตัวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่บนเส้นทางลูกหนังมาอย่างยาวนาน แม้ว่ากราฟชีวิตจะอยู่สูงหรือต่ำสุด คือ “ความเป็นมืออาชีพ” 

ด้วยลีลาท่าทางและความมั่นใจตัวเองแบบสุดขั้ว เขามักจะโดนวิจารณ์หรือมีแฟนบอลบางกลุ่มไม่ชอบ และมักจะตะโกนด่าทุกครั้งที่ลงสนาม 

แต่สิ่งที่เขาใช้ตอบโต้แฟนบอลไม่ใช่การด่าหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี เขาให้เกียรติแฟนบอลทุกคนไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะชอบหรือไม่ชอบเขาก็ตาม 

เขายังเล่นฟุตบอลเต็มที่ในสนาม แต่หลังจบเกมไม่น่าเชื่อคนที่ด่าทอเขากลับมาขอเขาถ่ายรูปแทบทุกครั้ง 

ซึ่งเขาเองไม่เคยปฏิเสธและมักจะถ่ายรูป แจกลายเซ็นและทำตัวเป็นกันเองกับแฟนบอลอยู่เสมอ 


นอกจากนี้ “ลีซอ” ถือว่าเป็นนักเตะที่มีวินัยและดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เขาแทบไม่มีข่าวเสียหายเลยตลอดชีวิตการค้าแข้ง 

ในวันที่ฟอร์มของทัพ “ช้างศึก” จะตกต่ำหรือบินสูง เขาไม่เคยปฏิเสธในการรับใช้ทีมชาติไทย 

นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่เยาวชนรุ่นหลังควรเอาเป็นแบบอย่าง และทำตามเพื่อก้าวไปเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่มีคุณภาพในอนาคต 

เพราะสิ่งที่ “ลีซอ” ทุ่มเททำมันเป็นการการันตีว่าโอกาสจะประสบความสำเร็จและยืนหยัดบนเส้นทางลูกหนังอาชีพได้อย่างยาวนาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลปัจจุบันที่ต้องใช้ “วินัย” ควบคู่ไปกับเบสิกฟุตบอล


ส่วนอนาคตเขาจะกลับมาเป็น “นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย” ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป 

ถึงบรรทัดนี้ต้องกล่าวคำว่า “ลาก่อน” หนึ่งในตำนานของวงการฟุตบอลไทย

ขอให้โชคดีสำหรับเส้นทางเดินใหม่ครับ “ลีซอ”


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด