ตัดสินอนาคต
แม้จะเป็นแค่ทัวร์นาเมนต์ “อุ่นเครื่อง” สำหรับแฟนบอลทั่วไป แต่สำหรับคนเป็นกุนซืออย่าง มาโน โพลกิง รายการนี้เขาต้องใส่มันสมองทุกอย่างที่มี เพื่อพาทีมคว้าแชมป์ให้ได้
การพบกับชาติอย่าง เลบานอน อิรัก หรือ อินเดีย ไม่ใช่งานง่ายเหมือนเพื่อนบ้านอาเซียน (จริง ๆ ตอนนี้เจออาเซียนก็ไม่ง่าย) แต่สำหรับเขาแล้วไม่มีชอยส์อื่นให้เลือก
เพราะมี มาซาทาดะ อิชิอิ นั่งคอยอยู่แล้ว
จริงอยู่ตามหน้าสื่อที่ถูกเปิดปากออกมา อิชิอิ รับตำแหน่งประธานพัฒนาเทคนิคทีมชาติไทย บทบาทของเขาคือการสเกาต์ข้อมูลผู้เล่น ไม่ใช่คุมทีม
แต่วงการฟุตบอลไทย ก็เห็นอะไรแบบนี้มานักต่อนักไม่ใช่หรือ ?
ประธานเทคนิค ที่ถูกแต่งตั้งมา ไม่นานจะกลายสภาพเป็นกุนซือเอง มาโน เองทำงานอยู่ในวงการลูกหนังไทย มีหรือจะไม่รู้วิธีแบบไทย ๆ
การประกาศแต่งตั้งประธานเทคนิคตอนช่วงต้นเดือน โดยที่คนเป็นกุนซือยังงงไม่รู้เรื่องว่าทำอะไรกัน จนต้องรอปลายเดือนที่ทั้ง มาโน และ อิชิอิ ถึงได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกันในเรื่องแผนงานการทำทีมชาติ
ใครมองว่าเรื่องแบบนี้ “ปรกติ” ก็แล้วแต่เลย…
นั่นหมายความว่า คิงส์ คัพ หนนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ มาโน อย่างแท้จริงว่าเขาเหมาะที่จะไปต่อในการคุมทีมชาติไทยลุยฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และ เอเชียนคัพ ที่กำลังจะมาถึงหรือไม่
จึงไม่แปลกที่การเรียกตัวหนนี้ มาโน จะจัดเต็มจริง ๆ เพราะเดิมพันสูง ทั้งผู้เล่นที่รู้ตำราใช้งานดี หรือนักเตะที่กำลังฟอร์มดีปัจจุบัน
จนทำให้ครั้งนี้ เสียงแฟนบอลเอาใจยากบางกลุ่มค่อนข้างเบาลง เพราะมีแข้งที่แฟน ๆ มองว่าควรติดมาอยู่ในทีมชาติไทย
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายสำหรับ มาโน คือการไม่สามารถใช้งานคีย์แมนคนสำคัญอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ได้ จากอาการบาดเจ็บในเกมลีกล่าสุด จนต้องเรียกตัว เบนจามิน เดวิส มาแทนที่
เวลาที่เหลืออีกกว่า 1 สัปดาห์ มาโน เองต้องรีดศักยภาพผู้เล่น ระดมหัวช่วยกัน ทำอย่างไรก็ได้เพื่อพาช้างศึกเชือกนี้คว้าแชมป์
หากคว้าถ้วย คิงส์ คัพ มาครองได้ มีความสำเร็จติดไม้ติดมือ มันก็เปรียบเสมือน “วีซ่า” ให้เขาได้รับโอกาสทำงานต่อในรายการอื่น ๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อาจลดลง
แต่หาก “ไม่ได้แชมป์” สิ่งที่เขาต้องเจอคือกระแสถาโถมจากทั้งสื่อมวลชน รวมถึงแฟนบอลหลายคนที่ยังไม่มั่นใจในตัวเขา
เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก จะยิ่งเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้เกิดการ “เปลี่ยนแปลง” ในตำแหน่งเก้าอี้กุนซือ ก่อนทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกจะเริ่ม
เพราะทุกการตัดสินจากนี้อยู่ในดุลยพินิจของ ผู้จัดการทีมชาติไทย นายจ้างเขานั่นเอง
แม้ว่าตัว มาโน ยังมีสัญญากับทีมชาติไทยจนถึงเดือน มี.ค. 2024 และตัวเขาเองก็ออกมายืนยันว่าต้องการทำงานจนครบสัญญา แต่ในวงการฟุตบอลไทย เรื่องแค่นี้ถือว่า “ขี้ปะติ๋ว”
จ้างได้ ก็ ยกเลิกได้
มาโน อยู่เมืองไทยมาเป็น 10 ปีย่อมรู้แก่ใจดี