ทำให้เขากลายเป็นกุนซือต่างชาติคนที่สองของสโมสรแห่งนี้ ต่อจาก มาซามิ ทากิ ที่เคยเข้ามาทำทีมในฤดูกาล 2021/22 ทว่าตอนนั้นผลงานของกุนซือชาวญี่ปุ่นกลับไม่เป็นไปตามที่บอร์ดบริหารสโมสรคาดหวังไว้ โดยห้วงเวลาดังกล่าวเขาพาทีมลงแข่งเกมลีกไป 13 นัด ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 8 เก็บได้ 9 แต้ม รั้งอันดับ 14 ของตาราง
อีกทั้งยังพาทีมร่วงตกรอบ 64 ทีมสุดท้าย ของโทรฟี่ เอฟเอ คัพ ด้วยการบุกพ่าย สมุทรปราการ ซิตี้ 1-4 ทำให้โดนปลดกลางคัน ซึ่งการเข้ามาของ โบซิดาร์ บันโดวิช จะเป็นการเดิมพันสูงขนาดไหนของบอร์ดบริหาร “ต่อพิฆาต” เราลองมาวิเคราะห์กันดู
ผ่านประสบการณ์ในเมืองไทยมาแล้ว
พีที ประจวบ เอฟซี ถือเป็นสโมสรที่ 4 ในไทยลีกของเจ้าตัว ต่อจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (สองรอบ), โปลิศ เทโร เอฟซี และศรีสะเกษ เอฟซี โดยกุนซือชาวมอนเตเนโกรเคยพาทัพ "ปราสาทสายฟ้า" คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 2 สมัยติดต่อกัน ในฤดูกาล 2017 และ 2018
ด้วยความที่รู้จักนักเตะไทยอยู่พอสมควร ทำให้ “บอสโก้” รู้ว่าแข้งคนไหนมีศักยภาพในด้านใด ประกอบกับทัพ “ต่อพิฆาต” มีผู้เล่นที่มีขีดความสามารถไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น ประสิทธิ์ จันทุม มิดฟิลด์มันสมอง, สหรัฐ กันยะโรจน์ จอมทัพเทคนิคสูง, นพพล พลคำ ฮาร์ดแมนแดนกลาง
นัสตพล มาลาพันธ์ ปราการหลังกัปตันทีม ที่เคยร่วมงานช่วงสั้นๆกับเขาที่ “ปราสาทสายฟ้า” รวมทั้งตัวนอกชั้นดีอย่าง แอร์ตอน ติราบาสซี, ซามูเอล โรซ่า, แดร์เลย์, ฌอน ซาเบตการ์ ก็น่าจะทำให้ พีที ประจวบ กลมกล่อมขึ้นในการกลับมาลุยไทยลีก และฟุตบอลถ้วย หลังจากผ่านฟีฟ่า เดย์ ของทีมชาติไทย
มีเวลาฟอร์มทีม 10 กว่าวันเพื่อปรับจูน
ในตอนนี้ พีที ประจวบ เอฟซี เรียกนักเตะกลับเข้าแคมป์ไปแล้ว หลังจากปล่อยทีมให้ได้พัก จากเกมบุกไปเสมอ โปลิศ เทโร เอฟซี 1-1 เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเวลานี้ทีมงานสตาฟฟ์คนไทย นำโดย “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ประธานเทคนิคที่ยังคงอยู่กับสโมสรต่อไป รวมทั้ง “โค้ชแขก” วีรยุทธ์ บินอับดุลเลาะมาน ผู้ช่วยโค้ชก็ทำหน้าที่วิเคราะห์และเสริมจุดแข็งให้กับนักเตะ เพื่อรอกุนซือใหม่ เข้ามาปรับแท็คติคให้กับทีม
ซึ่งนับจากวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา เชื่อว่าในระหว่าง 10 กว่าวันที่มีเวลาปรับจูนทีมนี้น่าจะเพียงพอต่อเกมต่อไปของ “ต่อพิฆาต” ที่จะเปิดบ้านสนาม สามอ่าว สเตเดี้ยม พบกับ อุทัยธานี เอฟซี วันที่ 22 ต.ค.นี้ และเชื่อในคำว่า “ฟุตบอลเปลี่ยนโค้ช” ทุกๆอย่างของทีมน่าจะมีทิศทางออกมาที่ดี โดยเฉพาะกับ 3 แต้มที่ต้องการในแมตช์ดังกล่าว
ทำทีมตามเจตนารมณ์ของ “นายกเกียร์”
ในวันเปิดตัวกุนซือคนใหม่ โบซิดาร์ บันโดวิช พูดไว้น่าสนใจมากๆ กับคำว่า “การกลับมาทำงานที่ไทยอีกครั้ง ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และดีใจ และก็มีความคุ้นเคยกับฟุตบอลไทยมาเป็นอย่างดี รวมไปถึงตัวผู้เล่นบางคนก็เคยร่วมงานกันมาก่อน”
“โดยส่วนตัว ก็อยากพัฒนาและดึงศักยภาพของนักเตะออกมาให้ได้ และในการเลือกมาคุมทัพพีที ประจวบนั้นผมได้มีการพูดคุยกับท่านประธานสโมสรแล้วว่าผมต้องการเข้ามาพัฒนาทีมสู่เป้าหมายที่วางไว้ให้ได้ โดยในเลกแรกก็พยายามเน้นเกมต่อเกม ทำงานกันไปทีละนัด แก้ไขข้อผิดพลาดและพัฒนาไปพร้อมกันทั้งผู้เล่น สตาฟฟ์ทีมงาน รวมไปถึงตัวผมเองด้วย“
นั่นทำให้เห็นว่าเขาเองอยากจะพัฒนาทีมนี้ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ “นายกเกียร์”ทรงศักดิ์ ลิ้มอรุณรักษ์ ประธานสโมสร อยากจะเห็นออกมาในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทั้งในเรื่องของรูปแบบเกมรุกที่หลากหลาย และความเหนียวแน่นในการตั้งรับที่ต้องไม่เสียประตูง่ายอย่างที่ผ่านมา
แฟนบอล “ต่อพิฆาต” ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ก่อนมีการเปิดตัว กระแสในโลกโซเชียลมีการกล่าวถึงกันอย่างหนาหู มีหลายเพจที่รายงานข่าวนี้ หากลองไปดูในช่องคอมเมนต์รากฏว่า แฟนบอลเองก็ต่างให้การต้อนรับอดีตเทรนเนอร์ผู้คร่ำหวอดลูกหนังไทยรายนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลายความคิดเห็นต่างต้องการเห็นศักยภาพของเขา ว่าจะสามารถเข้ามายกระดับทีมได้มากน้อยเพียงใด และก็พร้อมจะให้โอกาสพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งเป็นการซื้อใจของกุนซือชาวมอนเตเนโกร ในการมาทำงานถิ่น สามอ่าว สเตเดี้ยม ในช่วงจากนี้ไปอย่างแท้จริง
แม้เขาเองเคยพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปราชัยจุดโทษให้กับ พีที ประจวบ เอฟซี ในรอบชิงชนะเลิศ ลีก คัพ 2019 มาแล้ว แต่ตอนนี้ โบซิดาร์ บันโดวิช เข้ามาอยู่ในครอบครัวของ “ต่อพิฆาต” แล้ว
และแม้จะเป็นการเดิมพันที่ยังไม่รู้ทิศทางของผลลัพธ์ ก็ยังเชื่อว่าทุกคนพร้อมให้การต้อนรับเขา และอยากให้เขาพิสูจน์ตัวเองนับจากนี้ไป
