:::     :::

5 พัฒนาการ สู่การยกระดับของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

วันจันทร์ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
4,435
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การเล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดดูดี และทำให้แฟนบอลชมการแข่งขันอย่างเพลิดเพลินในทุกๆนัดขณะนี้ และนี่คือสิ่งที่เป็นพัฒนาการของทีม ซึ่งยกระดับและดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด มีอะไรบ้างที่สังเกตได้ ค่อยๆอ่านดูทีละข้อได้เลยครับ

เป็นอีกหนึ่งนัดที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเก็บผลลัพธ์ได้สำเร็จหลังจากเฉือนเอาชนะคริสตัล พาเลซได้ด้วยสกอร์ 2-1 อย่างใจหายใจคว่ำ หลังจากที่ขึ้นนำ 2-0 ไม่กี่นาทีต่อมา VAR ก็เช็คภาพปัญหาระหว่างคาเซมิโร่ กับ วิล ฮิวจส์ ขึ้นมา ก่อนที่สุดท้ายจะถูกตัดสินจากมุมภาพนิ่งด้วยการโดนใบแดงของคาเซมิโร่ และแมนยูก็โดนไล่ตีตื้นขึ้นมาทันทีจากลูกยิงของ เจฟฟรีย์ ชลุปป์

ยังดีว่าแมนยูไนเต็ดเอาอยู่ รักษาสกอร์ ปรับแทคติก และปิดเกมเอาชนะไปได้ เก็บสามแต้มเต็มขึ้นมาไล่บี้แมนซิตี้กับอาร์เซนอลต่อไปในอันดับที่ 3 แซงนิวคาสเซิลขึ้นมาที่ทำได้เพียงแค่เสมอกับเวสต์แฮม 1-1

ชัยชนะดังกล่าวเป็นผลดีมหาศาลกับแมนยูที่สามารถเก็บสามแต้มเต็มได้ ทำให้โอกาสในการรักษาพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีก ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิมไม่มีตก นี่คือข้อดีโดยตรงที่เกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แต่จากเกมชนะคริสตัล พาเลซนี้ ถือว่าเป็นเกมที่แฟนผีส่วนใหญ่ค่อนข้างพอใจกับฟอร์มการเล่นของทีมอย่างมาก โดยเฉพาะช่วง 70 นาทีของเกม ก่อนเจอใบแดงจนทำให้ทีมเป๋และเสียเปรียบพาเลซ(อย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น) ก่อนนั้นทีมเล่นกันได้ยอดเยี่ยมมาก และทำให้เรามองเห็นสัญญาณที่ดีของ "พัฒนาการทีม" หลายๆอย่างที่สังเกตได้อย่างเด่นชัด

อาจจะไม่ได้ถึงกับทำให้แมนยูไนเต็ดขึ้นมาอยู่ในสถานะลุ้นแชมป์ได้เลยเต็มตัวขนาดนั้น แต่เป็นจุดที่มันเกิดการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้น ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ

และนี่คือ 5 ข้อเด่นๆที่เราพอจะมองเห็นได้ในตอนนี้ว่า แมนยูไนเต็ดปรับปรุงและมีพัฒนาการเรื่องใดบ้าง

1. "Fitness Level"

ระดับความฟิตของทีมสูงขึ้นจนถึงระดับที่เล่นต่อเนื่องได้แบบที่performanceไม่ดรอป

ประเด็นนี้อาจจะไม่มีแฟนผีได้ทันสังเกต แต่ถ้าลองดูดีๆ เกมที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งนัดที่ตัวหลักของทีมลงสนามกันอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้มีช่วงได้พักฟื้นร่างกายเลย เกมสุดท้ายของแมนยูคือเกมเจอฟอเรสต์ในเลกสองกลางสัปดาห์ของถ้วยคาราบาวคัพ

ขณะที่คริสตัล พาเลซ ได้พักมายาวๆเต็มๆ นับตั้งแต่เสมอกับนิวคาสเซิล 0-0 เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา!

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พละกำลัง ร่างกาย และระดับความฟิตของแมนยูไนเต็ดในเกมนี้กลับสามารถที่จะวิ่งสู้ฟัด และเล่นกับพาเลซได้อย่างไม่มีจุดไหนที่ดูแล้วร่างกายนักเตะในทีมจะกรอบ หรืออ่อนล้ากว่าลูกทีมของเฮียปั๊ตเลย ทั้งๆที่ความถี่ในการลงเล่นต่างกันมาก นักเตะแมนยูยังดูสด และวิ่งตะลุยอย่างดุเดือด เข้าไปงัดกับนักเตะพาเลซได้ตลอดเกมแบบสบายๆยิ่งกว่าพี่เบิร์ด

นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆมาทีละนิด อย่างที่แฟนผีไม่ทันได้สังเกตเห็น รู้ตัวอีกทีทีมเราก็ฟิตพอที่จะลงเล่นติดต่อกันสัปดาห์ละ 2 เกมแบบไม่หยุดได้สบายๆ โดยประสิทธิภาพการเล่นของทีมไม่เปลี่ยน ไม่งั้นจะต้องมองเห็นแล้ว

นี่คือพัฒนาการที่เกิดขึ้นจาก "รูทีน" การลงสนามต่อเนื่องกันที่เอริค เทน ฮาก สร้างให้นักเตะเรามีระดับความฟิตที่คงที่และพร้อมสำหรับการลงสนามต่อเนื่อง

ถ้าเป็นสมัยก่อน ลงเล่นติดๆกันขนาดนี้ ป่านนี้กรอบเป็นข้าวเกรียบกันทั้งทีมแล้ว

2."Attacking & Finishing"

การจบสกอร์ที่ชัวร์ขึ้นและหวังผลได้ทุกนัด

หรือจะพูดง่ายๆว่า เกมรุกแมนยูไนเต็ดดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดว่า ถ้าถึงเวลาจำเป็น ทีมก็สามารถ "ทำประตูได้" อยู่เสมอ ไม่มีคำว่าปืนฝืด ไม่มีคำว่าตีนด้าน แมนยูแม้จะยังไม่ได้ถึงขนาดขึ้นไปเป็นทีมที่เกมรุกเฉียบคมระดับจะถล่มคู่แข่งได้นัดละ 4-5 ประตูขนาดนั้น

ถึงจะไม่ได้โหดมาก แต่เราก็ยิงได้เรื่อยๆไม่มีขาด

เรื่องนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญมาก และเป็นเหตุผลว่า ทำไมประตูได้เสียของแมนยูถึงไม่ได้เยอะมากนัก ถ้าเทียบกับทีมอื่นๆ แต่คะแนนของเราสูงจนไล่อันดับ 1-2 ได้แบบหายใจรดต้นคอแล้ว เพราะการทำประตูได้อย่างแน่นอนและต่อเนื่องของทีม ส่งผลให้ยูไนเต็ด "เก็บผลลัพธ์" ได้เรื่อยๆโดยไม่พลาด

เห็นชัดเจนว่าเอริค เทน ฮาก เป็นผู้จัดการทีมที่มี win rate โคตรสูง นั่นก็เพราะว่า "เกมรุกของทีมยิงประตูได้เรื่อยๆ" เราจึงมีโอกาสเก็บชัยชนะในแต่ละนัดได้สำเร็จ ที่เหลือก็รักษาเกมรับให้มันดี และบาลานซ์กับที่แนวรุกทำประตูได้ แนวรับหากไม่เสียประตู แมนยูก็จะชนะเรื่อยๆแบบนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาเข้าทำแล้วเราทำสำเร็จนั่นเอง

ตอนนี้แทบไม่มีปัญหาเลยว่าปีศาจแดงเจาะใครไม่เข้า เพราะแม้แต่การเจอทีมใหญ่ในบิ๊กแมตช์ รายไหนมาเราก็ยิงใส่ได้ทั้งนั้นนั่นเอง มันคือข้อบ่งบอกว่าการจบสกอร์ของทีมดีมากเพียงใด

แมนยูคมมากจริงๆช่วงนี้

3."Possession"

การครองบอลที่แน่นอนและเหนือกว่าคู่แข่งอยู่ตลอด

หากตัดเอาเกมใหญ่ที่เจอคู่แข่งซึ่งแข็งแกร่งมากจริงๆอย่างแมนซิตี้ หรือ อาร์เซนอล สังเกตดีๆว่าบอลจะอยู่ในการครอบครองของแมนยูเป็นส่วนใหญ่

ไม่มีอีกแล้วที่แมนยูจะต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ และอาศัยยุทธวิธีการสวนกลับ รอเล่นcounter-attackด้วยความเร็วจากกองหน้าสายสปีดเท่านั้นเหมือนเมื่อก่อน

แม้แต่การเจอกับทีมใหญ่ๆด้วยกัน สังเกตได้เลยว่าเอริค เทน ฮาก ก็จะพยายามให้ลูกทีม "ครองบอล" สู้กับคู่แข่งไปเลย เขาพยายามที่จะสร้างทีมที่มีเบสการเล่นด้วย Possession Game เป็นหลัก

การครองบอลของแมนยูตอนนี้ทำได้ดีมาก ไหลลื่น และดูแล้วเนียนตา จากปรัชญาและวิธีการเล่นที่นักเตะในทีมจะขยับตำแหน่ง หาช่อง ทดแทนตำแหน่งกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้การเคลื่อนที่ของผู้เล่นและลูกบอลค่อนข้างไหลลื่น และสร้างทางจ่ายบอล รับส่งกันได้ตลอดโดยไม่เห็นการยืนรอบอลหรือการจ่ายบอลกันผิดพลาดอีกแล้วเหมือนสมัยก่อน เนื่องจากผู้เล่นในทีมมี Goal การเล่นเดียวกัน และเข้าใจกันมากขึ้นเป็นอย่างดี

ฟุตบอลของแมนยูตอนนี้เริ่มกลายเป็นทีมที่เน้นการครองบอลเป็นอาวุธหลักมากขึ้นเรื่อยๆเท่าที่จะเป็นได้ หากในอนาคตมีผู้เล่นที่เหมาะและเข้ากันกับสไตล์การครองบอลมาเสริมทีมมากขึ้น ทีมจะยิ่งมีตัวตนการเล่นเกมครองบอลที่ "ชัดเจน" มากกว่านี้

ไม่ใช่แค่มิดฟิิลด์ แต่การเสริมกองหลังสายครองบอล เซ็ตบอลเก่งๆเข้ามาถือว่าสำคัญมาก เพราะบอลเทน ฮาก เป็นบอล build-up ที่เริ่มต้นจากแนว Defensive Line อยู่แล้วที่ใช้เป็นแอเรียการครองบอลหลัก เราจะเห็นสถิติอยู่ทุกนัดว่า ผู้เล่นที่ทำการครองบอล ออกบอลในปริมาณที่มากที่สุดของทีม ส่วนใหญ่จะเป็น "แผงหลัง" เน้นๆ โดยเฉพาะลุค ชอว์ กับ วาราน รวมถึง มาร์ติเนซ เป็นฐานการครองบอลเซ็ตบอลจากหลังบ้านที่แน่นอนมาก

เกมเจอพาเลซก็ยังเป็นอีกเกมที่ตอนมีผู้เล่นเท่ากัน เราครองบอล "นวด" พาเลซได้ตลอดทั้งเกม ตั้งแต่ครึ่งแรก ยันครึ่งหลังจนกระทั่งเริ่มมีการปรับเปลี่ยนมิติการเล่นโดยส่งการ์นาโช่ลงไปขึงริมเส้น สุดท้ายการครองบอลก็สร้างประตูได้สำเร็จ

คริสตัล พาเลซเป็นทีมที่มีการครองบอล ต่อบอลได้ดีเช่นกัน แต่วันนั้นเจอแมนยูคุมสถานการณ์เอาไว้ตลอดทั้งเกม และตอนนี้หากเจอทีมทั่วๆไป แมนยูก็จะเป็นฝ่ายที่เก็บบอลได้มากกว่าอยู่เสมอ

เป็นการพัฒนาที่เห็นชัดเพราะ "ปรัชญา" การเคลื่อนที่หาตำแหน่ง และการเคลื่อนที่เล่นกับฟุตบอลที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสนามซ้อม เล่นต่อเนื่องกันเป็นกิจวัตร จนกระทั่งเริ่มสร้าง "ตัวตน" ของเกมครองบอลได้ในตอนนี้

4. "Momentum"

มีสะดุด แต่กลับมาได้เร็ว ไม่รวนยาว

ประเด็นนี้เราสังเกตได้จากช่วงที่แมนยูไนเต็ดอาจจะมีสะดุดบ้างเวลาเจอโปรแกรมยากๆ แต่ทีมจะสามารถกลับมาสู่เส้นทางได้เร็วเสมอ ข้อนี้เห็นได้จากช่วงนัดที่เราพลาดโดนช่วงทดเจ็บสองเกมติด จากนัดที่เสมอกับพาเลซ(เกมเยือน) 1-1 และแพ้อาร์เซนอล 3-2 นัดถัดมา สองเกมนั้นแมนยูทำแต้มหายไป 5 แต้มเต็มๆ

แต่หลังจากนั้นแมนยูกลับมาชนะ "4 นัดรวด" อีกครั้ง จาก 3 เกมบอลถ้วย และ 1 เกมบอลลีก

สังเกตว่าปีนี้แมนยูมีช่วงจังหวะที่พลาดแพ้อยู่หลายๆครั้ง แต่แมนยูไม่เป๋ และกลับมาได้ทันทีในนัดต่อไปเสมอ ข้อมูลสถิติตามโปรแกรมการแข่งขันปีนี้ ถ้าตัดช่วงต้นปีที่พลาดแพ้เละเทะติดกันสองนัด เกมที่แพ้ไบรท์ตัน 1-2 และแพ้เบรนท์ฟอร์ด 4-0 หลังจากนั้นแมนยูไนเต็ดไม่เคยแพ้ติดกันสองนัดอีกเลยไม่ว่าจะเกมลีกหรือบอลถ้วย

แพ้แมนซิตี้ 6-3 หลังจากนั้นยูไนเต็ดกลับมาชนะ 3 เกมรวดทั้งในยูโรปาลีกและพรีเมียร์ลีก

แพ้แอสตันวิลล่า 3-1 จากนั้นก็กลับมาเอาคืนวิลล่าในบอลถ้วยทันที 4-2 และเกมต่อมาเชือดฟูแล่ม 1-2 ก่อนปิดช่วงพักบอลโลก

ทันทีที่แพ้ แมนยูจะกลับมา "ชนะ" ในเกมต่อไปทันที ไม่มีพีเรียดไหนยาวไปกว่า 2 นัดติดช่วงต้นฤดูกาลอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ดีขึ้นในยุคของเอริค เทน ฮาก ทีมค่อนข้างกลับมาสู่เกมได้เร็ว มีสมาธิ และไม่ "เป๋" ไปกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มูฟออนและตั้งหลักได้เร็วมากๆ

มันทำให้แม้แมนยูจะแพ้ไปหลายเกมมากๆแล้วในซีซั่นนี้ (5) แต่แต้มกลับเกาะท็อปทรีได้แบบสวยๆเลย นั่นเป็นเพราะว่าทีมรักษาโมเมนตัมได้ดี และคัมแบ็คมาสู่เกมไวมากๆ

มันคือความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจของทีมอย่างแท้จริง

5. "Situation Control & Judement Buffer"

ความเก๋าเกมในการรักษาสกอร์ และการเล่นให้มีประสิทธิภาพจนพิษการตัดสินจากกรรมการไม่สามารถเล่นงานได้

ข้อสุดท้ายที่เห็นชัดเลยว่า แมนยูไนเต็ดเติบโตขึ้นมาก ก็คือเรื่องของการรักษาสกอร์ เก็บผลการแข่งขันได้สำเร็จ อย่างที่เราทราบๆกันแล้วว่าปีนี้แมนยูจะชนะในลักษณะของการเฉือน 1 หรือ 2 ลูกอยู่บ่อยๆ หลายๆเกมต้องลุ้นกันเยี่ยวเหนียว แต่สุดท้ายแทบทุกครั้ง แมนยูยุคเทนฮากเอาตัวรอดได้แทบทุกครั้ง

ช่วงท้ายเกมชนะพาเลซ 2-1 ทุกคนคงทราบกันอยู่แล้วว่าแมนยูเสียเปรียบตัวผู้เล่น 1 คนจากที่คาเซมิโร่โดนแดงไป และเวลายังเหลืออยู่อีกยี่สิบกว่านาที มากพอจะให้พาเลซครองบอลบุกและตีเสมอได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แมนยูเอาอยู่ รักษาสถานการณ์เอาไว้อย่างแข็งแกร่งด้วยความแน่นอนของแนวรับที่เหนียวแน่น และ "ใจเย็น" มากๆในการรับมือกับสถานการณ์คับขัน ยิ่งเกมนี้จะเห็นชัดเลยว่า ลิซานโดร มาร์ติเนซ กับ ราฟาเอล วาราน เป็นแผงหลังที่ไว้ใจและรับมือกับเกมบีบคั้นได้ดีมาก นิ่งสุดๆ เช่นเดียวกับลุค ชอว์ และ วานบิสซาก้า ก็ไม่ก่อความผิดพลาดเกิดขึ้นเวลาโดนโจมตีเข้ามาในแอเรียของพวกเขา สองคนนี้รับมือได้ดีมากทั้งคู่ บล็อคและเคลียร์บอลออกกันจ้าละหวั่นอย่างยอดเยี่ยม

นอกจากเกมรับที่แข็งแกร่งยังไม่พอ นักเตะในทีมก็ใจเย็น และคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ด้วยความเก๋าที่รู้จักดึงเกมให้ช้าลง ใช้ประโยชน์การครองบอลและเรียกฟาล์วเผาเวลาได้เยอะ แม้กระทั่งเรื่องของความขยันที่ช่วยกันวิ่งไล่บอลกันท้ายเกมจน 11 คนของพาเลซไม่สามารถโจมตีใส่เราต่อเนื่องได้ ก็เพราะเจอยูไนเต็ดวิ่งสู้ในช่วงท้าย และ "เผาเวลา" ไปได้ค่อนข้างเยอะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งซ้ายของลุค ชอว์, เฟร็ด และ แรชฟอร์ด ที่ช่วยกันบู๊จนทำให้พาเลซเสียเวลาอยู่ริมเส้นไปเยอะมาก และไม่สามารถเอาบอลขึ้นมาบุกได้ โดยเฉพาะเฟร็ด ทุกครั้งที่เขาบล็อคบอลออกนอกสนามได้สำเร็จ แกก็จะมีแทคติกเล็กๆน้อยๆทำให้บอลมันกลับมาสนามช้าลงทุกครั้ง ปัดบอลทิ้งไปไกลๆบ้าง ก่อกวนบ้าง ทำทุกอย่างเพื่อดึงเกมให้ช้าลง

สุดท้ายแล้ว เจอความเก๋าของแมนยูเผาจนเวลาหมดไปในที่สุด

สิ่งนี้ทำให้เห็นเลยว่า แมนยูชุดนี้พัฒนาขึ้นเยอะในเรื่องการรักษาสกอร์จนทำให้ทีมเก็บผลลัพธ์ประเภท "เฉือนเอาชนะ" แบบนี้ได้บ่อยๆในยุคเทน ฮาก ที่เก็บแต้มได้ต่อเนื่องเป็นกอบเป็นกำ ก็เพราะรักษาสกอร์ได้ และไม่พลาดโดนตีเสมอสำเร็จบ่อยๆนั่นเอง ลูกยิงฟรีคิกของโอลิเซ่ในเกมนัดนั้นช่วงทดเวลาเจ็บถือเป็นเคสพิเศษที่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ แต่โดยมากส่วนใหญ่ทีมเราจะเอาอยู่ ไม่พลาดแบบนั้นบ่อยๆ

นอกจากนี้ เรื่องของการเจอ "พิษของการตัดสิน" อยากจะบอกแฟนทีมคู่แข่งเราจริงๆ ว่าแมนยูเจอพิษกรรมการตัดสินบ่อยมากๆอยู่นานหลายปีแล้ว แฟนทีมอื่นจำแต่ช็อตที่เราได้ประโยชน์ แต่ไม่เคยมีใครมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เวลาแมนยูเสียประโยชน์อยู่บ่อยๆเลย

หลายต่อหลายครั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ได้แย่ แต่ก็โดนพิษกรรมการเล่นงานจนต้องสังเวยชัยชนะอยู่เป็นประจำในยุคก่อนหน้านี้ ซึ่งเราก็ทำใจและพยายามคิดอยู่เสมอว่า สิ่งเดียวที่จะช่วยแมนยูจาก "พิษกรรมการ" แบบนี้ได้ นั่นก็คือทีมเราต้องเล่นดีและเหนือกว่าคู่แข่ง จนทำให้การตัดสินที่สร้างจุดเปลี่ยนในเกม และทำให้เราเสียเปรียบนั้น ไม่สามารถเล่นงานเราได้

พูดง่ายๆคือสร้างบัฟเฟอร์เอาไว้เลยในแต่ละเกม เผื่อเจอการตัดสินเฮงซวยขึ้นแน่ๆเหมือนที่คาเซมิโร่โดน ถ้าคุณภาพการเล่นโดยรวมเราดีกว่า ยิงประตูได้มากกว่า เกมเหนือกว่า หากในสนามเจอการตัดสินที่ว่าขึ้นมา ทีมจะไม่เสียหายมาก

ทุกวันนี้แมนยูยังคงเจอการเป่าแบบนั้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง บางครั้งเราไม่ได้จุดโทษแบบค้านสายตา บางครั้งถูกจับฟาล์วจนทำให้เกมติดขัดมีปัญหา

แต่เราก็เอาตัวรอดมาได้

คุณภาพที่พัฒนาขึ้นนี่แหละ จึงเป็น "บัฟเฟอร์" ให้กับทีมเวลาเจอการตัดสินประเภท "อิหยังวะ" เกิดขึ้น แม้เราจะโดนเล่นงานถึงขนาดทำให้เกมเปลี่ยน หรือทำให้เสียประตู แต่ถ้าเราเก่งกว่าคู่แข่งมากๆ การเจอคำตัดสินเหล่านี้จะได้ส่งผลกระทบกับเราได้น้อยลง

แมตช์เจอพาเลซ คือคำตอบที่ชัดเจนว่า แม้จะเจอกรรมการตัดสินแย่ๆจนทำให้ทีมเสียเปรียบขนาดนั้น แต่แมนยูกลับชนะมาได้อย่างใสสะอาด และสวยงามที่สุด ถึงจะโดนไล่ออกเหลือแค่10คนอย่างที่ไม่ควรโดน

นี่แหละคือสิ่งที่เราพัฒนาขึ้นแล้ว เพราะตอนนี้แม้แต่กรรมการก็ยังโกงเราไม่สำเร็จ ทีมที่จะขึ้นไปคว้าแชมป์ได้สักวันในอนาคตจะต้องทำให้ได้แบบนี้

"เล่นให้ดีเพื่อเผื่อปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้อย่างเรื่องการตัดสินของกรรมการเล่นงาน" นั่นเอง

และทั้งห้าประการนี้คือพัฒนาการที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของ Manchester United ในยุคของ Eric ten Hag ยกระดับทีมขึ้นมาจนทำให้แฟนผีได้เชียร์ฟุตบอลกันอย่างมีความสุขเช่นตอนนี้ ไม่ว่าทีมจะชนะ หรืออาจจะมีสะดุดบ้าง แต่แฟนบอลก็ยังดูบอลได้อย่างมีความสุข และให้เวลาเทน ฮาก ทำทีมอย่างเต็มที่

เพราะเรารู้ดีว่าทุกอย่างกำลังมาถูกทางแล้ว ภายใต้การนำทีมอย่างมีระบบระเบียบ และทิศทางที่ถูกต้อง

ในอนาคตปีศาจแดงจะยิ่งแข็งแกร่งกว่าที่เราเห็นในตอนนี้อีกเยอะ และถ้ายังพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องแบบนี้ ผลลัพธ์ปลายทางของการพัฒนา มันคือคุณภาพที่เราจะทำได้เหนือกว่าคู่แข่ง จนกระทั่งสักวันหนึ่งสามารถพาทีมขึ้นไปคว้าแชมป์สำคัญๆมาครอบครองได้อย่างแน่นอน

เฝ้ามองและเชื่อใน process การพัฒนาทีมต่อไป สักวันความสำเร็จจะกลับมาสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดอีกครั้ง

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด