สำหรับ “ลิซานโดร มาร์ติเนซ” ที่ครองตำแหน่งปราการหลังตัวจริงของทัพ “ปีศาจแดง” แม้จะเพิ่งย้ายมาร่วมทีมเป็นฤดูกาลแรกก็ตาม แน่นอนว่า เขาสามารถลบคำวิจารณ์เรื่องรูปร่าง โดยเฉพาะส่วนสูงเพียง 175 เซ็นติเมตรเป็นผลสำเร็จ
ช่วงนี้ ... เราลองย้อนกลับไปดูเส้นทางของมาร์ติเนซ กันหน่อย ผ่านมุมมองของคนใกล้ตัว ลองไปดูกันหน่อยว่า จากนักเตะตัวเล็กที่โดนปฏิเสธ กลายมาเป็นนักเตะระดับแชมป์ฟุตบอลโลก และเล่นกับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างไร
“เขาโดนเขี่ยทิ้งออกจากทีม เพราะส่วนสูงของเขา”
นิโคลัส ดิเอซ หนึ่งในโค้ชของเดเฟนซ่า จัสติเซีย สโมสรเล็กๆในลีกสูงสุดของประเทศอาร์เจนติน่า ย้อนความทรงจำถึงลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่โดนยักษ์ใหญ่อย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ ปล่อยตัวออกจากทีม โดยมีโอกาสลงเล่นทีมชุดใหญ่เพียงเกมเดียวเท่านั้น เหตุผลสำคัญคือเรื่องของส่วนสูง
“ตำแหน่งโดยธรรมชาติของเขา นั่นคือปราการหลังตัวกลาง” ดิเอซ ขยายความ “อย่างไรก็ตาม จากการที่เขาไม่ใช่นักเตะที่ตัวสูง ทำให้โค้ชของนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เกิดความสงสัยในตัวเขา อย่างที่บอกไป พวกเขาเป็นกังวลเล็กน้อย ในเรื่องของส่วนสูง แต่เรื่องนั้น ไม่เคยสำคัญกับทีมอย่างเดเฟนซ่า จัสติเซีย”
ผลสุดท้าย มาร์ติเนซ ย้ายมาร่วมทีมเดเฟนซ่า จัสติเซีย แบบถาวร พร้อมกับทำผลงานอย่างยอดเยี่ยม ในฐานะปราการหลัง โดยช่วยให้ทีมจบอันดับ 2 ในลีกสูงสุดแดน “ฟ้า-ขาว” จุดเริ่มต้นดังกล่าว ทำให้ฝีเท้าของเขาถูกจับตามองจากทีมดังในยุโรป ผลสุดท้าย กลายเป็นอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่คว้าตัวไปครอง
แน่นอนว่า การเป็นนักเตะตัวเล็ก ยังคงมอบความท้าทายให้กับเขาต่อไป โดยเฉพาะการเล่นในลีกที่แปลกใหม่อย่างเอเรดิวิซี่ เขาต้องปรับตัวอย่างหนัก และแทบไม่มีเวลาให้หยุดพักหายใจ
มาร์ติเนซ กล่าวถึงประสบการณ์ ในการย้ายมาเล่นนอกแผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยวัยเพียง 21 ปีว่า “ช่วงเริ่มแรก ผมถึงกับร้องไห้ออกมาเลย ผมอยากกลับบ้านมาก ช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ถือเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ การฝึกซ้อมที่นี่ แตกต่างจากที่อาร์เจนติน่า อย่างสิ้นเชิง”
“สิ่งที่แตกต่างกันคือ ความเข้มข้น, การควบคุมบอล, การผ่านบอล และการอ่านเกม” เขาบอกต่อถึงความดิ้นรน “ในฐานะนักเตะ ผมเป็นคนที่ชอบสัมผัสบอล อย่างไรก็ตาม เมื่อเราซ้อมการผ่านบอลแบบ 1-2 ในจังหวะที่รวดเร็ว นั่นคือการฆาตกรรมผมเลย !!! ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ จากนั้น ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้น เมื่อเก็บตัวช่วงปรีซีซั่นกับทีม”
แม้จะมีส่วนสูงเพียง 175 เซ็นติเมตร ทว่าเขาก็สามารถเอาตัวรอดในการเล่นฟุตบอลลีกเนเธอร์แลนด์ส นอกจากตำแหน่งปราการหลัง เขายังขยับมาเล่นกองกลางตัวรับได้อีกด้วย โดยเขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “สโมสรมอบข้อมูลให้คุณเสมอ กระนั้น คุณต้องทำอะไรเพิ่มเติม ในการก้าวมาเล่นตำแหน่งใหม่”
“ผมดูฟุตบอลตลอดเวลา พร้อมกับคอยสังเกตผู้เล่นทุกคน จากทุกตำแหน่ง เพื่อดูว่าพวกเขาเคลื่อนที่ในสนามกันอย่างไร ผมชอบศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับนักฟุตบอล ซึ่งคนที่ผมจับตามองเป็นพิเศษ นั่นคือโจชัว คิมมิช (ดาวเตะบาเยิร์น มิวงนิค ที่มีส่วนสูง 177 เซ็นติเมตร) ตอนที่เขาเล่นกองกลาง ผมชอบความเยือกเย็น และการอ่านเกม ผู้เล่นต้องมีความฉลาด การแข่งขันฟุตบอล เป็นเกมแห่งการตัดสินใจ คุณต้องใช้สมองในการตัดสินใจ”
สถิติฤดูกาลที่ผ่านมา เขาโหม่งเคลียร์บอล 29 ครั้ง นอกจากนี้ เขาชนะการดวลลูกกลางอากาศ 79 จาก 112 หน ขณะที่อีกหนึ่งจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างคือ เขามีค่าเฉลี่ยผ่านบอลสำเร็จต่อเกม เป็นอันดับ 1 ของลีกที่ 82.27 เปอร์เซ็นต์ แถมยังมีอัตราการผ่านบอลขึ้นหน้าที่สูงมากด้วย ก่อนจบที่การคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรไปครอง
ด้านเอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีมที่ร่วมงานกันที่อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ออกมากล่าวถึงมาร์ติเนซ ด้วยว่า จากการเก็บสถิติ พบว่าเขาทำได้ดี ในการดวลภาคพื้นดิน กับลูกกลางอากาศ แน่นอนว่า เขาสามารถปรับตัว และรับมือกับกองหน้าสูงใหญ่ ในการแข่งขันลีกเนเธอร์แลนด์ส และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ปัจจุบัน มาร์ติเนซ ย้ายตามเทน ฮาก จุดหมายคือสโมสรที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกดดัน และความคาดหวังอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยตราบใดที่สตั๊ดของเขายังเหยียบผืนหญ้า ความกดดันเรื่องส่วนสูงยังคงเดินหน้าต่อไป ฝ่ายตรงข้ามเตรียมสาดบอลโด่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน พร้อมกับมอบคำว่า “จุดอ่อน” ให้เป็นแบบทดสอบ
แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ เขาจะต่อสู้กับบอลทุกจังหวะ และปะทะแบบสุดตัว ที่สำคัญคือ เขาไม่คิดยอมแพ้ กับสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นข้อจำกัด เพราะการถูกปฏิเสธจากเรื่องขนาดร่างกาย คือสิ่งที่ท้าทาย ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่โลกลูกหนังแล้ว
