:::     :::

Xhaka's redemption - ไถ่บาปด้วยบุญปืน (2)

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2566 คอลัมน์ โรงเตี๊ยมลูกหนัง โดย ทอมมี่ ท่ามะกา
1,292
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กรานิต ชาก้า แทบหมดอนาคตกับสโมสรหลังเหตุการณ์อื้อฉาวในเกมกับ คริสตัล พาเลซ แต่แล้วก็เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญนั่นคือการมาของ มิเกล อาร์เตต้า

อาร์เตต้า คือจุดเปลี่ยนสำคัญ

มิเกล อาร์เตต้า ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในเดือนธันวาคมปี 2019 และหนึ่งในภารกิจแรกๆ ที่เขารีบจัดการคือ จับเข่าคุยกับ กรานิต ชาก้า ที่กำลังโดนมรสุมชีวิตเล่นงานอย่างหนัก

ในขณะที่หลายคนมองว่าอาชีพค้าแข้งของ ชาก้า ที่ลอนดอนเหนือจบลงแล้ว แต่ อาร์เตต้า ไม่คิดแบบนั้นและเลือกที่จะให้โอกาสกองกลางชาวสวิสอีกครั้ง 

"ผมถูกดร็อปออกจากทีมและเสียตำแหน่งกัปตันตอนที่ มิเกล ได้รับแต่งตั้งเข้ามาในเดือนธันวาคม ผมบอกเขาว่าต้องการย้าย เขาเข้าใจอย่างดี เราได้คุยกันอีกครั้งใน 2-3 วันถัดมาและภรรยาผมก็ไปคุยด้วย" ชาก้า เล่าย้อนถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลือกอยู่กับทีมต่อไป 

"ตอนนั้นกระเป๋าเสื้อผ้าวางพร้อมอยู่แล้วตรงประตู ข้าวของแพ็คเรียบร้อย พาสปอร์ตก็พร้อม ผมพอแล้วกับ อาร์เซน่อล มันจบแล้ว"

"มีสัญญาจากสโมสรใหม่วางบนโต๊ะ เหลือเพียงแค่ผมจับปากกาเซ็นลงไปเท่านั้น ผมคุยกับภรรยา เลโอนิต้า และเราตัดสินใจที่จะย้าย ผมเพียงแค่ไปบอกลา มิเกล และจากนั้นก็ขึ้นเครื่องออกเดินทาง"

หลังเหตุการณ์การของ ชาก้า ในเกมกับ คริสตัล พาเลซ เกิดได้ไม่นาน อูไน เอเมรี่ ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนมี เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก ขัดตาทัพช่วงสั้นๆ ระหว่างรอการมาของ มิเกล อาร์เตต้า 


"เมื่อผมตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว มันก็ยากมากๆ ที่จะเปลี่ยนใจ แต่จากนั้น มิเกล ก็เริ่มมาคุยว่าผมสำคัญต่อแผนงานของเขามากเพียงใด ผมชอบความอบอุ่นของเขานะ เขาจริงใจ ว่ากันตรงๆ และมีแผนชัดเจน ผมรู้สึกว่าเชื่อมั่นในตัวเขาได้"

"มิเกล ขอเวลาผมหกเดือนเพื่อพิสูจน์ว่าคิดผิด (ที่จะย้าย) และจากนั้นหากผมยังต้องการจะย้ายก็ไม่มีปัญหา"

"หลังผ่านไปหกเดือน มิเกล และผมไม่ได้คุยเรื่องอนาคตของผมกันอีกแล้วเพราะผมกลับมามีความสุขอีกครั้ง ผมรู้ว่าผมได้ตัดสินใจถูกต้องอย่างที่สุดเพราะผมยังอยู่ที่นี่" 

ชาก้า กลับมาเป็นตัวหลักให้ทีมอีกครั้งตลอดครึ่งฤดูกาลที่เหลือ และมีส่วนสำคัญพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองในปี 2020 ที่เอาชนะ เชลซี 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

ฤดูกาล 2020/21 ชาก้า ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในยุค อาร์เตต้า ด้วยการลงสนาม 45 นัดในทุกรายการซึ่งในบรรดานักเตะตำแหน่งเอาต์ฟิลด์ด้วยกันมีเพียง บูคาโย่ ซาก้า ที่ลงเล่นมากกว่า (46 นัด)

หลังจบฤดูกาลดังกล่าว เขาได้รับความสนใจอย่างจริงจังจาก โรม่า ที่เพิ่งได้ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือคนใหม่ แต่ท้ายที่สุดทั้งสองสโมสรก็ไม่สามารถตกลงกันได้ กองกลางชาวสวิสจึงได้ค้าแข้งในลอนดอนต่อไป

"เขาเป็นคนที่พิเศษ" อาร์เตต้า กล่าวถึง ชาก้า "เขาตรงไปตรงมา จริงใจมากๆ มีความซื่อสัตย์ และมีพาสชั่นเต็มเปี่ยมในสิ่งที่ทำ เขาทำผิดพลาดไปบ้าง แต่เขาก็เรียนรู้จากมัน"

"เขากล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและความยากลำบากเสมอ ไม่เคยวิ่งหนี นี่คือสิ่งที่ผู้จัดการทีมทุกคนต้องการจากนักเตะ คุณรู้เลยว่าพึ่งพาเขาได้ เขาจะสู้ และลุยสุดตัวเพื่อคุณ"

หนึ่งในคุณสมบัติเด่นของ กรานิต ชาก้า คือพร้อมลงสนามอยู่เสมอหากไม่ติดโทษแบน เขาแทบไม่มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน 

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17 ที่ย้ายมาร่วมทีม ชาก้า ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกรวม 18,701 นาที และมีนักเตะตำแหน่งเอาต์ฟิลด์เพียง 7 คนที่ลงเล่นมากกว่า นอกจากนี้ก็เคยลงเล่นในลีก 65 นัดติดต่อกันไม่พลาดเลยระหว่างมีนาคม 2017 ถึง ธันวาคม 2018


แม้แฟนบอลจะเสียงแตกถึงผลงานในสนามของ ชาก้า แต่สำหรับกุนซือ อาร์เซน่อล แล้ว เขาได้รับความไว้วางใจจากทุกคนไม่ว่าจะเป็น อาร์แซน เวนเกอร์, อูไน เอเมรี่, เฟร็ดดี้ ลุงเบิร์ก และ มิเกล อาร์เตต้า  

ชาก้า เป็นผู้เล่นคนเดียวที่ลงเล่นเกิน 50 นัดให้กับกุนซือถาวร 3 คน และแม้จะมีปัญหาต่างๆ รุมเร้า แต่เขายังคงเป็นคนสำคัญต่อทีมโดยเฉพาะยุคของ อาร์เตต้า ที่เต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งมากมาย 

ด้วยความมุ่งมั่นในการพิสูจน์ตัวเอง และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทั้ง อาร์เตต้า และเพื่อนร่วมทีม กองกลางทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์สามารถกอบกู้ชื่อเสียงและเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมาได้อย่างมาก 

"หลังเกิดเรื่องราวในครั้งนั้น เราต่างห่างเหินกันมากๆ ผมคิดว่าตอนนี้เรากลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นทีละนิด ผมไม่ได้บอกว่าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด แต่สิ่งที่ผมบอกกับทุกคนตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่ผมอยู่ที่นี่คือ ผมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้" 

"ผมคงทำผิดพลาดอีกเหมือนเช่นทุกคนเพราะผมไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมจะทุ่มเท 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอน นี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกกับแฟนๆ" ชาก้า กล่าวเอาไว้เมื่อต้นฤดูกาล 2022/23 


ปิดฉากฤดูกาลที่ดีสุดในอาชีพ

ฤดูกาล 2022/23 ที่เพิ่งปิดฉากลงไปคือฤดูกาลที่ดีสุดในอาชีพค้าแข้งของ กรานิต ชาก้า ทั้งเรื่องของสถิติการเล่นต่างๆ และการ "ไถ่บาป" ที่หมดจด ไม่มีอะไรค้างคาอีกต่อไป

หลังจากพลาดโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลก่อนหน้านั้นอย่างน่าเสียดาย อาร์เตต้า ปรับเปลี่ยนทีมอีกครั้งด้วยการดึง กาเบรียล เชซุส กับ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ สองผู้เล่นจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีม

การมาของ ซินเชนโก้ ที่ทักษะยอดเยี่ยมและเล่นได้หลากหลายทำให้ อาร์เตต้า สามารถปรับการเล่นของ ชาก้า ได้อย่างที่เคยคิดเอาไว้กับการมีส่วนร่วมในเกมรุกมากขึ้น

ชาก้า เปลี่ยนบทบาทและพื้นที่การเล่นขยับสูงกว่าเดิมเพื่อช่วยคอยปั้นเกมรุกร่วมกับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่, มาร์ติน โอเดการ์ด และ บูคาโย่ ซาก้า 

ตรงกลางที่เหลือ โธมัส ปาร์เตย์ ปักหลักคนเดียวก็มี ซินเชนโก้ ขยับจากแบ็กเข้ามาช่วยในสไตล์ 'Inverted full-back' ที่ทำให้แดนกลางยังคงมีความสมดุล และมีมิติมากขึ้นด้วยการจ่ายบอลและความคล่องตัวของแข้งชาวยูเครน 



ชาก้า สัมผัสบอลเฉลี่ย 59 ครั้งต่อ 90 นาทีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุด น้อยกว่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 91 ครั้งต่อ 90 นาทีใน 6 ฤดูกาลแรก

ทว่าได้สัมผัสบอลในเขตโทษคู่แข่งทั้งหมด 112 ครั้ง ซึ่งเท่ากับ 6 ฤดูกาลก่อนรวมกันเลยทีเดียว และนั่นนำมาซึ่งการยิงได้ถึง 7 ประตูในลีกและ 9 ประตูจากทุกรายการ  

การสอดเข้าเขตโทษของ ชาก้า กลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธเด็ดของทีมปืนใหญ่ในฤดูกาลล่าสุด เขามีส่วนร่วม 16 ประตู (9 ประตู และ 7 แอสซิสต์) มากสุดในอาชีพค้าแข้ง และจาก 9 ประตูที่ยิงได้ก็เป็นการยิงในเขตโทษทั้งหมด ต่างจาก 6 ฤดูกาลแรกที่มีเพียง 4 ประตูในเขตโทษ ที่เหลืออีก 10 ประตูมาจากนอกเขตทั้งหมด 

กองกลางวัย 30 ปี ได้รับคำชมอย่างมากกับผลงานในฤดูกาลล่าสุดซึ่งอันที่จริงต้องบอกว่าได้รับยกย่องอย่างจริงๆ จังๆ เสียทีหลังก่อนหน้านี้มีความลักลั่นในแบบความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ เป็นเหมือนเหรียญสองด้านที่มีทั้งคำชมและคำด่าตีคู่มาพร้อมกัน

นอกจากผลงานอันโดดเด่นแล้ว ชาก้า ได้ใบเหลืองเพียงแค่ 4 ใบเท่านั้น และไม่ได้ใบแดงเลยตลอดฤดูกาลซึ่งนับว่าเป็นผิดวิสัยอย่างมาก

การขยับมาเล่นเกมรุกมากขึ้นทำให้ลดความเสี่ยงในการตัดฟาวล์ได้ไม่น้อย แต่กระนั้นเมื่อถึงเวลามาคุ ชาก้า ก็พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์เสมอเหมือนเช่นหลังเกมกับ สเปอร์ส ที่วิ่งกลับไปช่วย อารอน แรมส์เดล ที่โดนแฟนบอลไก่เดือยทองปีนลงจากอัฒจันทร์มาเล่นงาน 

และที่สำคัญสุดคือ การกลับมาเป็นขวัญใจแฟนบอลอีกครั้งในแบบที่คงไม่มีใครจินตนาการได้เลยเมื่อนึกถึงวันที่เขาถอดปลอกแขนกัปตันทีมเขวี้ยงทิ้ง 

จากคนที่แฟนบอลก่นด่า และสาปแข่งสารพัด กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลร้องเพลงส่งเสียงชียร์ได้อย่างไม่มีความขุ่นข้องหมองใจใดๆ เจือปน และต่างใจหายไปตามๆ กันในวันที่อำลาสโมสร


  กรานิต ชาก้า ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์จนถึงนัดสุดท้ายในการเล่นให้ อาร์เซน่อล ที่เขาเป็นเหมือนพระเอกของงานและได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง 

เส้นทางชีวิตของ กรานิต ชากับ ตลอด 7 ปีกับ อาร์เซน่อล ทำให้เราได้เรียนรู้หลายอย่าง 

ชีวิตคนเราผิดพลาดกันได้ทั้งด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทั้งด้วยเพราะตัวเอง หรือสิ่งรุมเร้าจากรอบข้าง 

แต่หลังจากเกิดขึ้นแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป? 

เราจะเลือกเดินหนี และทิ้งสิ่งต่างๆ ไว้ข้างหลัง หรือเลือกเผชิญหน้ากับผลการกระทำของตัวเอง และพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น  

  ชาก้า เลือกอย่างหลัง เขาเลือกแก้ไขความผิดพลาดตัวเองด้วยสองมือและสองเท้า บวกกับหัวใจอันแข็งแกร่งที่ช่วงแรกต้องทนกับแรงเสียดทานงมหาศาล 

เงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน สิ่งที่ ชาก้า เลือกสามารถเป็นแนวทางสำหรับหลายคนได้ 

มันเป็นทางเลือกที่ไม่ง่าย แต่เมื่อคุณทำสำเร็จ สิ่งที่ได้รับมันไม่ใช่แค่เสียงปรบมือจากรอบข้าง แต่มันคือการเอาชนะใจตัวเองที่ไม่ยอมหนีปัญหาเพียงเพราะว่าเป็นทางออกที่ง่ายที่สุด



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด