:::     :::

ห้าเดือนสู่หายนะหงส์

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
952
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาการบาดเจ็บ, ความผิดพลาดในการทำธุรกิจ และความไม่แน่นอนของหลังฉากส่งผลให้ฟอร์มของพวกเขาตกต่ำลงอย่างมาก

มันให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตจบไปแล้ว แต่อันที่จริง ลิเวอร์พูล เข้าสู่ฤดูกาลนี้ด้วยการมองโลกในแง่ดี

หลังจากพลาดโอกาสคว้า 4 แชมป์ที่ยิ่งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดูเหมือนกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะผงาดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมที่กำลังจะมาถึงในตอนนั้น

ชัยชนะเหนือ แมนฯ ซิตี้ ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ของ เลสเตอร์ บ่งบอกว่า หงส์แดง ไม่ได้สูญเสียความกระหายหรือไฟในตัวเองไปเลย

ดาร์วิน นูนเญซ ที่ถูกเซ็นสัญญาเข้ามาใหม่ประเดิมสนามด้วยการทำประตู มันสร้างความมั่นใจให้เดอะ ค็อป เดินทางตามมาเชียร์ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็มีชื่อเป็นผู้ทำประตูด้วย ขณะที่ เออร์ลิง ฮาแลนด์ เด็กใหม่ของ ซิตี้ ถูกล่ามโซ่เอาไว้โดย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และคนอื่นๆ

"เราพร้อมลุยอีกครั้ง" คล็อปป์ กล่าว

กรอมาข้างหน้าอีก 5 เดือนถัดมา บรรยากาศพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ความหวังในช่วงต้นฤดูกาลได้หายไปหมดแล้ว ฟอร์มที่ไม่ปะติดปะต่อในแต่ละรายการ และผลการแข่งขันที่ตกต่ำทำให้ความเชื่อมั่น ความเชื่อ และออร่าของทีมที่เคยถูกมองว่าแข็งแกร่งไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ลิเวอร์พูล แพ้เพียง 4 จาก 63 เกมในทุกรายการเมื่อซีซั่นที่แล้ว แต่พวกเขาแพ้ไปแล้ว 7 นัดจาก 28 เกมในตอนนี้

พวกเขาชนะเกมพรีเมียร์ลีกน้อยกว่าครึ่งเสียอีกทำให้โอกาสลุ้นแชมป์จบสิ้นอย่างรวดเร็ว และแทบมองไม่เห็นอนาคตในการลุ้นเป้าหมายขั้นต่ำอย่างโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเลย

ยิ่งล่าสุดไปแพ้ ไบรท์ตัน 0-3 แบบที่สู้ไม่ได้ตลอด 90 นาทีเหมือนทีมแชมป์เจอกับทีมตกชั้น นั่นกลายเป็นวิกฤติของทีม คล็อปป์ เรียบร้อยแล้ว

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ยังไง? อารมณ์รอบๆ แอนฟิลด์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ยังไงหลังจากช่วงฤดูใบไม้ผลิ และซัมเมอร์ที่แสนวุ่นวาย?

ทั้งหมดข้างล่างนี้จะบ่งบอกถึงความเน่าเฟะของ หงส์แดง...


รอยร้าว และโมเมนตัมในช่วงต้นที่หายไป

ทุกอย่างเริ่มต้นที่คราเวน ค็อทเทจ ซึ่งคุณสามารถพูดแบบนั้นได้ 6 วันหลังจากชัยชนะในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ลิเวอร์พูล มุ่งหน้าเยือน ฟูแล่ม เพื่อตอกย้ำถึงสถานะของพวกเขาอีกครั้งในฐานะหนึ่งในทีมที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

คล็อปป์ ใช้ทีมตัวจริงที่แข็งแกร่ง โดยมีเพียง โฌแอล มาติป และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ไม่ได้เป็นตัวจริงในแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงกับ เรอัล มาดริด เมื่อเดือนพฤษภาคม นูนเญซ ที่ย้ายมาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัว 64 ล้านปอนด์ เริ่มต้นบนม้านั่งสำรอง

อย่างไรก็ตาม ที่เหลือบนม้านั่งนั้นบอกใบ้ถึงปัญหาบางอย่างที่จะเกิดขึ้น ประกอบไปด้วย เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก, ลุค แชมเบอร์ส และ สเตฟาน บายเซติช โดย 3 คนนี้ยังไม่เคยลงเล่นพรีเมียร์ลีกมาก่อนเลยแม้แต่นัดเดียว ด้วยอาการบาดเจ็บที่เริ่มกัดกินทีมของ คล็อปป์

ดีโอโก้ โชต้า และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน บาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าระหว่างช่วงปรีซีซั่นที่ตะวันออกไกล ขณะที่การมาถึงของ แคลวิน แรมซี่ย์ ก็ถูกกีดกันด้วยปัญหาที่แผ่นหลัง ส่วน เคอร์ติส โจนส์ ซึ่งลงสำรองมาท้ายเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก็เจ็บที่แข้ง และไม่ได้เล่นเลยจนถึงเดือนตุลาคม ด้าน อิบราฮิมา โกนาเต้ ได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าในเกมอุ่นเครื่องกับ ตูลูส ที่แอนฟิลด์ 24 ชั่วโมงหลังจากเอาชนะ แมนฯ ซิตี้

จากนั้นไม่ถึง 1 ชั่วโมงในลีก ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็บาดเจ็บต้นขา ทำให้แผลของ หงส์แดง ถูกเปิดมากขึ้น พวกเขาเล่นได้แย่ในเกมกับ ฟูแล่ม โดยถูกสั่นคลอนจากพลังงานของเจ้าบ้าน และสภาพร่างกายที่ไม่ดี ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างน้อย นูนเญซ ก็ลงสำรองมาทำประตูได้ และก็เป็นคนแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ ขณะที่ หลุยส์ ดิอาซ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็มียิงชนเสาและคาน แต่การเสมอ 2-2 กับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาไม่ใช่การเปิดซีซั่นอย่างที่ คล็อปป์ หวังเอาไว้


ใบแดงของ ดาร์วิน และไม่ได้มิดฟิลด์ใหม่

เมื่อถึงเกมกับ คริสตัล พาเลซ ซึ่งเป็นเกมเหย้าแรกของฤดูกาล ปัญหาอาการบาดเจ็บของ ลิเวอร์พูล ก็แย่ลง มาติป มีปัญหาที่ขาหนีบจากช่วงซ้อม, ฟีร์มีโน่ ถูกป้องกันด้วยการไม่ให้เล่น ขณะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โจ โกเมซ ก็ฟิตพอแค่จะเริ่มต้นที่ม้านั่งสำรองเท่านั้น

นั่นหมายถึง แนท ฟิลลิปส์ ที่ใช้เวลาช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลก่อนกับ บอร์นมัธ แบบยืมตัว และคาดว่าจะถูกขายทิ้งในช่วงซัมเมอร์ได้เล่นตัวจริงคู่ ฟาน ไดค์ และปัญหาของ หงส์แดง ก็ยิ่งลึกลงไปอีกในช่วงต้นครึ่งหลัง เมื่อ นูนเญซ โดนแดงโดยตรงขณะที่สกอร์ตามหลัง 0-1 จากการเอาหัวโขก โยอาคิม อันเดอร์เซ่น

แต่ความยอดเยี่ยมของ ดิอาซ ก็กอบกู้แต้มให้ ลิเวอร์พูล ได้ ฟอร์มที่ต่ำกว่ามาตรฐาน 2 นัด, รายชื่อผู้เล่นบาดเจ็บที่น่าตกใจ และกองหน้าค่าตัวแพงรายใหม่ต้องถูกแบน 3 นัด

จริงๆ ลิเวอร์พูล เชื่อว่าพวกเขามีความสุขในตลาดซัมเมอร์ โดยนำ นูนเญซ, แรมซี่ย์ และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มาร่วมทีม นอกจากนี้การเจรจาอันแสนยาวนานที่เต็มไปด้วยความยุ่งยาก พวกเขาได้ต่อสัญญากับ ซาลาห์ ที่กลายเป็นนักเตะที่มีรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร ขณะที่เลือกจะขาย ซาดิโอ มาเน่ เพื่อเอาเงินเข้าคลัง

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งมิดฟิลด์กลับไม่ได้ใครที่ดีมาเลย และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ยังคงหลอกหลอน คล็อปป์ ในขณะที่ฤดูกาลดำเนินไป

หงส์แดง หวังว่าจะได้ตัว ออเรเลียง ชูอาเมนี่ จาก โมนาโก แต่ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสเลือก เรอัล มาดริด และด้วยการที่ ดอร์ทมุนด์ ชัดเจนว่าจะไม่ขาย จู๊ด เบลลิงแฮม ในปี 2022 จึงมีความมั่นใจว่า ลิเวอร์พูล จะเข้าสู่ฤดูกาลด้วยผู้เล่นชุดเดิมๆ กับการมี 9 ตัวเลือกในแดนกลาง แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีเครื่องหมายคำถามจากรายชื่อของพวกเขาคืออายุ, ความฟิต และความเหมาะสม

แต่วันสุดท้ายของเดือนสิงหาคม สถานการณ์ และอารมณ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อ นาบี เกอิต้า ต้องไปอยู่ในรายชื่อบาดเจ็บเช่นเดียวกับ ติอาโก้, โจนส์ และ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และเมื่อ เฮนเดอร์สัน เดินกะเผลกในชัยชนะเหนือ นิวคาสเซิ่ล เพียง 24 ชั่วดมงก่อนตลาดซัมเมอร์ปิด ลิเวอร์พูล จึงลงมือทำบางอย่าง

ทางเลือกของพวกเขาช่างน่าเซอร์ไพรส์ โดย อาร์ตูร์ เมโล่ ถูกยืมตัวมาจาก ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ ในไม่ช้าเขาก็บาดเจ็บพักยาวจากการกล้ามเนื้อฉีกขาดช่วงซ้อมก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ลีก กับ เรนเจอร์ส

เขายังรอกลับมาซ้อมอย่างเต็มรูปแบบ และนั่นเป็นการสรุปซีซั่นของเขากับ ลิเวอร์พูล เมื่อชายที่ถูกดึงมาเพื่อบรรเทาวิกฤตเพิ่มได้ลงสนามให้สโมสรไปเพียง 13 นาทีจนถึงตอนนี้


การสูญเสียตัวตน

"ดูเหมือนว่าเราต้องสร้างตัวเองใหม่" คล็อปป์ กล่าวหลัง ลิเวอร์พูล โดน นาโปลี ถล่ม 4-1 ในแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อต้นเดือนกันยายน

หงส์แดง ซึ่งมักเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ในซีซั่นนี้มักเริ่มต้นเกมได้แย่ และเฉื่อยชาเมื่อต้องเจอกับทีมที่มีความเร็ว การเพรสซิ่งของพวกเขาไม่มีให้เห็นแล้ว กองกลางดูเฉื่อยชา และโดนทำลายโดยง่าย แนวรับโดยเฉพาะ เทรนท์ และ โกเมซ ที่ถูกเปลี่ยนออกในช่วงพักครึ่งไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันที่พวกเขาเผชิญอยู่ได้

การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และช่วงเบรกทีมชาติในเวลาต่อมา หมายความว่ากว่า ลิเวอร์พูล จะได้เล่นอีกครั้งก็เดือนกันยายน แต่เมื่อพวกเขาเล่นในบ้านเสมอ ไบรท์ตัน 3-3 ในเดือนตุลาคม คล็อปป์ ก็ตัดสินใจทำสิ่งใหม่

เขาเพิ่มกองหน้าไปอีกคน โดยเล่นแบบอธิบายว่าเป็น 4-4-2 แต่สามารถตีความได้ด้วยว่าเป็น 4-2-3-1 ในเกมกับ เรนเจอร์ส ในแชมเปี้ยนส์ลีก ลิเวอร์พูล เอาชนะได้ 2-0 แต่ก็แพ้ อาร์เซน่อล 2-3 ในเกมถัดมา และแม้จะทุบ เรนเจอร์ส 7-1 ที่ไอบร็อกซ์ ระบบใหม่นี้ก็ถูกโยนทิ้งไป โดย ดิอาซ และ โชต้า บาดเจ็บยาว แถมยังไม่มี ฟาบินโญ่, เฮนเดอร์สัน และ ติอาโก้ อีก

การกลับมาใช้ 4-3-3 เหมือนจะดีขึ้นกับการชนะ 7 จาก 9 เกมก่อนฟุตยบอลโลก แต่การแพ้ 2 นัดในนั้นต่อ ฟอเรสต์ และ ลีดส์ (ในบ้าน) ทำให้มองโลกในแง่ดีไม่ได้เลย "หลายสิ่งหลายอย่างไม่เหมือนเป็นเรา" คล็อปป์ กล่าวหลังเกมแพ้ ลีดส์ ซึ่งเป็นทีมแรกที่บุกมาชนะถึงแอนฟิลด์ในพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2017

ลิเวอร์พูล ตอบสนองด้วยการชนะ สเปอร์ส เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อรักษาความหวังในการลุ้นท็อปโฟร์ แถมเอาชนะได้ 4 นัดติดในลีกจากช่วงคาบเกี่ยวก่อนและหลังฟุตบอลโลก ทว่าโดยรวมแล้วฟอร์มของเขาก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี มันเหมือนพวกเขาสูญเสียพลังงาน, ความเข้มข้น และที่น่าตกใจคือเอกลักษณ์ในการเล่นของตัวเอง


สถิติที่สยองขวัญ

คุณไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลเพื่อหาตัวเลขที่หนักใจเท่าที่ ลิเวอร์พูล จะต้องกังวล

ตัวอย่างเน พวกเขาเสียแต้มในพรีเมียร์ลีกมากกว่าทั้งฤดูกาลก่อนไปแล้ว และสถิตินอกบ้านก็ชนะได้แค่ 2 เกม และมีเพียง 8 แต้ม จาก 9 นัด นับเฉพาะด้านนี้ก็อยู่แค่อันดับ 12 ในลีกเท่านั้น

พวกเขายังทำให้ชีวิตตัวเองต้องลำบากต่อไป พวกเขาเสียประตูแรกไปถึง 15 นัด และมีเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่สามารถรักษาผลการแข่งขันได้ โดยเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล, เรนเจอร์ส และ เลสเตอร์ ขณะที่เสมอ ไบรท์ตัน และ วูล์ฟส์

พวกเขาสร้างโอกาสได้มากมาย จากการบันทึกของ Opta พวกเขาเป็นทีมที่สร้างโอกาสครั้งใหญ่ได้มากกว่าทุกทีมในซีซั่นนี้ และยิงชนเสาชนคานมากที่สุดอีกด้วย พวกเขามีโอกาสยิงมากกว่าทุกทีมเป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ และตัวเลขของประตูที่คาดหวังได้ดีอันดับ 3 ในลีก แต่พวกเขาก็พลาดโอกาสใหญ่เยอะกว่าทุกทีมเช่นกัน (42 ครั้ง) และอยู่อันดับ 11 ในแง่ของการเปลี่ยนโอกาสยิงให้เป็นประตู

ที่สำคัญกว่านั้น มีบางอย่างที่ชัดเจนในแง่ของโครงสร้างเกมรับของทีม ลิเวอร์พูล เก็บได้เพียง 8 คลีนชีตจาก 28 เกม เทียบกับซีซั่นก่อนที่ได้ถึง 14 คลีนชีตจากการเล่นถึงนัดที่ 30 และพวกเขาก็ยังเป็นทีมที่แย่ที่สุดในลีกในด้านความสำเร็จแย่งบอลด้วย

ลิเวอร์พูล แย่งชิงบอลกลับมาครองในความถี่ที่น้อยลงกว่าเดิม และไปยังพื้นที่อันตรายได้น้อยลงในซีซั่นนี้ พวกเขาอยู่อันดับ 13 ในแง่ของการครองบอลบุกในพื้นที่แดนสาม และอยู่อันดับ 20 เหมือน เซาธ์แฮมป์ตัน ในแง่ของการครองบอลในพื้นที่ตั้งแต่กลางสนามถึงก่อนเข้ากรอบเขตโทษ พวกเขาเป็นทีมแย่ที่สุดอันดับ 7 ในแง่ของการถูกคู่แข่งเลี้ยงบอลผ่าน และแย่ที่สุดอันดับ 6 ในการชนะลูกกลางอากาศ

ผู้เล่นหลักอย่าง ฟาน ไดค์, ฟาบินโญ่, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฮนเดอร์สัน และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ต่างนัดกันฟอร์มตก และแม้ว่า ซาลาห์ จะทำได้ 17 ประตูรวมทุกรายการ แต่ก็มีเพียง 7 ลูกเท่านั้นที่เกิดขึ้นในลีก ทั้งที่ซีซั่นก่อนในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ดาวเตะอียิปต์ยิงในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 16 ประตู

ตัวความหวังอย่าง นูนเญซ ยิงทะลุ 10 ประตูไปแล้วในเกมพบ วูล์ฟส์ ขณะที่ โคดี้ กัคโป ที่เพิ่งซื้อมาก็อาจสามารถแบ่งเบาดาวเตะอียิปต์ได้ แต่ความกลัวในตอนนี้ก็คือกว่าที่ ดิอาซ และ โชต้า จะกลับมา มันอาจสายเกินไปสำหรับพวกเขาแล้ว


ความไม่แน่นอนนอกสนาม

หากเรื่องในสนามมากพอที่จะพูดถึงจุดจบของยุคที่แอนฟิลด์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนอกสนามก็อาจมีส่วนด้วยเช่นกัน

แน่นอน ลิเวอร์พูล มีความวุ่นวายมากในฤดูกาลนี้ ตั้งแต่การจากไปแบบไร้คำอธิบายของ จิม ม็อกซอน แพทย์ประจำทีมก่อนเปิดซีซั่น ไปจนถึงข่าวที่ว่า จูเลี่ยน วอร์ด ผู้อำนวยการกีฬาที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่ตัดสินใจออกจากทีมหลังจบฤดูกาล นั่นจึงมีคำถามในแง่ของทิศทางที่สโมสรกำลังมุ่งหน้าไป

ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่าการที่ เอฟเอสจี เจ้าของทีมยอมรับเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนว่าพวกเขาพร้อมขายสโมสร หรือหุ้นบางส่วน

รวมแล้วเจ้าของทีมสัญชาติอเมริกันทำงานได้ดีตลอด 12 ปีที่เมอร์ซี่ย์ไซต์ การตัดสินใจต่างๆ ของพวกเขาช่วยสร้างสโมสรขึ้นมาใหม่ท่ามกลางกลุ่มคนหัวกะทิของยุโรป แต่คำถามก็คือพวกเขาจะดำเนินการต่อไปอีกนานแค่ไหนเพื่อแข่งขันกับอำนาจการเงินที่ไม่ใช่แค่ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งคว้าแชมป์ 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังสุด แต่ยังมี นิวคาสเซิ่ล ที่รวยจากกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบีย ไหนจะ เชลซี ที่ทุ่มไม่อั้น รวมถึง แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ที่ฟื้นคืนชีพแล้วด้วย

รายรับของ ลิเวอร์พูล แข็งแกร่ง และโครงสร้างพื้นฐานก็ดีขึ้นอย่างมาก แต่นโยบายของ เอฟเอสจี ในตลาดนักเตะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ทั้งผู้เล่นที่อายุมากขึ้น, สัญญาที่กำลังจะหมดลง และโชคที่ไม่ดีเลย

แหล่งข่าวอาจยืนยันว่าธุรกิจยังคงเป็นไปตามปกติในถิ่นแอนฟิลด์ แต่เมื่อ วอร์ด เตรียมก้าวลงจากตำแหน่งในเดือนมิถุนายน และการที่ ไมค์ กอร์ดอน ได้เดินออกจากสโมสร เรื่องราวนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

หลังเรื่องราวของ วอร์ด ไม่นานจากนั้น เอียน เกรแฮม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ที่ได้รับความนับถืออย่างสูงก็ประกาศอำลาทีมเช่นกัน แถมยังมีรายงานการปะทะกันภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างทีมบริหาร และแผนกทีมแพทย์

เรื่องราวแบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปในสโมสรอื่น อาทิ เชลซี หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องที่หาได้ยากจากทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ซึ่งความปรองดอง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวคือจุดแข็งของความสำเร็จ และการเติบโตของพวกเขา


อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไป?

เห็นได้ชัดว่าสิ่งต่างๆ ไม่ถูกต้อง ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ห่างจากทีมอันดับ 4 ไปไกล 10 แต้มแล้ว และนัดถัดไปของพวกเขาคือการเปิดบ้านพบ เชลซี

ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในเส้นทางของเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่จะรีเพลย์กับ วูล์ฟส์ ในสัปดาห์นี้ ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์ก็จะต้องพบ เรอัล มาดริด ในแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายอีก

เอาเข้าจริงไม่ว่า คล็อปป์ จะมองโลกแง่ดีมากแค่ไหน เขาก็รู้ดีว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นการเสริมทัพครั้งสำคัญ

มีการดำเนินการเพื่อลดอายุเฉลี่ยของทีม อาทิ นูนเญซ, ดิอาซ, โชต้า, แรมซี่ย์, คาร์วัลโญ่, โกนาเต้ และ กัคโป ที่ถูกคัดเลือกตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความชัดเจนว่ามิดฟิลด์ของพวกเขานอกจากแก่ลงแล้วยังดูไม่เหมาะกับวัตถุประสงค์ของทีม โดยผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ 3 คน (เจมส์ มิลเนอร์, เกอิต้า และ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน) บวกกับกองหน้าอีกคน (ฟีร์มีโน่) จะหมดสัญญาในซัมเมอร์นี้

เห็นได้ชัดว่า เบลลิงแฮม ยังเป็นเป้าหมายอันดับ 1 แต่ดาวเตะทีมชาติอังกฤษจะเป็นไปไม่ได้แน่หากพวกเขาไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ขณะที่คำถามสำคัญก็คือ เอฟเอสจี จะเต็มใจจ่ายทุ่มเงินครั้งใหญ่หรือไม่หากการเทคโอเวอร์ยังไม่มาถึง

อย่างน้อย คล็อปป์ ก็มีสัญญาถึงปี 2026 และยืนยันว่าเขายังมีไฟที่จะต่อสู้ในเมอร์ซี่ย์ไซต์

แน่นอนว่าการเปลี่ยนความสงสัยเป็นความศรัทธาคือหนึ่งในความยิ่งใหญ่ของ คล็อปป์ ในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนกระบวนการตรงข้ามกำลังเกิดขึ้นอยู่

มันขึ้นอยู่กับผู้จัดการทีม และผู้เล่นของเขานั่นแหละว่าจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้อีกครั้งหรือไม่


พาสต้า


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด