:::     :::

แข้งตราไก่คนแรกผู้วางรากฐานให้ เชลซี

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม 2566 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
397
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เมื่อครั้งแรกเริ่มที่ฟุตบอล อังกฤษ เปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดจาก ดิวิชั่น 1 มาเป็น พรีเมียร์ลีก เหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน การหานักเตะต่างชาตินั้นต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย

แม้กระทั่ง ฝรั่งเศส ที่เป็นประเทศที่ใกล้ที่สุดใช้เวลาเดินทางข้ามทะเลไม่นานก็ยังมีตัวแทนไม่มากในแดนผู้ดี, เอริก คันโตน่า สมัยที่อยู่กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด (ก่อนย้ายมา แมนฯ ยูไนเต็ด) ยังเป็นผู้เล่นจากแดนน้ำหอมเพียงรายเดียวในฤดูกาล 1992/93 

ถึงวันนี้ผ่านไปราว 30 ปี ต้องบอกว่านอกจากนักเตะของ อังกฤษ เองแล้ว ก็มีนักเตะ ฝรั่งเศส นี่เหลือที่มีมากเป็นลำดับต้นๆ ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นชึ้นในช่วงกลางยุค 90 เมื่อหลายคนเดินทางมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

ฟร้องค์ เลอเบิฟ สถาปนาตัวเองเป็นแข้งจากแดนน้ำหอมคนแรกที่มาอยู่กับ เชลซี และคงไม่เกินไปหากจะบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ช่วยยกระดับฟุตบอลอังกฤษให้มีทุกวันนี้


เซนเตอร์คนดังเผยว่าการเป็นคนแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของการสื่อสาร แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ปรับตัวและเป็นกำลังสำคัญของสโมสรได้สำเร็จ

"กฎบอสแมนเกิดขึ้น 2-3 เดือนก่อนและเมื่อ รุด (กุลลิท) โทรมาผมก็เพียงแค่ตอบว่า "ได้ เอาสิ ผมจะไป" เลอเบิฟ รำลึกความหลัง "ผมเป็นผู้เล่น ฝรั่งเศส คนแรกที่ย้ายมาที่นี่ และไม่มีผู้เล่น ฝรั่งเศส มาสักพักกระทั่ง แบร์กนาร์ ลัมบูร์กส์ ย้ายมา"

"ผมไม่มีคน ฝรั่งเศส ให้พูดด้วย และนั่นคือปี 1996 ดังนั้นไม่มี โซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค, ไม่มีอะไรเลย นั่นทำให้ผมเรียนภาษาอังกฤษอย่างเร่งด่วนและผมก็ได้ค้นพบวัฒนธรรมอีกแบบ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก"


"ตอนที่ผมมาถึงที่นี่ภาษาอังกฤษของผมแย่มาก ผมคุยได้นิดหน่อยเพราะผมเคยเรียนจากหลักสูตรที่โรงเรียนมา 7 ปี แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนภาษา ผมมักจะอ่านหนังสือพิมพ์ดีๆ อยู่เสมอ แต่ผมไม่อยากให้มันยากเกินไป ผมจึงอ่าน เดลี่ เมล และดูทีวีที่มีคำบรรยายเทเลเม็กซ์ 888 แบบเก่า"

"มันเป็นวิธีที่ผมจะเรียนรู้ แล้วจากนั้นผมก็สื่อสารและมีปฎิสัมพันธ์กับผู้คนหลายคน ผมสงสารทุกคนเลยโดยเฉพาะ เทอร์รี่ เบิร์น ที่เป็นนักกายภาพ เพราะผมถามเขาตลอดว่า 'นี่ต้องพูดว่าอะไร?, นี่หมายความว่าอะไร?'"

"การเรียนรู้ภาษาเป็นสิ่งที่น่าสนใจเพราะคุณค่อยๆ เข้าใจวัฒนธรรมของผู้คนดีขึ้นและความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องเรียนรู้เมื่อคุณต้องการโต้ตอบกับผู้คนอย่างเหมาะสม"

"ที่ อาร์เซน่อล, บรรดาตำนานชาวฝรั่งเศส พวกเขาไม่พูดภาษาอังกฤษ พวกเขาคุยแค่ภาษาฝรั่งเศสกันเอง กับผม ผมไม่มีปัญหานั้น ผมเรียนภาษาอิตาลี และ อังกฤษ ซึ่งนั่นก็สมบูรณ์แบบสำหรับผม"


แน่นอนว่า เลอเบิฟ ไม่ได้อยู่คนเดียวนาน หลังจากนั้นก็มีนักเตะ ฝรั่งเศส หลายคนที่ย้ายตามกันมาทั้ง โลร็องต์ ชาร์เว่ต์, ดิดิเยต์ เดส์ช็องส์, แบร์กนาร์ ลัมบูกร์ก และ มาร์แซล เดอไซยี่ ซึ่งเขาคือคนที่มีประสบการณ์อยู่ที่ อังกฤษ มาก่อนและนำมาแนะนำให้เพื่อนร่วมชาติได้

"มันไม่ใช่กลุ่มที่อยู่กันเอง ผมพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น ผมจำได้ว่า จานลูก้า (วิอัลลี่), จานฟรังโก้ (โซล่า), โรแบร์โต้ (ดิ มัตเตโอ), แดน เปเตรสคู ที่เล่นใน อิตาลี รวมถึง รุด ที่เป็นโค้ชด้วย ในระหว่างทานอาหารกลางวันพวกเขาจะพูด อิตาลี แต่ เดนนิส ไวส์ ทุบโต๊ะแล้วพูดว่า 'ที่นี่ ทุกคนต้องพูด อังกฤษ หรือไม่อย่างนั้นก็หุบปากไป' ผมจำได้ดีและคิดว่าเขาพูดถูก"

"ดังนั้นเมื่อ มาร์แซล เดอไซยี่ มาถึง ผมบอกกับเขาว่าถ้าอยากพูด ฝรั่งเศส กับผมให้ถามผมก่อน แต่ผมไม่ต้องการให้คนอื่นคิดว่าเราพูดภาษาของเราเพื่อพูดถึงพวกเขาหรือทีม ผมไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมเราถึงพูด ฝรั่งเศส ดังนั้นเราหลีกเลี่ยงมัน แม้ว่าจะมีแค่ผมกับ มาร์กแซล เราก็คุยภาษาอังกฤษกัน นั่นคือการให้ความเคารพ มันสำคัญมากที่จะไม่แบ่งแยกพวกเรากับนักเตะคนอื่น"


"ผมคิดว่ามีช่วงหนึ่งที่เรามีนักเตะมากถึง 15 เชื้อชาติ ดังนั้นวัฒนธรรมมันต่างกันมาก เพื่อที่จะให้ทุกคนเข้ากันคุณต้องปรับเข้ากันทีละเล็กละน้อย มันคือสิ่งที่เราทุกคนทำ ผมจำได้ผมซื้อบ้านหลังอยู่ที่นี่ได้หนึ่งปี ผมเชิญทุกคนมาฉลองพิธีคริสเตียนนิ่ง ปาร์ตี้ซึ่งทุกคนก็มา ผมอยากจะขอขอบคุณผู้เล่นและสโมสร เพราะมันเปลี่ยนชีวิตผมในทุกด้านจริงๆ"

"นั่นคือวิธีที่สโมสรเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะนักเตะที่เข้ามา รวมถึงเพราะ จอห์น เทอร์รี่, เดนนิส ไวส์ นักเตะบริติชทุกคนที่ตอบรับแนวคิดของเราด้วยเช่นกัน เราเป็นมืออาชีพอย่างมากและผมคิดว่าเรานำสิ่งนั้นมาและพวกเขาก็ตามเรา นั่นคือสิ่งที่เคมีเข้ากัน เพราะทุกคนตกลงที่จะปรับเข้าหากันและเราก็พร้อมฟัง นั่นคือวิธีที่เราเติบโตมาด้วยกัน"

"ช่วงเริ่มต้นเป็นอะไรที่ถือเป็นประสบการณ์แต่ผมได้ยินชื่อเสียงของนักเตะอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส, แดน เปเตรสคู, เดนนิส ไวส์, สตีฟ คล้าร์ก, ดิมิทรี คารีน - ผมรู้จักคนพวกนี้ จากนั้น โรแบร์โต้ ก็ย้ายเข้ามา แน่นอนผมรู้จักเขา, จานลูก้า, รุด, จานฟรังโก้ ย้ายตามมา ผมรู้จักทุกคนและผมคิดว่าบางอย่างดำเนินไปอย่างถูกต้อง"


"ผมไม่รู้ว่ามันได้ผลรึเปล่าจนกระทั่งเราได้แชมป์เอฟเอ คัพ, ผมตระหนักว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เราฉลองกันชั่วโมงครึ่งที่เวมบลีย์กับแฟนๆ มีบางอย่างเกิดขึ้น วันต่อมาที่ ฟูแล่ม โร้ด มีแฟนบอลมากกว่าหมื่นคน ผมคิดว่า 'มันยิ่งใหญ่มาก บ้าไปแล้ว'"

"เคมีชนิดหนึ่งถูกสร้างจากสิ่งนั้น หลังจาก 26 ปี ของการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และหลังจากนั้นเราก็ได้แชมป์ ลีก คัพ, คัพ วินเนอร์ส คัพ, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ ในขณะเดียวกันผมก็ได้แชมป์โลกด้วย"

"หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมก็รู้ว่าชีวีตผมเปลี่ยนไป แต่ชีวิตของผมเปลี่ยนไปพร้อมกับชีวิตของแฟนๆ ที่เปลี่ยนไปด้วย เพราะตอนนี้เราเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จแล้ว เราไม่ใช่แค่ทีม แต่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้แชมป์อะไรเลย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์แบบกับแฟนบอล เชลซี และประวัติศาสตร์ของสโมสร เพราะเราอยู่บนเส้นทางเดียวกัน"

"ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเราเปลี่้ยนแปลงสิ่งต่างๆ แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เราต้องยอมรับมันโดยปราศจากการโอ้อวดว่าเราได้สร้างรากฐานใหม่ของ เชลซี, ผมเคยคุยกับ ปีเตอร์ ออสกู้ด บ่อยๆและเขาก็เล่าให้ฟังว่าแฟนๆ รอคอยถ้วยรางวัลมาเป็นเวลานานแค่ไหนนับตั้งแต่เขาได้แชมป์เมื่อต้นทศวรรษที่ 70"


"ภายใน 5 ปี เราเปลี่ยนธรรมชาติของ เชลซี แม้แต่เป็นศัตรูทีมใหม่เพราะเราเริ่มทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล หงุดหงิดแล้ว เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ นั่นคือการคว้าแชมป์"

ความสำเร็จของสโมสรมากจากกำลังหลักจาก ฝรั่งเศส ที่มี เลอเบิฟ, เดอไซยี่ และ เดส์ช็องส์ ที่สร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาใหม่ด้วยการเอาชนะ อิตาลี คว้าแชมป์ยูโร 2000 มาครอง และมีการถ่ายภาพร่วมกัน หลังจากที่ก่อนหน้านั้นไม่นานทั้งสามคนก็ถายรูปร่วมกันที่ เวมบลีย์ หลังทีมชนะ แอสตัน วิลล่า ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ

"มันยอดเยี่ยมมาก มันตลกดีเพราะเราถ่ายภาพที่ เวมบลีย์ เพราะมีนักเตะ ฝรั่งเศส อยู่ 2-3 คนที่เล่นให้ เชลซี สำหรับแฟนบอลชาวฝรั่งเศส ดังนั้นหลังได้แชมป์ยูโร เราเลยถ่ายรูปนั้นให้กับแฟนบอล เชลซี"

"เราภูมิใจกับมัน ภูมิใจมากจริงๆ ที่ได้แชมป์กับทีมชาติ ในฐานะนักเตะ เชลซี มันสำคัญสำหรับผม ผมไม่เคยลืม เชลซี ยามที่ผมไปเล่นทีมชาติ ผมได้เขียนบทความทาง เดอะ ไทม์ส หนึ่งวันก่อนเกมชิงชนะเลิศโดยบอกว่าไม่ต้องกังวล ผมได้แชมป์กับ เชลซี ตอนนี้ผมจะคว้าแชมป์กับ ฝรั่งเศส และเราก็ทำสำเร็จ!"


เลอเบิฟ อำลาทีมในปี 2001, วิลเลี่ยม กัลลาส และ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ ย้ายมาค้าแข้งกับทีมแห่งลอนดอนตะวันตกสานต่อสิ่งที่เขาได้เริ่มเอาไว้ นับตั้งแต่นั้นก็มีนักเตะมากมายทั้ง โคล้ด มาเกเลเล่, นิโกล่าส์ อเนลก้า, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ก็ได้เขียนเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ของ เชลซี"

ปัจจุบันมีนักเตะ ฝรั่งเศส 6 คนอยู่ในทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ โดย 4 รายเป็นกองหลังอย่าง เบอนัวต์ บาเดียชิล, อักเซล ดิซาซี่, เวสเล่ย์ โฟฟาน่า, มาโล กุสโต บวกกับ เลสเล่ย์ อูโกชุควู และ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู ที่เป็นแนวรุก

"ผมจำได้ช่วงเวลที่ผมเป็นนักเตะ ฝรั่งเศส เพียงคนเดียว ผมไม่ได้มองมันว่าเป็นความภูมิใจของสโมสรเพราะเรามีนักเตะฝรั่งเศส"

"ผมชอบ ดิซาซี่, ผมได้ยินเขาพูดว่าเข้าต้องการสร้างผลกระทบต่อทีมเหมือนอย่างที่ผมทำซึ่งมันเยี่ยมมาก ผมต้องขอบคุณเขาสำหรับสิ่งนั้น แต่ผมไม่สนใจว่าจะลงเล่น สำหรับผมสโมสรสำคัญกว่านักเตะ"

"ผมมีช่วงเวลาของผม ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว มันเป็นมรดก ถ้า ดิซาซี่ และ บาเดียชิล รวมถึงคนอื่นทำอย่างเต็มที่เพื่อสโมสรและพาสโมสรไปสู่ระดับท็อป เราจะรักพวกเขามากๆ เลย ผมรักพวกเขาอยู่แล้วเพราะพวกเขาเซ็นสัญญากับ เชลซี แต่ผมจะรักพวกเขายิ่งขึ้นอีก!"



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด