โดยเลือก 2 สนามด้วยกัน ประกอบไปด้วย สนามกีฬากลาง จ.ระยอง และ ระยอง สเตเดี้ยม หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ สนามมาบข่า รวมถึงชื่อสนาม พีทีที สเตเดี้ยม ซึ่งเคยผ่านการในลีกสูงสุดของเมืองไทยมาแล้วในฤดูกาล 2019 ทว่าซีซั่นต่อมาประกาศพักทีมอย่างไม่มีกำหนด
ย้อนกลับไปก่อนเปิดฤดูกาล 2020 ทางบอร์ดบริหารของทีมให้เหตุผลว่า ทีมประสบปัญหาเรื่องการบริหารที่ขาดทุน อีกทั้งการทำสโมสรห้ำหั่นลีกอาชีพไม่ใช่งานถนัดของกลุ่ม ปตท. ทว่าทางกลุ่มฯ ยังคงให้การสนับสนุน พีทีที อคาเดมี เพื่อพัฒนานักเตะเยาวชนต่อไป
นับจากวันนั้นก็ 4 ปีแล้ว ที่แฟนบอลต่างถวิลหาสนามแห่งนั้น ซึ่งมีช่วงหนึ่งที่ฟุตบอลระดับเยาวชน ยูธ ลีก ไปแข่งขันกันที่สนามดังกล่าว ปรากฏว่า สนามยังเนี้ยบและเนียนกว่าเดิมมาก อีกทั้งเก้าอี้สำรองไม่มีร่องรอยชำรุด เพราะยังมีผ้าคลุมเอาไว้อย่างดี แม้จะผ่านแดดลมฝนมาหลายฤดูกาลก็ตาม
สนามดังกล่าวตั้งอยู่ที่ ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เริ่มต้นก่อสร้างในช่วงปี 2554 ด้วยงบประมาณสูงถึง 150 ล้านบาท และเนรมิตเป็น "ฟุตบอล สเตเดี้ยม" ภายใน 1 ปีเท่านั้น โดยส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างที่มาจากเหล็ก ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลทั่วทั้งประเทศ ก่อนใช้ชื่อ พีทีที สเตเดี้ยม
ด้วยการอยู่ภายใต้การดูแลของปตท. แม้ว่า พีทีที ระยอง จะยุบไปแล้ว แต่ทางบริษัทก็ไม่ปล่อยให้สนามที่สามารถจุแฟนบอลได้ราว 16,000 คน ไปให้สโมสรอื่นมาเช่าใช้ เพราะเคยมีหลายครั้งที่มีกระแสข่าวทีมโน้น ทีมนี้ เคยอยากจะมาขอใช้สนามแห่งนี้ เป็นรังเหย้าชั่วคราว
ซึ่งสนามนี้มีความทรงจำดีๆ หลายเรื่อง โช่นดยเฉพาะการสร้างบุคลากรวงการลูกหนังไทย อย่าง “โค้ชโจ” ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ที่เข้ามาคุมทีมตั้งแต่ฤดูกาล 2017 ก่อนพาทีมคว้าแชมป์เอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ เมื่อปี 2018 พร้อมคัมแบ็คสู่ลีกสูงสุดในรอบ 5 ปี
นอกจากนี้อดีตกองกลางทีมชาติไทย ที่ถือกำเนิดใน จ.ชลบุรี แถมเคยลงสนามให้กับ “ฉลามชล” และ ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด ยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นกุนซือรายแรกของสโมสรแห่งนี้ ด้วยการคุมทีมถึง 100 นัด ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้ จนทุกวันนี้ยังถูกพูดถึงอยู่เลย
รวมทั้งนักเตะที่พวกเขาปั้นจากโนเนม ให้กลายมามีชื่อเสียง และก้าวไปติดทีมชาติไทย มาแล้ว ทั้ง พีระพงษ์ เรือนนินทร์ ผู้รักษาประตูจอมหนึบ ที่อยู่ในช่วงรักษาอาการบาดเจ็บ จากการถูก หนองบัว พิชญ เอฟซี ยืมตัวจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปเฝ้าเสาเลกสอง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
สหรัฐ กันยะโรจน์ ก็เป็นหนึ่งในแข้งที่สร้างชื่อกับ “พลังเพลิง” ซึ่ง "โค้ชโจ" เป็นผู้ค้นพบจาก ลำพูน วอริเออร์ ที่ตอนนั้นอยู่ในลีกรากหญ้า และดึงตัวมาอยู่กับ ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด ก่อนมาช่วย พีทีที ระยอง เลื่อนชั้นในปี 2018 ซึ่งซีซั่น 2019 เขางัดเทคนิคส่วนตัวจนเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอล รวมทั้งติดทีมชาติไทย ยู 23 ชิงแชมป์เอเชีย ปี 2016 มาแล้ว
“เมสซี่ปากน้ำ” พรปรีชา จารุนัย ที่มีเท้าซ้ายอันทรงพลัง มีความคล่องตัวสูง ทักษะดี มีความเร็ว และมีระเบียบวินัยสูง ก็เป็นอีกคนที่ยกระดับตัวเองขึ้นมาตอนอยู่กับทีมนี้ รวมทั้ง อับดุลฮาฟิส บือราเฮง เป็นแข้งที่ถูก "โค้ชโจ" ปั้นให้กลายเป็นวิงแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของลีกพระรองเมื่อ 5 ฤดูกาลก่อน จนได้ตามไปร่วมงานที่ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี
อีกเรื่องที่ยังเป็นสถิติของสโมสรถึงวันนี้ ก็คือเกมไทยลีก 2019 สัปดาห์ที่ 22 นัดที่ ''พลังเพลิง'' พีทีที ระยอง เปิดบ้านแพ้ ''ปราสาทสายฟ้า'' บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ส.ค. 62 แมตช์ดังกล่าวมีการเปิดเผยยอดแฟนบอลของทั้ง 2 ทีม ที่เข้ามาชมภายในสนามพีทีที สเตเดี้ยม อยู่ที่จำนวน 10,822 คน
ถือเป็นสถิติยอดแฟนบอลที่เข้าชมเกมมากที่สุด ณ สนามพีทีที สเตเดี้ยม นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ทำลายสถิติเดิมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 56 ศึกฟุตบอลถ้วย รายการ เอฟเอ คัพ 2013 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ''พลังเพลิง'' เปิดบ้านพบกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด โดยเกมนั้นมียอดจำนวนผู้ชมอยู่ที่ 10,046 คน
อย่างไรก็ตามแฟนบอลไทยจะได้ตามเชียร์ทัพ "ช้างศึก" ยู 23 พร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงาม กับบรรยากาศที่สนามถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติโดยรอบ ทั้งหมด 3 เกม ในรอบแบ่งกลุ่ม ประกอบด้วย 17 ส.ค. พบ เมียนมา, 19 ส.ค. พบ บรูไร และ 21 ส.ค. พบ กัมพูชา
เรียกว่าเป็นรายการที่น่าติดตาม พร้อมกับเป็นการการคืนชีพของสนาม พีทีที สเตเดี้ยม หรือ สนามมาบข่า ที่จะได้รับเกียรติใช้จัดเวทีระดับย่านอาเซียนงานแรก นับตั้งแต่ก่อสร้างรังแห่งนี้ขึ้นมาจากบริษัท ปตท. จำกัด อีกเสียด้วย
ต้องบอกว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง!!!
