แต่ก่อนจะถึงเกมดังกล่าวจะมีการโม่แข้งเรียกน้ำย่อยในศึกลูกหนัง “ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ” ระหว่าง “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยอดทีมเบอร์ 1 ของเมืองไทยในปัจจุบันเจ้าของแชมป์ 3 รายการ ไทยลีก, รีโวคัพ และช้าง เอฟเอคัพ พบกับ “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด พระรองแชมป์ ไทยลีก และ ช้าง เอฟเอคัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โดยจะฟาดแข้งที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน จากการเช็คจำนวนบัตรเข้าชมล่าสุดพบว่าตอนนี้บัตรชมเกมฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตอนนี้ถูกจองใกล้จะหมดแล้ว ส่วนบัตรชมเกมทางฝั่ง “แข้งเทพ” ยังเหลือพอให้แฟนบอลได้เข้าไปเป็นเจ้าของ
เกมนี้ถือเป็นเกมเช็คความพร้อมครั้งสุดท้ายก่อนเจอของจริงในฤดูกาลใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเล่นของทั้ง 2 ทีม ที่จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน เพราะช่วงปิดฤดูกาลทั้งคู่ต่างเสียนักเตะตัวหลักออกจากทีม
“ปราสาทสายฟ้า” จะขาด ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ปีกขวาที่ไปล่าฝันในยุโรป ทำให้แฟนบอล “เซราะกราว”
อยากเห็นแข้งใหม่ โดยเฉพาะในรายของ นิโคเลา ดูมิทรู ดาวเตะที่เคยโลดแล่นในเวที กัลโช ซีเรีย อา อิตาลี กับ นาโปลี
โดย นิโคเลา จะเข้ามาทดแทน “ต้าวแบงค์” อดีตนักเตะขวัญใจด้อม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของสถิติท็อปแอสซิสต์ไทยลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วได้หรือไม่?
รวมถึงการมาของ รามิล เชย์ดาเยฟ หัวหอกทีมชาติอาเซอร์ไบจาน ที่เข้ามาแทนหัวหอกเลือดร้อนอย่าง โจนาธาน โบลินกิ
ขณะที่ “แข้งเทพ” ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไล่ตั้งแต่ในแนวรับไม่มี ไมเคิล ฟาลเคสการ์ด มือกาวที่หมดสัญญากับทีมหลังจบฤดูกาลที่ผ่าน ทำให้ ปฏิวัติ คำไหม กับ วรุฒ เมฆมุสิก จะต้องแย่งกันเป็นมือ 1 ของทีมในฤดูกาล
ส่วนในแนวรุกที่เป็นจุดขายจะไร้เงา วานเดอร์ หลุยส์ ปีกเลือดแซมบ้าโชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักยาว ขณะที่ เฮเบอร์ตี้ แฟร์นันเดส กองหน้าเจ้าของดาวซัลโวประจำทีม และเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลไทยลีก จำนวน 159 ประตู ออกไปหาความท้าทายใหม่กับ ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ยอดทีมเบอร์หนึ่งของวงการลูกหนังมาเลเซีย
ต้องยอมรับว่า “แข้งเทพ” เป็นทีมที่มีเกมรุกดุดันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของทีม ในอดีตพวกเขาไม่เคยขาดแคลนเครื่องจักรสังหารประตูและตัวสร้างสรรค์เกมระดับอ๋อง ไม่ว่าจะเป็น ดราแกน บอสโควิช, สรรวัชญ์ เดชมิตร, สุมัญญา ปุริสาย, มาริโอ ยูรอฟสกี้,วานเดอร์ หลุยส์ และ เฮเบอร์ตี้ แฟร์นันเดส
เมื่อขาด 2 ดูโอ้แซมบ้าที่เป็น “เดอะ แบก” ในแนวรุกมาหลายปี ทำให้สโมสรจัดการคว้า บาสเซล จราดี้ เข้ามาร่วมทีม เพื่อหวังเป็นจิ๊กซอว์เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป
โดยดาวเตะดีกรีทีมชาติเลบานอนจะทำหน้าที่ประสานงานกับ มาห์มูด ดาฮัดฮา และ วิลเลน โมต้า ที่กวักมือเรียกฟอร์มเก่ง ยิงประตูได้ต่อเนื่องในช่วงท้ายฤดูกาล จนทำให้ เฮเบอร์ตี้ ต้องหลุดไปเป็นตัวสำรอง
จราดี้ เป็นชาวเลบานอนครอบครัวย้ายไปอยู่เดนมาร์ก ทำให้เขาผ่านการติดทีมชาติเดนมาร์ก ชุดเยาวชนมาตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 16 จนถึงรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี โดยอยู่ร่วมรุ่นเดียวกับ อันเดรส คริสเตนเซน, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด และ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก ซึ่งก้าวมาเป็นกำลังสำคัญของทัพ “โคนม” ในปัจจุบัน
ต่อมาเขาจะถูกเรียกตัวติดทีมชาติเลบานอนชุดใหญ่ เมื่อปี 2015 และลงเล่นไปทั้งหมด 15 นัดด้วยกัน
เส้นทางการค้าแข้งระดับสโมสรของมิดฟิลด์วัย 30 ปี เล่นให้กับหลายสโมสรชั้นนำในเดนมาร์กและนอร์เวย์ ก่อนจะถูก ไฮจ์ดุ๊ก สปลิต ทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศโครเอเชียคว้าตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2018/2019 โดยลงเล่นไปทั้งหมดรวมทุกรายการ 81 นัด ยิงไป 7 ประตู
จากนั้นในฤดูกาล 2021/2022 จราดี้ได้ย้ายไปร่วมที พอลลอน ลิมาสซอล ในลีกไซปรัส ซึ่งเขามีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ลีกตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมา ด้วยผลงานลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 18 นัด ยิงได้ 3 ประตู และ 1 แอสซิสต์ และฤดูกาลที่ผ่านมาทำได้ 3 ประตู
การได้สวมหมายเลข 10 ให้กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เป็นการการันตีกลายๆ ว่าเขาจะเป็นจุดศูนย์กลางในแนวรุกของทีมในฤดูกาลหน้าภายใต้ระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ของ “โค้ชแบน” ธชตวัน ศรีปาน ในการลงฟาดแข้งในฟุตบอลในประเทศ 3 รายการ และได้ลงเล่นในฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มอีกด้วย
แน่นอนว่าเขาจะเป็นความหวังใหม่ในการสร้างสรรค์เกมและเป็น “ตัวแบก” ในการยิงประตูของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเขาจะกลบหลุมดำที่ 2 ดูโอแซมบ้าทิ้งไว้ในแนวรุกได้หรือไม่ ผลงานในสนามจะเป็นคำตอบให้แฟนบอล “แข้งเทพ” และคอบอลไทยได้เห็นเอง
จะของจริงหรือของปลอมเดี๋ยวได้รู้กัน แต่บอกได้คำเดียวว่า ฟุตบอลไทย ไม่ง่าย ถ้าฝีเท้าไม่เจ๋งพอรอดยาก
เดิมพันนี้สำคัญต่ออนาคตของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ในฤดูกาลใหม่ยิ่งนัก
