วิธีการปูทางสู่ความสำเร็จแบบ “ฉลามชล” ถูกหลายสโมสรนำไปเป็นแม่แบบทั้งการจัดการแบบมืออาชีพ การสร้างนักเตะระดับเยาวชนให้มีคุณภาพ และแฟนบอลที่สร้างสีสันไม่ต่างจากลูกหนังต่างประเทศ
จากนั้น ชลบุรี สวมบทพระรองมากกว่าพระเอก เพราะส่วนใหญ่จบอันดับด้วยตำแหน่งรองแชมป์ในปี 2008, 2009, 2011,2012 และ 2014
โดยเฉพาะปี 2008, 2009 และ 2014 พวกเขามีแต้มตามหลังทีมแชมป์อย่าง การไฟฟ้า PEA,เมืองทอง ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แค่ 2 และ 3 แต้มตามลำดับเท่านั้น
จากนั้นสโมสรมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อปล่อยนักเตะระดับเทพออกจากสโมสรหลายคนทั้ง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล, สุทธินันท์ พุกหอม หรือ ณัฐพงษ์ สมณะ
ขณะที่ เทิดศักดิ์ ใจมั่น และ พิภพ อ่อนโม้ ก็ประกาศแขวนสตั๊ด ก่อนจะสวมบทป๋าดันนักเตะดาวรุ่งในอคาเดมีขึ้นมาเป็นแกนหลัก ทำให้ทีมค่อยๆ กลายสภาพเป็นสโมสรระดับกลางตาราง
ด้วยงบประมาณทำทีมที่ลดลง ทำให้ช่องว่างระหว่าง ชลบุรี กับทีมเงินหนาอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ ถูกขยับห่างออกไปเรื่อยๆ
แต่สุดท้ายไม่มีใครกล้าตัดชื่อ “ฉลามชล” ออกจากสารบบลุ้นแชมป์ไทยลีก
โดยเฉพาะในฤดูกาล 2023/24 สโมสรมีการแต่งตั้ง มาโกโตะ เทกุระโมริ เข้ามาคุมทีมแทน อดุล หละโสะ อดีตกองกลางระดับตำนานที่เข้ามาขัดตาทัพแทนที่ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ในช่วงปลายซีซั่นที่ผ่านมา
ฝีมือของ “โค้ชเทกุ” ไม่ได้ไก่กาเลย เคยพา เวกัลตะ เซนได คว้าแชมป์เจทูในปี 2009 และเคยพาทีมจบรองแชมป์เจลีก เมื่อปี 2012
จากนั้นได้โอกาสขยับขึ้นไปคุมทีมชาติญี่ปุ่น รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และพาทีมคว้าแชมป์เอเชีย ในปี 2016 เคยเป็นมือขวาของ วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช และ อากิระ นิชิโนะ พาพลพรรค “ซามูไรบลู” ชุดใหญ่ ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่รัสเซียมาแล้ว
นอกจากนี้ยังพา บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้รองแชมป์ไทยลีก ปี 2021/22 หลังเข้ามาคุมทีมในเลก 2 มีคะแนนตามหลัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แค่ 2 แต้ม และพา “เดอะ แรบบิท” ไปถึงรอบ 8 ทีมฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ก่อนแพ้ให้กับ อูราวะ เรด ไดม่อนส์ 4-0 ก่อนที่ทีม “ปีศาจแดงแห่งเอเชีย” จะก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ในบั้นปลาย
การมาคุมทีม “ฉลามชล” ของ “โค้ชเทกุ” มีการเน้นสร้างสภาพร่างกายให้ฟิตปั๋ง ส่วนระบบการเล่นเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะนักเตะ ชลบุรี เล่นฟุตบอลด้วยระบบและเป็นฟุตบอลสมัยใหม่อยู่แล้ว
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่า “ฉลามชล” เบนเข็มมาล่าแชมป์บอลถ้วยทั้งสองรายการ นั่นคือภารกิจแรกของ “โค้ชเทกุ” กับ ชลบุรี ที่ต้องทำให้ได้
แต่อีกภารกิจที่สำคัญเหมือนกันคือการพัฒนานักเตะพลังหนุ่มให้เค้นฟอร์มเทพ การเล่นรุกและรับต้องไปด้วยกัน รวมถึงดึงฟอร์มแข้งลูกหม้ออย่าง สิทธิโชค ภาโส ให้กลับมาโชว์ฟอร์มเทพให้ได้อีกครั้ง
ต้องยอมรับว่า “เจ้าย้า” เป็นนักเตะที่พรสวรรค์สูง ผ่านการไปเล่นในญี่ปุ่นมาแล้ว น่าเสียดายที่ฤดูกาลที่ผ่านมามีอาการบาดเจ็บหนักรบกวน
ล่าสุดเจ้าตัวสลัดอาการเดี้ยงกลับมาเรียกความฟิตในช่วงปรีซีซั่นกับเพื่อนร่วมทีมแล้ว และกำลังรีดน้ำหนัก 8 กิโลกรัม พร้อมสร้างกล้ามเนื้อให้แกร่ง
หาก “โค้ชเทกุ” ปลุก “เจ้าย้า” ให้กลับมาอยู่ในร่างเทพ เชื่อว่าอาวุธในการล่าตาข่ายให้ทีมจะมีมากขึ้น นั่นทำให้โอกาสที่จะคว้าชัยชนะในแต่ละเกมย่อมเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
อีกคนคือ เบน เดวิส กองกลางสายอินดี้ที่หมดสัญญากับ อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด และย้ายมาร่วมทีม ชลบุรี แบบถาวรในฤดูกาลนี้
กองกลางลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ล้มเหลวไม่เป็นท่าในการค้าแข้งในไทยลีกฤดูกาลที่ผ่านมากับ การท่าเรือ เพราะส่วนใหญ่เขาลงสนามเป็นตัวสำรองและแทบไม่คายพิษสงหรือปล่อยทีเด็ดออกมาได้เลย
แต่การมาอยู่ในรั้ว “ฉลามชล” น่าจะทำให้เขามีสมาธิและไม่กดดันตัวเองจนเกินไป แถมในทีมก็มีผู้เล่นอายุไล่เลี่ยกันอีกด้วย โดยเฉพาะ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ที่คาดว่าจะเป็นคู่ดูโอ้ในการสร้างสรรค์เกมรุกให้กับทีมในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง
หาก “โค้ชเทกุ” สามารถพา “ฉลามชล” คว้าแชมป์บอลถ้วยสักรายการและปลุก “เจ้าย้า” และ “เบน เดวิส” กลับมาอยู่ในฟอร์มที่เปล่งประกายอีกครั้ง เขาจะได้รับการซูฮกเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแน่
นี่แหละคืองานที่ท้าทายและภารกิจลับ พร้อมเป็นการพิสูจน์ฝีมือกุนซือชาวญี่ปุ่นคนนี้อย่างแท้จริง แต่ทั้งนี้นักเตะต้องพิสูจน์ตัวเองเหมือนกัน
เพราะต่อให้ได้โค้ชระดับเทวดามาคุมแต่นักเตะไร้ความกระหายก็ไม่มีประโยชน์
