แน่นอนว่าหลายคนถูกมองว่าแพงจนเกินไปและเมื่ออยู่ในสนามกลับไม่ได้โชว์ผลงานได้สมราคาเลย อาจจะเป็นเพราะต้องแบกรับความกดดันจากค่าตัวนั้นและความคาดหวังอย่างสูงสำหรับแฟนบอล

แต่เมื่อมีคนที่ทำไม่เหมือนอย่างที่ถูกถาดเอาไว้ ก็มีคนที่ทำได้ดีเช่นกัน วันนี้ไปดู 10 ผู้เล่นชาวอังกฤษค่าตัวแพงที่สุดว่ามีใครกันบ้าง

จู๊ด เบลลิงแฮม (115 ล้านปอนด์)

จาก ดอร์ทมุนด์ ไป เรอัล มาดริด

ขึ้นมารั้งตำแหน่งนักเตะชาวอังกฤษค่าตัวแพงที่สุดสดๆ ร้อนๆ หลังย้ายไปร่วมทีม เรอัง มาดริด ด้วยค่าตัว 115 ล้านปอนด์ ยังไม่รวมพวกโบนัสต่างๆ

อย่างไรก็ตามเราจะยังไม่ได้เห็นผลงานของเขากับ "ราชันชุดขาว" จนกว่าฤดูกาลจะเริ่มต้น ขอไม่นับในช่วงปรี-ซีซั่นที่เป็นแค่เกมเรียกความฟิตเท่านั้น

แต่ผลงานกับ ดอร์ทมุนด์ และทีมชาติอังกฤษก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมมาแล้ว ด้วยวัยเพียง 19 ปีก็ติดทีมชุดใหญ่ของ "สิงโตคำราม" มาแล้ว 24 เกม รอติดตามว่าฟอร์มกับทีมชุดขาวจะเป็นอย่างที่คาดหวังรึเปล่า

แจ็ค กรีลิช (100 ล้านปอนด์)

จาก แอสตัน วิลล่า ไป แมนฯ ซิตี้

ย้ายจาก แอสตัน วิลล่า มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อซัมเมอร์ 2021 ท่ามกลางความสงสัยของแฟนบอลมากมายว่าค่าตัวสูงถึงขนาดนี้จริงหรือ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานในปีแรกกับสโมสรก็เจอปัญหาเข้าเต็มๆ จนถึงขนาดสื่อจับโยงเรื่องย้ายทีมมาแล้ว แต่ปีนี้เจ้าตัวก็โชว์ผลงานตอบแทนสโมสรได้อย่างดีเยี่ยม

กรีลิช ลงเล่นร่วม 50 เกมทุกรายการ ช่วยให้ "เรือใบ" คว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" ทั้ง พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองอย่างยิ่งใหญ่เลย

แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (85 ล้านปอนด์)

จาก เลสเตอร์ ซิตี้ ไป แมนฯ ยูไนเต็ด

ย้ายมาสู่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งในแนวรับให้กับทีม ถึงขนาดจ่ายค่าตัวสูงขนาดนี้

แม้ว่าจะลงเล่นให้กับสโมสรไปแล้ว 175 เกม แต่ต้องบอกว่าช่วงเวลาของเขากับสโมสรเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก และเสียงวิจารณ์ไปในทิศทางที่แย่เป็นส่วนใหญ่

หากไม่มีอะไรผิดพลาด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ คงย้ายออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วยค่าตัวที่ถูกกว่าตอนที่สโมสรซื้อมาอย่างมาก อาจจะถูกลงมากกว่าครึ่งหนึ่งเลยด้วย

เจดอน ซานโช่ (75 ล้านปอนด์)

จาก ดอร์ทมุนด์ ไป แมนฯ ยูไนเต็ด

อีกหนึ่งแข้งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่บรรดาสาวก "เร้ด เดวิลส์" ดีใจกันอย่างมากตอนที่ทีมเซ็นสัญญาคว้ามาร่วมทีมในซัมเมอร์ 2021 หลังจากที่ผลงานกับ ดอร์ทมุนด์ นั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน

แต่ว่าผลงานของเจ้าตัวกลับน่าผิดหวัง ถึงขั้นที่ว่าไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมมาเป็น เอริก เทน ฮาก ผลงานก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมาสักเท่าไร

ตอนนี้อนาคตของ เจดอน ซานโช่ ยังอยู่ในความไม่แน่นอนว่าจะอยู่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดต่อไปรึเปล่า โดยมี สเปอร์ส, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ นาโปลี ที่ให้ความสนใจอยู่ คาดว่าราคาจะอยู่ที่ราว 50 ล้านปอนด์เท่านั้น

เบน ไวท์ (50 ล้านปอนด์)

จาก ไบรท์ตัน ไป อาร์เซน่อล

ค่าตัวของ เบน ไวท์ เมื่อครั้งย้ายจาก ไบรท์ตัน มาอยู่กับ อาร์เซน่อล กลายเป็นเครื่องหมายคำถามอย่างหนักด้วยราคาที่แพงอย่างมากกับนักเตะที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมาย

แต่ด้วยความสำเร็จของทีมในฤดูกาลที่เพิ่งจบไปกับบทบาทที่ได้รับมอบหมาย เจ้าตัวถือว่าได้รับคำชื่นชมอย่างมาก โดยลงเล่นครบทั้ง 38 เกมในพรีเมียร์ลีกด้วย

อย่างไรก็ตามสโมสรตกเป็นข่าวว่ากำลังมองหาแบ็กขวาคนใหม่อยู่ในช่วงซัมเมอร์นี้ คงต้องรอดูกันว่าแนวรับทีมชขาติอังกฤษจะถูกวางตำแหน่งให้อยู่ในจุดไหน

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (49 ล้านปอนด์)

จาก ลิเวอร์พูล ไป แมนฯ ซิตี้

ถือเป็นการย้ายทีมที่ประสบความสำเร็จสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แม้ว่าจะจ่ายค่าตัวในหลัก 49 ล้านปอนด์ แต่สิ่งที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง มอบให้กับสโมสรนั้นยอดเยี่ยมมาก

ปีกทีมชาติอังกฤษใช้เวลา 7 ปีกับ "เรือใบ" ด้วยการทำ 131 ประตูกับ 95 แอสซิสต์ จาการลงสนาม 339 เกม ประสบความสำเร็จด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ลีก คัพ 5 สมัย 

แข้งวัย 28 ปีย้ายไป เชลซี ด้วยค่าตัวที่ใกล้เคียงกันเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว แต่ต้องบอกว่าผลงานทั้งส่วนตัวและผลงานในภาพรวมของทีมน่าผิดหวังจริงๆ

อารอน วาน-บิสซาก้า (49 ล้านปอนด์)

จาก คริสตัล พาเลซ ไป แมนฯ ยูไนเต็ด

อีกคนที่ถูกพูดถึงเรื่องค่าตัวอย่างมากเมื่อย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ทั้งเรื่องการเป็นนักเตะอังกฤษ รวมถึงการที่สโมสรอย่าง "ปีศาจแดง" สนใจยิ่งโดนเรียกราคาอย่างสูง

ช่วงเวลากับสโมสรของแบ็กขวา "สิงโตคำราม" มีทั้งช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและย่ำแย่ แม้ว่าจะเล่นเกมรับได้อย่างน่าปรบมือ แต่ในทางกลับกันการเล่นเกมรุกต้องบอกว่าเข้าขั้นห่วยแตก

แต่เจ้าตัวฟื้นคืนอาชีพกับสโมสรอีกครั้งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง จากที่เคยตกเป็นข่าวเรื่องย้ายออกจากทีมตั้งช่วงตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา

จอห์น สโตนส์ (47.5 ล้านปอนด์)

จาก เอฟเวอร์ตัน ไป แมนฯ ซิตี้

มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งแต่ปี 2016 ด้วยค่าตัวที่สูงทีเดียวสำหรับกองหลังในช่วงเวลานั้น แถมผลงานก็ยังไม่สมกับราคาที่จ่ายไปด้วย

แต่ว่า จอห์น สโตนส์ เองก็ค่อยๆ ยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นกองหลังคนสำคัญของทีมได้ในที่สุด และปีนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในคนสำคัญกับความสำเร็จของสโมสรด้วย

สโตนส์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย ลงสนามให้ทีมไปแล้ว 229 เกม ทำไป 15 ประตกับ 5 แอสซิสต์

ไคล์ วอล์คเกอร์ (45 ล้านปอนด์)

จาก สเปอร์ส ไป แมนฯ ซิตี้

ย้ายมาค้าแข้งในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม 1 ปีหลังจาก จอห์น สโตนส์ แต่ต้องบอกว่าแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นคนสำคัญของสโมสรในทันทีทันใด

เรียกได้ว่าค่าตัว 45 ล้านปอนด์ที่สโมสรจ่ายไปให้กับ สเปอร์ส นั้นถูกไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ มอบให้กับสโมสร ความสำเร็จในแง่ของโทรฟี่ก็เหมือนกันเลย

แต่ว่าในแง่ของการลงสนามและบทบาทถือว่ามีมากกว่า และแน่นอนว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนที่เสียดายเงินที่สโมสรจ่ายไปแน่นอน

เบน ชิลเวลล์ (45 ล้านปอนด์)

จาก เลสเตอร์ ซิตี้ ไป เชลซี

ถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมกับความสำเร็จในฤดูกาล 2020/21 ปีแรกที่ เบน ชิลเวลล์ มาร่วมทีม โดยช่วยทีมคว้าโทรฟี่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมาครองอย่างยิ่งใหญ่

น่าเสียดายฤดูกาลที่แล้วเจออาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักจนแทบไม่ได้ช่วยทีม มาปีนี้สโมสรก็ทุ่มแหลกจนทีมดูขาดความสมดุลไปเยอะเลย

แต่ยามลงสนามต้องบอกว่าทั้งรุกและรับเจ้าตัวทำได้อย่างน่าประทับใจ รอติดตามกันว่าปีหน้าภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะเป็นยังไง