:::     :::

ฝันที่ไม่เป็นจริง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เป็นเวลานาน 248 วันที่ อาร์เซน่อล รั้งตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก และทำให้แฟนบอลมีความเชื่อและความฝันไปด้วยกันว่าสามารถเป็นแชมป์ได้

แต่ท้ายที่สุดความฝันก็เป็นเพียงความฝัน ไม่สามารถเป็นจริงได้

ความพ่ายแพ้ล่าสุดที่ซิตี้ กราวนด์ เป็นการตอกย้ำว่า อาร์เซน่อล ยังไม่ดีพอที่จะแย่งแชมป์จาก แมนฯ ซิตี้  

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ทำได้ดีมากๆ แล้ว ดีกว่าที่คาดเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ดีพอโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลที่เป็นช่วงเวลาชี้ขาดอย่างแท้จริง

พวกเขาแพ้ในการเจอทีมลุ้นแชมป์ด้วยกันอย่าง แมนฯ ซิตี้

แพ้อีกในการเจอทีมลุ้นพื้นที่ยุโรปอย่าง ไบรท์ตัน

และก็แพ้อีกครั้งในการเจอทีมหนีตายอย่าง ฟอเรสต์

3 นัดแห่งความปราชัยต่อคู่แข่งที่เป้าหมายแตกต่างกันนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลา 5 นัดหลังสุด ซึ่งเท่ากับจำนวนที่แพ้ใน 32 นัดแรกของฤดูกาล

ในการเยือนรังเจ้าป่านัดล่าสุด อาร์เซน่อล ต้องการชนะให้ได้เพื่อยื้อความหวังลุ้นแชมป์ให้ยืดออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งวันหรือจนถึงเกมที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดรังดวล เชลซี ในวันอาทิตย์ และเพื่อแก้ตัวจากที่พ่ายยับคาบ้านต่อ ไบรท์ตัน 

อาร์เตต้า ปรับทัพน่าสนใจโดยเฉพาะเกมรับที่เลือกส่ง โธมัส ปาร์เตย์ ลงเล่นแบ็กขวาเพื่อขยับ เบน ไวท์ ไปยืนเซนเตอร์แบ็กร่วมกับ กาเบรียล มากัลเญส พร้อมกับถ่าง ยาคุบ คีวิออร์ ไปเล่นแบ็กซ้าย

หลังผ่านเกมที่ผลงานไม่ดี หรือแท็กติกไม่ได้ผล อาร์เตต้า ปรับทีมให้เห็นเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้เป็นการปรับเปลี่ยนที่เซอร์ไพรส์สุดทั้งในเรื่องของแท็กติกและผู้เล่นที่เลือกใช้งาน 

เขาทำในสิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นแล้ว แต่เมื่อลงเอยด้วยการแพ้อีกครั้งก็ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าวิธีการใหม่ยังไม่ได้ผล

ตลอดครึ่งแรก อาร์เซน่อล ขึ้นเกมได้ฝั่งเดียวคือฝั่งขวา แต่ก็ไม่ถึงกับขึ้นได้สุดทางเพราะ ปาร์เตย์ ไม่ใช่ผู้เล่นในสไตล์ เบน ไวท์ ที่สามารถวิ่งสอดถึงสุดเส้นหลังเพื่อเปิดบอลเข้ากลางได้ 

ไอเดียของ อาร์เตต้า คืออยากให้ ปาร์เตย์ ขยับไปเล่นตรงกลางเป็น "Inverted Fullback" ในแบบที่ฝั่งซ้ายอย่าง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ทำได้ดี

แต่เมื่อ ซินเชนโก้ บาดเจ็บ ขณะที่ คีแรน เทียร์นีย์ ก็เล่นแบบแบ็กทีมชาติยูเครนไม่ได้ อาร์เตต้า จึงเลือกสลับให้ฝั่งขวาทำหน้าที่นี้ และมองว่า ปาร์เตย์ ที่เล่นกองกลางอยู่แล้วและเคยเล่นแบ็กขวามาก่อน น่าจะทำได้เป็นธรรมชาติมากกว่า เทียร์นีย์


เมื่อใช้ ปาร์เตย์ ทำหน้าที่นี้แล้ว แบ็กซ้ายเลยเลือกใช้ ยาคุบ คีวิออร์ ที่เป็นเซนเตอร์ธรรมชาติเล่นแทนเพื่อให้การยืนตำแหน่งเหมือนเป็นสามเซนเตอร์ในเวลาที่ ปาร์เตย์ ขยับเข้าไปเล่นเป็นกองกลาง

คีวิออร์ ไม่ใช่แบ็กซ้ายธรรมชาติ และไม่ได้ถูกมอบบทบาทให้ต้องเติมเกมรุก ดังนั้นเกมทางฝั่งซ้ายของ อาร์เซน่อล จึงแทบไม่มี

เมื่อการเล่นเทฝั่งขวาอย่างเดียว การรอจังหวะตัดบอลของ ฟอเรสต์ จึงทำได้ง่ายขึ้นเพราะคุมพื้นที่ครึ่งสนามก็พอ ไม่ต้องวิ่งพล่านทั่วสนาม 

แท็กติกของ สตีฟ คูเปอร์ ต้องเล่นแบบนี้อยู่แล้วเพราะความสามารถนักเตะเป็นรอง พวกเขาต้องการอย่างน้อยหนึ่งคะแนนในบ้านทำให้ต้องเน้นรับแน่น รอจังหวะตัดบอลได้และสวนกลับทันที และมันก็เป็นที่มาของประตูชัยชี้ขาดเกมนี้

มาร์ติน โอเดการ์ด จ่ายบอลเข้ากลางไม่ดีจึงโดนตัดได้ มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ ลากพาบอลมาตั้งแต่แดนตัวเองก่อนไหลให้ ไทโว อโวนิยี่ ยิงในจังหวะพร้อมๆ กับการตามสกัดของ มากัลเญส 

ประตูเดียวของเกมเกิดขึ้นตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก แต่วิธีการเล่นของฟอเรสต์ยังคงเหมือนเดิม 

สมาธิและความมุ่งมั่นของแข้งเจ้าป่าเต็มร้อยจริงๆ แต่ละคนจ้องแย่งบอลในทุกจังหวะและไม่หลุดจากโฟกัสในการเล่นเลย 

เมื่อ อาร์เซน่อล ไม่สามารถถ่ายบอลรุกไปฝั่งซ้ายได้ทำให้การเจาะเข้าทำส่วนใหญ่พยายามแทงยัดเข้าตรงกลางซึ่งน้อยครั้งมากที่จะได้ผลเนื่องจากมีผู้เล่นฟอเรสต์ยืนกันเต็มไปหมด และรุม 2-3 คนตลอดในเวลาที่ผู้เล่นแข้งปืนได้บอล

เรื่องความแข็งแกร่งและสรีระร่างกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ้าป่าเหนือกว่าอยู่แล้วเพราะแนวรุกปืนใหญ่ไม่ได้สูงใหญ่ตามชื่อ จังหวะเบียดจังหวะแย่บอลจึงกระเด็นกระดอนบ่อยครั้ง โดนเข้าถี่ๆ ก็ยิ่งถอดใจ

สถิติที่บ่งบอกถึงวิธีการเล่นของฟอเรสต์ได้อย่างดีคือการเข้าแท็กเกิ่ล 19 ครั้ง มากกว่าอาร์เซน่อลสองเท่า แต่เสียฟาวล์น้อยกว่า 11 ต่อ 12 ครั้ง 

ฟอเรสต์ เล่นได้ตามแผนที่ต้องการกับการป้องกันเกมรุกอาร์เซน่อลได้อย่างดีเยี่ยมจนทำให้ เกย์ลอร์ นาวาส แทบไม่ได้ออกแรงเซฟลูกยากๆ  

อาร์เซน่อล ครองบอลในเกมนี้มากถึง 82 เปอร์เซ็นต์ เป็นสัดส่วนที่เยอะมาก แต่ได้ยิงเข้ากรอบเพียง 3 ครั้ง 

ปืนใหญ่พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว แต่เจาะเข้าทำได้ยากจริงๆ นักเตะฟอเรสต์ประชิดตัวเร็วไม่ให้พลิกเล่นได้ง่าย 

ฝั่งซ้ายของ อาร์เซน่อล ดูมีบทบาทมากขึ้นก็ตอนส่ง เทียร์นีย์ ลงแทน คีวิออร์ ในช่วงเข้าสู่ 25 นาทีสุดท้าย บอลเปิดจากด้านฝั่งซ้ายเข้ากลางเริ่มทำได้ แต่ด้วยความสูงใหญ่ของแนวรับเจ้าถิ่นทำให้ อาร์เซน่อล ไม่สามารถจบสกอร์ในเขตโทษได้ 

ก่อนลงสนามเกมนี้ ฟอเรสต์ ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้เลยตลอด 15 นัดหลังสุด แต่พวกเขาทำได้ในการเจอกับ อาร์เซน่อล ทีมที่มีเกมรุกดีสุดเป็นรองแค่ แมนฯ ซิตี้ 

ฟอเรสต์ เล่นได้ตามแผนและตามศักยภาพนักเตะที่มี เมื่อบวกกับแรงเชียร์ในสนามซิตี้ กราวนด์ เข้าไปด้วยก็เลยทำให้คว้าผลการแข่งขันที่ต้องการได้ และเป็นผลที่ทำให้ภารกิจในฤดูกาลนี้ลุล่วงนั่นคือ "รอดตกชั้น" 

แข้งเจ้าป่าที่กลับคืนพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 23 ปี สามารถเอาตัวรอดได้สำเร็จไม่ต้องไปลุ้นในนัดสุดท้าย และปล่อยให้ เอฟเวอร์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ซิตี้ ไปเผชิญชะตากรรมเองว่าใครจะเป็นหนึ่งเดียวที่รอด และอีกสองตกชั้นตาม เซาธ์แฮมป์ตัน 

ส่วน อาร์เซน่อล ก็หมดลุ้นแชมป์อย่างเป็นทางการ หลังก่อนหน้านี้ยอมรับกันไปบ้างแล้วตั้งแต่เกมพ่ายคาบ้านต่อ ไบรท์ตัน 

อาร์เตต้า บอกว่าได้เรียนรู้หลายอย่างจากความปราชัยนัดล่าสุดนี้ที่ทำให้ความฝันและความเชื่อสิ้่นสุดลง

เมื่อเข้าสู่ช่วงสำคัญใน 1-2 เดือนสุดท้าย ขุมกำลังในทีมทั้งตัวจริงและสำรองต้องพร้อมและอยู่ในสภาพความฟิตที่ดีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต้องมีความมั่นใจ และพร้อมออกไปลุย 

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อผลการแข่งขันก็ต้องทำให้ได้หรือเป็นใจด้วย แต่อาร์เซน่อลขาดสิ่งเหลานี้ไป 

นี่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ อาร์เตต้า พอจะสรุปได้ในเบื้องต้นซึ่งแน่นอนว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ไปจนถึงตลอดซัมเมอร์ เขาคงได้มองย้อนและได้เห็นความผิดพลาดในทีมมากขึ้น และรู้ว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ทีมแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะคว้าแชมป์มากกว่านี้

มันเป็นช่วงเวลาที่จะได้ทบทวนและเยียวยาจิตใจไปพร้อมๆ กัน  

เหนือสิ่งอื่นใดต้องขอแสดงความยินดีกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับตำแหน่งแชมป์ที่คู่ควรอย่างแท้จริง 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด