:::     :::

เอาฤกษ์เอาชัยก่อนลุยของจริง

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายคว้าแชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในปีนี้ไปครอง หลังดวลจุดโทษชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างสุดระทึกในเกมบิ๊กแมตช์ที่สนามเวมบลีย์

เป็นเกมที่สู้กันได้สนุกและสมศักดิ์ศรีของสองทีมที่ทำผลงานดีสุดในฤดูกาลที่แล้ว และน่าจะขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอีกครั้งในฤดูกาลใหม่ที่กำลังเปิดฉาก

แมนฯ ซิตี้ น่าจะปิดจ๊อบคว้าแชมป์ได้ในเวลา 90 นาที หลังขึ้นนำก่อนจาก โคล พาลเมอร์ สำรองดาวรุ่งที่ซัดไกลงามหยด 

แต่ อาร์เซน่อล ไม่ถอดใจไล่ตามตีเสมอได้ในนาที 101...อ่านไม่ผิดครับ นาทีที่ "101" 

ไม่ใช่การต่อเวลาแต่เป็นเป็นช่วงทดเจ็บของเวลาปกติที่ผู้ตัดสินบวกเพิ่มจากตอนแรกชูป้าย 8 นาทีออกไปอีกหลังต้องหยุดปฐมพยายามให้กับ ไคล วอล์คเกอร์ และ โธมัส ปาร์เตย์ ที่ชนกันจนหัวแตกทั้งคู่

ปืนใหญ่ตามทวงคืนได้หวุดหวิดก่อนเป็นฝ่ายพลิกชนะในการดวลจุดโทษทำให้คว้าโล่การกุศลสมัยที่ 17 ไปครอง 

แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในครั้งนี้มีความหมายต่อ อาร์เซน่อล มากเพียงใด คำตอบคือ "มากเป็นพิเศษ"

จริงอยู่ว่ารายการนี้ไม่มีผลใดๆ ต่อตารางคะแนนในฤดูกาลใหม่ และเป็นเหมือนเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายก่อนของจริงจะเริ่มในอีกหนึ่งสัปดาห์

แต่สำหรับทีมปืนใหญ่ พวกเขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งเพราะมองว่านี่คือเกมใหญ่ที่มีข้อดีมากมาย และเป็นมากกว่านัดอุ่นเครื่องทั่วไป 

มิเกล อาร์เตต้า จึงจัดชุดที่ดีสุดลงสนาม และน่าจะเป็นตัวจริงที่จะใช้งานในนัดแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ที่จะเปิดบ้านต้อนรับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม

ไค ฮาแวร์ตซ์ เบียด เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ลงยืนหน้าเป้าแทน กาเบรียล เชซุส ที่บาดเจ็บ ปีกขวา-ซ้ายเป็นสองดาวรุ่งตัวเก่ง บูคาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่

เดแคลน ไรซ์ เจ้าของค่าตัวสถิติสโมสรประสานงานในแดนกลางร่วมกับ โธมัส ปาร์เตย์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด 

ขณะที่ ยูร์เรียน ทิมเบอร์ อีกหนึ่งแข้งใหม่ถูกโยกมาเล่นแบ็กซ้ายอีกนัดหลังผลงานเข้าตาตั้งแต่นัดอุ่นเครื่องกับ บาร์เซโลน่า ต่อด้วยเอมิเรตส์ คัพ กับ โมนาโก ส่วนอีกสามตำแหน่งในแผงหลังเป็นชุดตัวจริงจากฤดูกาลที่แล้วรวมถึงนายทวาร อาร่อน แรมส์เดล 


3 แข้งใหม่ปืนได้ฉลองแชมป์ทันที

ฝั่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นำมาโดย เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์, แจ็ค กรีลิช, แบร์นาร์โด้ ซิลวา และตัวใหม่ มาเตโอ โควาซิช แต่ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นเพียงสำรองเพราะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากอาการบาดเจ็บตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่แล้ว

เป๊ป จัดชุดดีสุดเท่าที่จัดได้เช่นกันเพราะก็ต้องการคว้าแชมป์เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากฤดูกาลที่แล้ว และเป็นการแก้ตัวจากที่เคยอกหักในรายการนี้มาสองปีติด

ในช่วงเริ่มต้น 15 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายครองบอลบุกได้มากกว่า และมีลุ้นจากการยิงไกลของ โรดรี้ ที่แฉลบออกหลัง 

แต่จากนั้น อาร์เซน่อล เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ และสร้างโอกาสลุ้นประตูได้ชัดเจนกว่าโดยเฉพาะสองจังหวะสำคัญของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ซัดตรงกรอบได้แล้ว ทว่าติดเซฟ สเตฟาน ออร์เตก้า 

ปืนใหญ่พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดายเพราะน่าเป็นฝ่ายขึ้นนำในครึ่งแรกจากการที่สร้างโอกาสได้ดีกว่า ขณะที่เกมรับก็จัดการแนวรุกของซิตี้ได้อยู่หมัด

แต่ต้นครึ่งหลังที่เกมของ แมนฯ ซิตี้ ยังต่อบอลตามถนัดไม่ได้ เป๊ป จึงแก้เกมก่อนด้วยการส่ง ฟิล โฟเด้น ตามด้วย เควิน เดอ บรอยน์ และ โคล พาลเมอร์ ลงสนามแทน กรีลิช, โควาซิช และ ฮาแลนด์ ที่เล่นไม่ออกมากนักโดยเฉพาะรายหลังที่ได้สัมผัสบอลเพียง 12 ครั้ง และไม่มีโอกาสลุ้นยิงประตูเลย

โฟเด้น ลงมาพร้อมความขยันในการไล่บอลและมีส่วนพลิกสถานการณ์ให้ทีมขึ้นนำแย่งบอลได้จาก ปาร์เตย์ ในแดนตัวเองก่อนเปลี่ยนจากรับเป็นรุกส่งต่อให้ โคล พาลเมอร์ แตะเข้าในหนี คีแรน เทียร์นีย์ ก่อนปั่นเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม


ทรอสซาร์ เป็นฮีโร่ให้กับ อาร์เซน่อล

เกมของซิตี้เริ่มดีขึ้น ขณะที่การเบรกเกมของ อาร์เซน่อล ทำได้น้อยลงเพราะ ปาร์เตย์ กับ ฮาแวร์ตซ์ ติดเหลืองตั้งแต่ครึ่งแรก ต่อด้วย กาเบรียล มากัลเญส หลังผ่านหนึ่งชั่วโมงไปนิดเดียว

ทว่าด้วยความฟิตที่ดีกว่าทำให้ อาร์เซน่อล ยังคงเดินหน้าลุยต่อเนื่อง และ 4 จาก 5 ตัวสำรองที่ลงช่วงท้ายล้วนเป็นตัวรุกซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าต้องการประตูตีเสมอ และก็มาทำได้สำเร็จในการทดเจ็บนาทีที่ 11

ถือว่ามีโชคเล็กน้อยกับลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ที่แฉลบ มานูเอล อคานจี เปลี่ยนทางเข้าประตู ขณะที่ ออร์เตก้า ทิ้งตัวไปอีกฝั่งแล้ว

แต่ก็เป็นความพยายามโชคดีที่มาจากความพยายามอย่างเต็มที่ และไม่ยอมแพ้หากยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดยาว 

อาร์เซน่อล ได้รางวัลตอบแทนกับประตูที่หวุดหวิดจวนเจียนจะหมดเวลาอยู่แล้ว และเมื่อเข้าสู่การดวลจุดโทษตัดสินก็เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าซึ่งแน่นอนว่ากำลังใจจากการตามตีเสมอน่าจะมีผลไม่น้อย

แชมป์โล่การกุศลในครั้งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ อาร์เซน่อล ก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างมาก พวกเขาเอาชนะทีมที่เก่งและแกร่งที่สุดในปัจจุบัน และเป็นทีมที่ทำให้ต้องฝันค้างวืดแชมป์แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่แล้ว

อาร์เซน่อล แทบไม่เคยเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในเกมสำคัญได้เลยในช่วงหลายปีหลัง นับเฉพาะในลีก เรือใบสีฟ้าเอาชนะได้ตลอด 12 นัดหลังสุดซึ่งเป็นสถิติที่ข่มกันราวฟ้ากับเหว และมีเพียงเอฟเอ คัพ รอบตัดเชือกในปี 2020 ที่ปืนใหญ่ได้รับการชูมือบ้าง


เดอ บรอยน์ ยังไม่ฟิตเต็มที่นัก

แต่เกมนี้ อาร์เซน่อล ปลดล็อกชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้อีกครั้งในสนามเวมบลีย์ และเป็นเกมที่ แรมส์เดล บอกว่าเหมือนปลดเปลื้องบางสิ่งบางอย่างที่ฝังอยู่ในใจออกไปได้ และทำให้เชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นว่าสามารถเอาชนะซิตี้ได้ 

อาร์เซน่อล ต้องการชนะในเกมนี้มากกว่า แมนฯ ซิตี้  

ต้องการชนะเพื่อเยียวยาความผิดหวังจากฤดูกาลที่แล้ว และเรียกความมั่นใจก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่

ต้องการชนะทีมที่เคยแพ้ทางมาตลอดไม่ว่าจะพยายามเพียงใดหรือมีฤดูกาลที่ดีที่สุดแค่ไหนก็ตาม

และต้องการชนะเพื่อ "แฟนบอล" ซึ่งหนุนหลังทีมอย่างเต็มที่แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ภาพแฟนบอลที่กระโดดสุดตัวจนสนามแทบพังในวินาทีที่ตีเสมอได้ ภาพของทุกคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในวินาทีที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ชูถาดแชมป์ฉลอง 

ภาพเหล่านี้ทำให้ อาร์เซน่อล ตระหนักมากยิ่งขึ้นว่าแม้เป็นแค่คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก็มีความหมายต่อแฟนบอลและสโมสรมากเหลือเกิน มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างทางก่อนก้าวไปถึงปลายทางที่ยิ่งใหญ่ 

และมันยังทำให้นักเตะใหม่ไม่ว่าจะเป็น ไรซ์, ฮาแวร์ตซ์ และ ทิมเบอร์ ได้เข้าใจและรับรู้มากยิ่งขึ้นว่าแฟนบอลอยากจะเห็นทีมประสบความสำเร็จมากขนาดไหน และนั่นคือสิ่งที่แข้งใหม่ทั้งสามต้องพยายามช่วยทีมอย่างเต็มที่เพื่อทำความฝันของแฟนบอลให้เป็นจริง 


เรือใบกับปืนใหญ่ขับเคี่ยวกับสนุกอีกครั้งแน่นอนในฤดูกาลใหม่

ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ การพลาดแชมป์ครั้งนี้แม้น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าส่งผลต่อฤดูกาลใหม่ที่กำลังมาถึงซึ่งตัวอย่างที่พวกเขาแพ้ในเกมการกุศลสองครั้งหลังแต่สุดท้ายได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเหมือนเดิมก็ยืนยันได้เป็นอย่างดี

ทีมของ เป๊ป จบฤดูกาลที่แล้วล่าช้าด้วยการที่ลุ้นแชมป์ 3 รายการจนถึงนัดสุดท้าย ทำให้เริ่มต้นปรีซีซั่นช้ากว่าทุกทีม ความฟิตและจังหวะการเล่นยังไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก 

แต่ทุกคนรู้ แมนฯ ซิตี้ ทีมนี้มีคุณภาพชั้นยอดอยู่แล้ว แค่รอวันติดเครื่องก็เดินหน้าได้เต็มตัว และเมื่อถึงเวลานั้นก็ยากที่ใครจะหยุดได้

แน่นอนพวกเขาว่าจะเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งและน่ากลัวที่สุดของ อาร์เซน่อล อีกครั้งอย่างแน่นอนในฤดูกาลใหม่นี้



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด