ณ ขณะที่ จู๊ด เบลลิ่งแฮม โดดเด่นอย่างที่สุด ได้รับเสียงชื่นชมจากทุกสารทิศ , อูเลเรียง ชูอาเมนี่ ได้เป็นตัวจริงทุกนัด,เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ได้ออกสตาร์ท 11 คนแรก 2 จาก 3 เกม ก็เป็นเวลาเดียวกันที่ โทนี่ โครส ได้ลงเล่น 120 นาที และ ลูก้า โมดริช เป็นสำรองทั้ง 3 เกม รวมเวลาอยู่ในสนามเพียง 58 นาที 

เห็นได้ชัดว่าซีซั่นนี้ ทั้ง โครส และ โมดริช กำลังสูญเสียบทบาทสำคัญภายในทีมเรอัล มาดริด ไป ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขามาก่อน 

นอกเหนือจากการวางระบบการเล่น นำแท็คติกใหม่มาใช้แล้ว สิ่งที่ คาร์โล อันเชล็อตติ ต้องทำควบคู่ไปพร้อมๆกันก็คือการพูดคุยทำความเข้าใจกับ โครส และ โมดริช  

อันเชล็อตติ เข้าใจฟุตบอลอย่างถ่องแท้ เขาตระหนักว่าบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้เป็นเทรนเนอร์จะยอมสูญเสียไป นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาไม่ส่ง เกป้า ลงสนามตั้งแต่เกมกับ อัลเมเรีย แต่ให้ อังเดร ลูนิน เล่นเป็นตัวจริงต่อ

แต่ปัญหาในตำแหน่งผู้รักษาประตูดูจะไม่ยุ่งยากอะไรนัก หากเทียบกับการบริหารจัดการในแดนกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ อันเชล็อตติ รู้ดีว่ามันจะมาถึงในสักวัน และวันนี้มันได้มาถึงแล้ว 

ย้อนกลับไปช่วงหน้าร้อนปี 2022 อันเชล็อตติ เริ่มสังเกตได้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเรียก โครส,โมดริช และ กาเซมีโร่ เข้าพูดคุยกันที่ ลอส แองเจิลลิส ระหว่างทัวร์ที่สหรัฐอเมริกา เพื่ออธิบายว่าบางทีพวกเขาทั้ง 3 จะต้องแบ่งโอกาสลงสนามให้กับรุ่นน้องอย่าง ชูอาเมนี่,วัลเวร์เด้ และ กามาวินก้า มากขึ้น 

ทว่าการอำลาไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ กาเซมีโร่ ทำให้ต้องเปลี่ยนแผน อันเชล็อตติ จำต้องพึ่งพา โครส กับ โมดริช ในการเป็นผู้นต่อำ จนกระทั่งฤดูกาลนี้ เมื่อทีมได้ จู๊ด เบลลิ่งแฮม เพิ่มเข้ามาในแดนกลางอีกคน อันเชล็อตติ จึงพูดคุยกับ โครส และ โมดริช อีกครั้ง เพื่อย้ำว่า “มันถึงเวลาแล้ว” 

มีรายงานว่า อันเชล็อตติ พยายามอธิบายเรื่องโอกาสลงสนามที่จะลดน้อยลงกับ โครส และ โมดริช อยู่เป็นระยะ เพื่อเป็นการย้ำเตือน เพราะเขารู้ดีว่าเรื่องนี้ ต่อให้เป็นมืออาชีพแค่ไหนก็ยังอ่อนไหวและเข้าใจได้ยากทุกคน 

ถึงแม้ โครส กับ โมดริช จะไม่ใช่นักเตะเจ้าปัญหา แต่ต้องเข้าใจว่าตลอดช่วง 1 ทศวรรษหลังมานี้ ทั้งคู่คุ้นเคยกับการเป็นตัวเลือกแรกอยู่เสมอ พวกเขาคือแกนหลักที่นำทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ กวาดทุกแชมป์มาครอบครอง 

อันเชล็อตติ รู้ดีว่าต่อให้ผ่านศึกเหนือเสือใต้มามากแค่ไหน ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ สำหรับนักเตะบางประเภทก็ไม่มีวันที่จะยอมหมดไฟและถอยห่างออกจากสปอร์ตไลท์ได้ง่ายๆ 

ที่รู้ ก็เพราะเขาเองเมื่อสมัยค้าแข้งก็เคยเป็นนักเตะประเภทนั้น 

ตอนเล่นให้ เอซี มิลาน อันเชล็อตติ ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆวันนึง ฟาบิโอ คาเปลโล่ ถึงให้โอกาสเขาน้อยลง และค่อยๆเพิ่มโอกาสให้กับนักเตะอายุน้อยที่ชื่อว่า เดเมตริโอ อัลแบร์ตินี่ 

อันเชล็อตติ ถามตัวเองว่าเขาด้อยกว่าตรงไหน ? ถึงแม้จะอายุมากกว่า แต่อายุไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้มีอะไรด้อยกว่า อัลแบร์ตินี่ เลยในแง่คุณภาพ 

จนก้าวขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์เองเขาถึงเข้าใจ ไม่มีนักเตะคนไหนที่คิดว่าตัวเองด้อยกว่า และเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี พูดคุยทำความเข้าใจแต่เนิ่นๆ ยืนยันกับ โครส และ โมดริช ว่าถึงเวลาแล้วที่ทีมจะต้องเปลี่ยนไปสู่เจนเนอเรชั่นใหม่  แต่ทั้งคู่ยังเป็นนักเตะคนสำคัญของทีม เพียงเเต่บทบาทในปีนี้จะแตกต่างออกไป 

อันเชล็อตติ ให้คำมั่นว่าทั้งคู่ยังอยู่ในแผนการทำทีม และเมื่อไหร่ที่โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลยุโรปเริ่มขึ้น เมื่อทีมต้องลงเล่นสัปดาห์ละ 2 เกม เมื่อนั้นโอกาสของทั้งคู่จะมากขึ้น 

เวลานี้ สถานการณ์ยังอยู่ภายใต้การควบคุม ปัญหายังไม่เกิด เหตุผลมี 3 ข้อ 

1.นี่ยังเป็นช่วงต้นฤดูกาล เพิ่งผ่านการแข่งขันมาแค่ 3 เกม 

2 ผลงานของทีมดีชนะรวดทั้ง 3 นัด 

3 ผลงานของนักเตะที่ อันเชล็อตติ เลือกลงสนามนั้นเป็นที่ประจักษ์ว่าคู่ควรกับการเป็นตัวจริง โดยเฉพาะ จู๊ด เบลลิ่งแฮม

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เช่นนี้ ไม่สามารถนิ่งไปได้ตลอด ทั้ง โมดริช และ โครส ไม่มีใครชอบม้านั่งข้างสนาม อันเชล็อตติ ต้องพยายามรักษาบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวให้ราบรื่นต่อไป ซึ่งน่าติดตามอย่างยิ่งกว่า เขาจะมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร เพื่อหล่อเลี้ยงบรรยากาศดีๆให้คงอยู่ไปตลอดรอดฝั่ง สมฉายา ‘มิสเตอร์แปซิฟิก’ (สงบสุข) ที่ทุกคนยกย่อง

เจมส์ ลา ลีกา