มอง"ช้างศึก"ก่อนป้องกันแชมป์อาเซียนคัพ
เกมที่ผ่านมามีหลายจุดที่ทำให้เราสามารถเดินหน้าไปสู่การเป็นแชมป์สมัยที่ 7 โดยวันนี้เรามาเก็บตกประเด็นของ ทีมชาติไทย ก่อนเล่นรอบชิงชนะเลิศ นัดแรก ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ม.ค.66 ด้วยการออกไปเยือน เวียดนาม
1.“พีรดนย์”แจ้งเกิดเต็มตัว
4 เกมแรกของรายการนี้ในรอบแบ่งกลุ่ม มาโน่ โพลกิ้ง วาง ธีรศิลป์ แดงดา เป็นกองหน้าคู่กับ อดิศักดิ์ ไกรษร ส่วนเกมรุกริมเส้นมี เอกนิษฐ์ ปัญญา และ บดินทร์ ผาลา โดยให้ สารัช อยู่เย็น กับ ธีราทร บุญมาทัน ทำเกมแดนกลาง
จากนั้นมาพบกับ มาเลเซีย ใน 2 นัด เทรนเนอร์บราซิล-เยอรมัน เล็งเห็นจุดอ่อนที่จะต้องขึงทาง “เสือเหลือง” ให้ได้ ด้วยการวาง ธีรศิลป์เป็นกองหน้าตัวเป้า พร้อมใช้ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี สนับสนุนเพิ่มจำนวนผู้เล่นแดนกลางให้มากขึ้น
ซึ่งดาวเตะ "ปราสาทสายฟ้า" ก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เกมรุกของทีมสมดุลทั้งสองเกม คอยช่วยเป็นมดงานให้กับ ธีรศิลป์ รวมทั้งเคลื่อนตัวมาปั้นเกมร่วมกับ สารัช และ ธีราทร ได้อย่างลงตัวเหลือเกิน
2.กล้าเปลี่ยนผู้รักษาประตูระหว่างทัวร์นาเม้นท์
ด้วยกระแสแฟนบอลที่ถาโถมทำให้ รอบรองชนะเลิศนัดสอง มาโน่ โพลกิ้ง ใช้ชุดเดิมเกือบทั้งหมด แต่เปลี่ยนแค่ผู้รักษาประตูตำแหน่งเดียวจาก กิตติพงศ์ ภูแถวเชือก มาเป็น กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล
ด้วยสถิติของ "เจ้าไอซ์" ในฤดูกาลนี้กับ ราชบุรี เอฟซี เซฟในการถูกยิงตรงกรอบ 10 ครั้ง โดยเป็นซูเปอร์เซฟถึง 6 ครั้ง แล้วเขาก็พิสูจน์ให้เห็นในการลงเฝ้าเสาแมตช์นี้ทันที
ในครึ่งแรกมีจังหวะที่เขาเซฟเน้นๆ ไป 2 ครั้ง และครึ่งหลังไม่มีจังหวะต้องออกแรงป้องกันเลย แม้ช่วงต้นๆ เกมเขาเกือบพลาดในการออกบอล แต่เมื่อผ่านไปได้สักพักความมั่นใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนสามารถเก็บคลีนชีตได้ทันที
3.แรงกระหายในด้านบวกของทีม
เกมแรกที่ ทีมชาติไทย บุกไปแพ้ 0-1 ณ บูกิต จารีล แข้ง “ช้างศึก” กลับไม่ได้รู้สึกเสียขวัญอะไรเลย เพราะตลอด 90 นาที เราคอนโทรลเกมได้เหนือกว่า “เสือเหลือง” มาก เรียกได้ว่าแทบจะคุมสถานการณ์ของเกมเอาไว้ในมือทั้งหมดแล้ว
โดยครอบครองบอลถึง 72.3 เปอร์เซนต์ ส่วนฝั่งมาเลเซีย ได้ครองบอลเพียง 27.7 เปอร์เซนต์เท่านั้น นอกจากนี้ทีมชาติไทยได้โอกาสยิงประตู 24 ครั้ง ทว่ายังไม่ดีเพราะ เพราะตรงกรอบเพียง 4 ครั้งและไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ ต่างจาก มาเลเซีย ที่มีโอกาสยิงแค่ 6 ครั้ง และเข้ากรอบเพียงครั้งเดียวซึ่งดันเป็นประตูชัยซะอีก ไม่แปลกใจที่นักเตะไทยจะรู้สึกมาก ว่าจะกลับมาเอาคืนแบบทบต้นทบดอกได้ในเกมนัดที่สอง
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเสียงนกหวีดเริ่มคิกออฟ ทัพ “ช้างศึก” เดินหน้าลุยแหลกกดดัน มาเลเซีย ทันที ก่อนที่จะมาได้ 3 ประตู จากลูกโหม่งของ ธีรศิลป์ แดงดา และลูกยิงอีก 2 เม็ดในครึ่งหลัง จาก บดินทร์ ผาลา กับ อดิศักดิ์ ไกรษร รวมถึงยังมีโอกาสบวกสกอร์เพิ่มอีกมากมายในช่วงท้ายเกม แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของทั้งสองทีมได้อย่างชัดเจน
4.รวมเลือดเนื้อเพื่อแฟนบอลไทย
หลังบุกไปแพ้ ทีมชาติมาเลเซีย 0-1 ในยกแรก ธีราทร ในฐานะกัปตันทีมทัพ “ช้างศึก” ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คและไอจีของตัวเอง
โดยข้อความมีอยู่ว่า “เจอกันนัดที่ 2 ในบ้านของเรา มากันให้เต็มสนามนะครับแฟนบอลไทยทุกคน” ก่อนจะติดแฮชแท็กด้วยว่า #พวกเรายังไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นการปลุกใจให้กับกองเชียร์ "ช้างศึก" ให้ยังคงคึกคักในเกมที่สอง
และก็ได้ผลเพราะก่อนแข่ง 1 วัน แฟนบอลพากันจองตั๋วกันอย่างเนืองแน่น จนหมดภายในไม่กี่นาทีเท่านั้นหลังเปิดจำหน่ายผ่านทาง Thaiticketmajor ซึ่งในวันแข่งมีคนเข้าไปชมเกมในสนามสูงถึง 18,927 คน ใกล้เคียงกับจำนวนความจุสูงสุดสนามธรรมศาสตร์ที่ติดตั้งเก้าอี้แล้วทั้งสิ้น 19,375 ที่นั่ง และทุกคนทั้งที่สนามและที่เขียร์ผ่านหน้าจอต่างก็มีความสุขกันอย่างเต็มที่ ที่ได้เห็นทีมชาติไทย เอาชนะ มาเลเซีย 3-0 ในรูปเกมที่สวยงามหมดจด
ถือว่าเป็นอีก 1 วันของทีมชาติไทย ที่ได้มอบความสุขให้กับคนไทยทุกคนในประเทศ อย่างไรก็ตามภารกิจนี้ยังไม่จบ เพราะยังเหลืออีก 2 นัด ในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งเราจะออกไปเยือนเวียดนาม จากนั้นวันที่ 16 ม.ค. จะกลับมาเล่นที่บ้านเรา ...
สู้ๆ ทีมชาติไทย แชมป์สมัยที่ 7 ใกล้มาอยู่ในมือของเราแล้ว