:::     :::

พรแสวงของ "จู๊ด เบลลิงแฮม"

วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2566 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
813
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
"จู๊ด เบลลิงแฮม" ย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา พร้อมกับทำผลงานอย่างน่าประทับใจ

ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ คอยสร้างสรรค์เกม และยิงประตูให้กับพลพรรค “ราชันชุดขาว” อย่างต่อเนื่อง 

หากเหลือบมองไปที่สกอร์บอร์ด เราจะเห็นชื่อของจู๊ด เป็นหนึ่งในผู้ทำประตู ในแทบจะทุกเกมที่เรอัล มาดริด ลงแข่งขัน (รวมทุกรายการ) 


ความสำเร็จทั้งหมด ในการลงเล่นกับเรอัล มาดริด ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะการเริ่มต้นกับทีมที่เต็มไปด้วยความกดดันมหาศาล ถือเป็นเรื่องยาก อย่าลืมว่า จู๊ด มีอายุเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น หมายความว่า เขายังเหลือเวลาให้พัฒนาตัวเอง และเก็บเกี่ยวความสำเร็จอีกยาวไกล


นี่คือการสร้างทีมเพื่ออนาคตของเรอัล มาดริด อย่างแท้จริง โดยมีดาวเตะพรสวรรค์สูงรายนี้ เป็นแกนกลางสำคัญ อย่างไรก็ตาม การแจ้งเกิดในเวลาอันรวดเร็วของจู๊ด ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ และโชคชะตาเพียงอย่างเดียว 


จู๊ด ต้องผ่านการทำงานหนัก และปฏิบัติตนด้วยความเป็นมืออาชีพ ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก โดยเฉพาะการปักหมุดที่เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ปัจจัยที่กล่าวมา ช่วยหล่อหลอมให้เขาพัฒนาขีดความสามารถ จนแซงหน้าเพื่อนรุ่นเดียวกันไปไกล 


หนึ่งคนที่ย้อนความทรงจำ เกี่ยวกับการเพาะบ่มของจู๊ด ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า “เป็ป คลอเท็ต” อดีตผู้จัดการทีมเบอร์มิงแฮม ซิตี้ โดยทั้งสองคนเคยร่วมงานกัน สมัยที่จู๊ด ก้าวมาเล่นทีมชุดใหญ่ 2019-20

เป็ป คลอเท็ต ออกมาเปิดเผยความประทับใจแรกที่เขามีต่อจู๊ด โดยบอกว่า นี่เป็นดาวรุ่งที่พรสวรรค์สูง ที่มีพรแสวงในการก้าวไปอยู่ในจุดที่สูงกว่า ช่วงเริ่มแรก จู๊ด ยังมีส่วนให้ต้องพัฒนาหลายจุด หมายรวมถึงเรื่องร่างกาย และเซนส์ในการเล่นฟุตบอล 


จากการทำงานอย่างหนัก ทำให้จู๊ด ก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านั้นไป พร้อมกับกลายเป็นเพชรเม็ดงามที่วงการลูกหนังต่างจับตามอง คลอเท็ต กล่าวว่า “ช่วงแรก เขายังคงต้องพัฒนาสภาพร่างกายอีกมากเลย เมื่อคุณเป็นนักเตะอายุน้อย คุณต้องจ้องมองที่ลูกบอลตลอดเวลา”


“จู๊ด ถือเป็นหนึ่งในนั้น เพราะเขารับข้อมูลของลูกฟุตบอลด้วยตาของเขาเอง แต่ทันทีที่เขาไปถึงระดับที่สูงขึ้น เขาได้รับข้อมูลนั้น ผ่านทางร่างกายของเขา เขาเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าสัมผัสบอลแบบนี้ ลูกบอลก็จะไปตรงนี้ หรือว่าเขาเลือกสัมผัสมันด้วยวิธีอื่น ลูกบอลก็จะพุ่งไปที่ที่แตกต่างออกไป” 


“จู๊ด เริ่มเงยหน้าขึ้นได้ พร้อมกับคอยดูว่า มีอะไรอยู่รอบตัวเขาได้มากขึ้น เขาเริ่มเรียนรู้กลยุทธ์ของเกมได้ หากให้เปรียบเปรย เหมือนกับคุณสามารถเล่นเปียโน โดยที่ไม่จำเป็นต้องก้มหน้าลงมองคีย์”


“การมีความสามารถทางเทคนิค ด้านการเคลื่อนไหวร่างกายหมายความว่าขณะที่ผู้เล่นคนอื่นได้ครองบอล และต้องใช้เวลาสักครู่ เพื่อตัดสินใจ สำหรับจู๊ด เขาสามารถมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาได้ทันที เขามองเห็นคู่แข่งที่กำลังมา ความเคลื่อนไหวของเพื่อนร่วมทีม”


“เพียงเสี้ยววินาที จู๊ด สามารถประมวลผลข้อมูลทั้งหมดได้ทันที” สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเรียนรู้ และนำไปใช้


คลอเท็ต ออกมายอมรับว่า เขาโดนคำสบประมาท และคำเตือนอย่างมากมาย เกี่ยวกับการดันเด็กอายุ 16 ปี อย่างจู๊ด ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ คนรอบข้างเตือนคลอเท็ต ด้วยว่าเขากำลังเจอกับความสุ่มเสี่ยง เนื่องจากจู๊ด ยังเด็กเกินไป และไม่น่าจะทนรับแรงกดดันในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ได้ไหว


อย่างที่กล่าวไป คลอเท็ต เล็งเห็นบางอย่างในตัวของจู๊ด นอกจากพรสวรรค์ นี่คือเด็กที่เปี่ยมไปด้วยพรแสวง คลอเท็ต บอกว่า เขาตัดสินใจเรียกจู๊ด เข้าร่วมเก็บตัวปรีซีซั่นกับทีมชุดใหญ่  เพียงไม่นานจู๊ด ก็แสดงความเป็นผู้ใหญ่ และเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว 


คลอเท็ต ย้อนความทรงจำว่า “จู๊ด เป็นเด็กที่เต็มไปด้วยแรงผลักดัน และความมุ่งมั่น ตอนที่เราอยู่ในโรงแรม จู๊ด คอยสนใจเรื่องอาหารที่เขาเลือกรับประทาน เมื่อเรามีเวลาพัก เขาก็จะพักผ่อน หรือทำงานตามแผนป้องกันการบาดเจ็บ”


“เขาทำงานหนักอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการไล่ตามความฝัน ความฝันแรกของเขาคือเล่นให้กับทีมบ้านเกิด เขาไล่ตามสิ่งนั้นตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่เราส่งเขาลงฝึกซ้อมในทีมชุดใหญ่ คุณจะเห็นเลยว่า เขาคือนักเตะที่คุณไม่จำเป็นต้องบอกอะไร 3-4 ครั้ง คุณบอกเขาครั้งหนึ่ง เขาก็ทำมันได้”


คลอเท็ต กล่าวเสริมว่า จู๊ด ไม่เพียงทำงานอย่างหนักในสนามซ้อมเท่านั้น เขายังทำงานอย่างหนัก ในส่วนของนอกสนามเช่นเดียวกัน ตั้งแต่เป็นดาวรุ่งของเบอร์มิงแฮม ซิตี้ - จู๊ด มักใช้เวลาร่วมกับ “อัลแบร์โต้ เอสโคบาร์” ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม 


; จุดประสงค์สำคัญคือ การดูฟุตเทจการเล่นของตัวเอง แบบซ้ำไปและซ้ำมา เพื่อเป็นการค้นหาจุดอ่อน และจุดที่ต้องนำไปปรับปรุง 


คลอเท็ต บอกว่า ในช่วงแรกนั้น ความกังวลหลักของทีมคือ การให้จู๊ด เข้าใจว่า ตำแหน่งการเล่นมีความแตกต่าง จากตอนที่เล่นกับทีมเยาวชน สิ่งที่ผู้จัดการทีมส่วนมากเลือกทำ หลังจากที่พวกเขาดันดาวรุ่งสู่ทีมชุดใหญ่ นั่นคือการประคบประหงมแบบค่อยเป็นค่อยไป และไม่โยนสู่ความเสี่ยง


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จู๊ด แตกต่างจากคนอื่น นั่นคือการแบกรับความกดดัน และพร้อมลงเล่นตามแท็คติกที่ผู้จัดการทีมออกคำสั่ง คลอเท็ต กล่าวว่า “ความจริงแล้ว ผมไม่เคยต้องการให้จู๊ด อยู่ในตำแหน่งที่ความผิดพลาดที่เขาอาจก่อขึ้น สามารถทำลายความมั่นใจของเขาได้”


“ผู้คนอาจไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดนี้ แต่ว่าการเล่นในตำแหน่งที่ถูกต้อง คือกุญแจสำคัญในการพัฒนาของจู๊ด เวลาต่อมา ผมลองให้เขาขยับมาอยู่ตรงกลาง เพราะผมอยากให้เขารู้สึกถึงความแตกต่าง และเรียนรู้ว่า คุณต้องเสียสละตัวเอง”


“จู๊ด ทำงานอย่างหนัก เพื่อสร้างผลงานที่ดี จากตำแหน่งการเป็นกองกลาง ผมวางกองกลางที่เน้นเกมรับ โดยมีจู๊ด ยืนปักหลักอยู่ตรงกลาง ในแง่ของอนาคตของเขา ผมเห็นเขาเล่นได้ดีที่สุด ในตำแหน่งของแผงกองกลาง 3 คน”


“โดยเป็น 1 ใน 2 กองกลางตัวรุก ที่คอยลงเล่นด้านหน้ามิดฟิลด์ตัวต่ำ” คลอเท็ต กล่าวทิ้งท้ายถึงประเด็นนี้ การอุทิศตน และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ส่งผลให้จู๊ด สามารถลงเล่นในตำแหน่งกองกลางเชิงรุก (ตัวกลาง) ตามที่ คลอเท็ต ทำนายเอาไว้จริงๆ


ตำแหน่งดังกล่าว ถือเป็นการสร้างชื่อให้กับจู๊ด ไม่ว่าจะเป็นการลงสนามกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และล่าสุดกับเรอัล มาดริด 

คลอเท็ต เปิดเผยความลับว่า ตั้งแต่แรก จู๊ด ถือเป็นนักเตะที่ถนัดเท้าขวา อย่างไรก็ตาม เท้าซ้ายของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย จู๊ด ทำงานอย่างหนัก ร่วมกับคุณพ่อของเขา ในการฝึกใช้เท้าซ้ายแบบบ้าระห่ำ ผลสุดท้าย คุณภาพของเขาทั้งสองเท้าใกล้เคียงกันมาก


คลอเท็ต กล่าวเสริมว่า ระดับของนักฟุตบอล ขึ้นอยู่กับทักษะ, เทคนิค และความสามารถเชิงแท็คติก

กระนั้น องค์ประกอบที่จู๊ด มีเช่นเดียวกัน นั่นคือลักษณะทางกายภาพ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่าง 


จู๊ด ถือเป็นคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ส่งผลให้เขาสามารถฟื้นตัวได้เร็ว พร้อมกับลงฝึกซ้อมได้ทุกวัน และไม่ถูกอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆเล่นงาน คลอเท็ต กล่าวว่า “จู๊ด มีขนาดร่างกายที่พอเหมาะกับวัยของตัวเอง แต่การพัฒนาด้านร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก”


“ดังนั้น เราจึงมีโปรแกรมการพัฒนาสำหรับเขา ไม่ใช่เพียงแค่ด้านเทคนิค แต่ยังมีโปรแกรมด้านร่างกายด้วย จู๊ด เน้นการได้รับคุณค่าทางโภชนาการในขั้นสูงสุด เพื่อช่วยให้เขารับมือกับการฝึกซ้อม และการลงเล่นอันหนักหน่วงในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ”


“หากคุณเปรียบเทียบเขา ในการเป็นนักเตะตอนนี้ กับตอนที่ยังเป็นดาวรุ่ง คุณจะพบว่าเขาจะเร็วกว่ามากกว่าเดิม นอกจากนี้ เขายังแข็งแกร่งมากขึ้น และอาจมีส่วนสูงเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย เขาสามารถรับมือกับความต้องการของงานได้เป็นอย่างดี”


การดูแลตัวเอง นำมาซึ่งสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำให้จู๊ด ก้าวมาพิสูจน์ตัวเองเป็นผลสำเร็จ 


คลอเท็ต บอกต่อว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประทับใจในตัวของจู๊ด นั่นคือการรับมือกับความกดดัน จนหล่อหลอมให้เขาก้าวมาประสบความสำเร็จ คลอเท็ต กล่าวว่า “เกมสำคัญของจู๊ด คือเกมในบ้านกับสโต๊ค ในเกมลีก   สโต๊ค มีนักเตะที่ดีหลายคน และส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก”


“ดังนั้น มันจึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ เขาลงมาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก กระนั้น เขามีความรับผิดชอบ ในการพยายามเอาชนะเราในเกมในบ้าน เขาค่อนข้างดิบ เพราะมันเป็นเกมที่ 2 ของเขาในเกม เดอะ แชมเปี้ยนชิพ เขาอาจกังวลนิดหน่อย แต่เขาพยายามเอาชนะมัน


“เขามีแรงผลักดันเสมอ เพื่อให้ทีมก้าวไปข้างหน้า และไล่ตามผลแข่งขัน และสุดท้ายเราก็ชนะ (2-1) ด้วยประตูของเขา วิธีที่เขาเฉลิมฉลอง ถือเป็นคลิปวิดีโอที่ผมชอบดู เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนเขาเล่นในสนามนั้นมา 10 ปีแล้ว”


วิธีที่เขาฉลองกับแฟนบอลก็เช่นเดียวกัน เขาแสดงความมั่นใจออกมาอย่างมาก ผมอยากให้เขาดำเนินต่อไปแบบนั้น เพราะเขาสามารถเป็นนักฟุตบอลที่เด็ดขาด ทั้งการยิงประตู และแอสซิสต์ ในความคิดของผม เขาต้องต่อสู้เพื่อเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเกม เขามีทุกอย่างในมือที่จะทำมัน ในฐานะผู้เล่น เขาทะยานไปแตะท้องฟ้าได้


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด