จริงอยู่ที่ว่าผู้เล่น “ขาเข้า” พวกเขาจะมีแค่ 6 รายคือ ทริสตอง โด, สุวิทย์ ไปพรมราช, ณัฐวัฒน์ โทบ้านซ้ง, ฌอง บิลลง, ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร และ สเตฟาน เชโปวิช

จริงอยู่ที่ว่าผู้เล่น “ขาออก” พวกเขามี 7 ราย แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็น “กำลังหลัก” ทั้งสิ้น (ไม่นับ เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่ถูกปล่อยไปญี่ปุ่นอีก 1 ราย)

ทำให้สิ่งที่ตอบได้ดีคือซีซั่นนี้จะมีแข้ง “ดาวรุ่ง” ของ มาริโอ ยูรอฟสกี ขึ้นมาอาละวาดในไทยลีกอย่างแน่นอน

เอาเข้าจริงการทำทีมที่เน้น “ดาวรุ่ง” เป็นแกนหลักอาจถูกใจสาวกกิเลนผยอง หรือเป็นแนวทางของสโมสรอยู่แล้ว ตามฉบับงบน้อย

แต่ในแง่ผลลัพธ์นี่สิ ผู้เล่นใหม่หรือเหล่าแข้งละอ่อนที่ถูกดันขึ้นมา จะตอบโจทย์และ “ทดแทน” แข้งหน้าเดิมที่ออกไปได้หรือไม่

ไล่กันตั้งแต่ตำแหน่งผู้รักษาประตู มือ 1 ในฤดูกาลที่แล้วคือ ปฎิวัติ คำไหม แต่เมื่อหมดสัญญายืมตัวก็กลับถิ่น ทรู แบงค็อกฯ ส่วน กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ สภาพร่างกายก็ยังไม่พร้อมสำหรับลงเล่น ส่วน พีระพงษ์ เรือนนินทร์ ที่เพิ่งกลับมาจากยืมตัว ก็ยังมีอาการบาดเจ็บ

ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงดาวรุ่งอย่าง โสภณวิชญ์ รักญาติ ที่ถูกดึงกลับมา และน่าจะถูกดันเป็นมือ 1 ในช่วงระหว่างที่ พีระพงษ์ ยังสภาพร่างกายไม่พร้อม ทำให้นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ตัวเองบนเวทีไทยลีกของนายด่านวัย 22 ปีเลย

กองหลัง การปล่อยทั้ง ลูคัส โรชา กับ เยสเปอร์ นีโฮล์ม ออกไป แม้จะได้ ฌอง บิลลง แนวรับทีมชาติแคเมอรูน ดีกรีลีกยุโรป แต่เอาเข้าจริงเขาเองก็แทบไม่มีเกมลงเล่น บวกกับเกมอุ่นเครื่องที่พอเห็นฟอร์มบ้าง ก็ยังไม่ได้สร้างความต่างหรือดีกว่า โรชา หรือ นีโฮล์ม แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญกว่าคือ “พาร์ตเนอร์” ของ บิลลง ซึ่งมีดาวรุ่งอย่าง ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ กับ ชาติชาย แสงดาว เป็นตัวเลือก รวมถึง ธีรภัทร เลาหบุตร ซึ่งเป็นหน้าที่ของ มาริโอ ว่าจะเลือกใช้งานใครที่ลงตัวกับ บิลลง มากที่สุด

แบ็ก 2 ฝั่ง เป็นอีกตำแหน่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงในปีนี้ทั้งหมด หลังเสียทั้ง สุพร ปินะกาตาโพธิ์ และ บุญทวี เทพวงค์ ไป

ฝั่งขวา การได้ ทริสตอง โด กลับคืนถิ่นอาจเป็นเรื่องที่ดี แม้เจ้าตัวจะไม่มีเกมลงเล่นกว่า 6 เดือน แต่สภาพร่างกายเขายังดีเยี่ยม ความกระหายในการลงเล่น ขึ้นสุด-ลงสุด ปัญหาอย่างเดียวของ โด คือ การตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายที่ยังคงขาด ๆ เกิน ๆ และหวังว่าจะได้รับการแก้ไข ส่วนอีกคนคือ ชยพล ทรัพย์มา ที่กลับจากสัญญายืมตัว

ฝั่งซ้ายหลังปล่อย กฤษณ์พรหม บุญสาร และ และ โรนัน เปลยจ์เมน ทีมได้ตัว สุวิทย์ ไปพรมราช กับ ณัฐวัฒน์ โทบ้านซ้ง เข้ามา ซึ่งจากการที่ดูฟอร์มเกมอุ่นเครื่อง ก็ยังถือว่าไม่ได้โดดเด่นหรือ “ดูดี” กว่าเจ้าของตำแหน่งเดิมนัก

แบ็กทั้ง 2 ข้างจึงเป็น “การบ้าน” ที่ มาริโอ ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน ว่าจะทำเช่นไรให้ลงตัวทั้งเกมรุกและรับ

กองกลางน่าจะเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แกนหลักอย่าง พิธา อุทรา, วีระเทพ ป้อมพันธุ์ ยังยืนเป็นแกนหลัก ส่วนตำแหน่งตัวรุกของ ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ ที่ถูกปล่อยออกไป แม้จะได้ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร เข้ามา ทว่าสภาพร่างกายของ “เจ้ากัน” ยังคงไม่พร้อมลงเล่นในเร็ววันนี้ ทำให้คาดว่าดาวรุ่งอย่าง คคนะ คำยก รวมถึง ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท จะมีบทบาทกับทีมอย่างสูงในฤดูกาลนี้

ตัวริมเส้นเป็นปีที่ทั้ง เอริค โจฮานา ถูกปล่อยตัว และ เอกนิษฐ์ ปัญญา ไปเจลีก ทำให้เหลือแค่ วิลเลียม ป็อปป์ เป็นแกนหลัก ถึงกระนั้นทีมยังมี เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ และ ปรเมษฐ์ อาจวิไล ทดแทนไร้ปัญหา

ส่วนกองหน้าตัวเป้าที่เป็นปัญหาของทีมตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมา ได้ สเตฟาน เชโปวิช เข้ามา น่าสนใจว่าจะอุดรอยรั่วและตอบโจทย์ในพื้นที่สุดท้ายของทีมได้หรือไม่ แม้เกมกับ ทรู แบงค็อกฯ เจ้าตัวจะประเดิมประตูแรกไปแล้ว แต่นั่นยังใช้วัดอะไรไม่ได้

ภาพรวมทีมปัจจุบันขณะ อาจไม่ได้ดูแกร่งกว่าทีมชุดฤดูกาลที่ผ่านมา แต่หาก มาริโอ ใช้วัตถุดิบที่มีได้ถูกลักษณะ ปรุงออกมารสชาติกลมกล่อม

เมืองทอง อาจเป็นหนึ่งใน “ม้ามืด” ที่ลุ้นบี้บรรดาบิ๊กทีมหัวตารางได้สบาย ๆ