:::     :::

รุกก็เยี่ยม รับก็ยอด

วันพฤหัสบดีที่ 05 เมษายน 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,106
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หากจะมีทีมไหนสักทีมที่จะหยุดยั้งเกมรุกอันร้อนแรงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตอนนี้ยกคงต้องยกให้ ลิเวอร์พูล อย่างไม่ต้องสงสัย
ผลงานระดับ "มาสเตอร์พีซ" แสดงออกมาให้เห็นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก จากมันสมองของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 
พลลพรรค "หงส์แดง" เล่นกันแบบไม่แกรงกลัว และตอกย้ำอีกครั้งว่าสังเวียนแข้งแอนฟิลด์ในตอนนี้กลายเป็น "นรกของทีมเยือน" อย่างแท้จริงแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนมาเยือนไม่ขาสั่นก็ต้องใจสั่นเมื่อมาเจอกับเสียงเชียร์กระหึ่มที่รอต้อนรับอยู่
มองข้ามเหตุการณ์นอกสนามกับการข้างปาสิ่งของทั้งขวดน้ำ พลุไฟ หรืออะไรก็ตามแต่ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการ "ขู่" เพียงแต่ว่ามันดูจะรุนแรงและล้ำเส้นเกินไป
แต่เมื่อดูจากผลการแข่งขันที่ออกมาถือว่าคุ้มค่าสำหรับบรรดา "เดอะ ค็อป" 
                 
เกมในสนาม ลิเวอร์พูล ไม่มี เอ็มเร่ ชาน ถือว่าสมดุลในแดนกลางเสียไปเล็กน้อย แต่คนที่ลงมาแทนอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ มีความขยันและทุ่มเทไม่แพ้นักเตะหน้าไหนในโลก ส่วนแนวรุกยังเป็นสามประสานอันร้อนแรงทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยืนยันก่อนหน้านี้แล้วว่า เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" กองหน้าตัวเก่งบาดเจ็บไม่มีชื่อในเกมนี้ กาเบรียล เชซุส ได้ทำหน้าที่แทน
                    
อีกตำแหน่งที่ดูจะผิดเพี้ยนไปจากสภาพการณ์ปกติก็คือ อายเมริก ลาปอร์เต้ ที่ถนัดในตำแหน่งเซนเตอร์ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย และต้องดวลกับตัวแรงอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์
นั่นกลายเป็นหนึ่งใน "จุดอ่อน" ที่เจ้าบ้านมองเห็นและฉกฉวยพื้นที่ตรงนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม
ประตูจากโอกาสที่สองของเกมของเจ้าถิ่นก็มาได้ประตูจากพื้นที่ตรงนั้นเองจากจังหวะสวนกลับ อายเมอริก ลาปอร์เต้ ไม่อยู่ในตำแหน่ง โมอาเหม็ด ซาลาห์ กระชากบอมาคนเดียวทางซ้ายก่อนไหลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หาจังหวะยิงติด เอแดร์ซอน เซฟได้ท่ามกลางเพื่อนที่มาช่วย แต่ ไคล์ วอล์คเกอร์ คนที่บอลมาหากลับตื่นเต้นกลัวที่จะสกัดบอลเข้าประตูตัวเองเลยดูเหมือนไปกั๊กบอลโดน ฟีร์มิโน่ ทิ่มไปให้ ซาลาห์ ที่มีเวลาเหลือเฟือถึงขนาดจับบอลก่อนทั้งที่อยู่ในเขตโทษซิตี้ก่อนยิงเข้าไปอย่างเลือดเย็น 
แม้จากภาพช้านั้นชัดเจนว่าของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่หลุดไปตั้งแต่จังหวะแรกยืนเหลื่อมขึ้นไปอยู่เล็กน้อย ซึ่งผู้ช่วยผู้ตัดสินควรจะเห็นเพราะยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถือว่าชัดเจน แต่เมื่อไม่มีธงก็คงต้องยกประโยชน์ให้ไป
ทว่านั่นส่งผลเสียร้ายแรงต่อ แมนฯ ซิตี้ อย่างมหาศาล เพราะนอกจาก ลิเวอร์พูล จะได้ประตูขึ้นนำ มันสร้างขวัญและกำลังใจให้แฟนบอลส่งเสียงเชียร์กระหึ่มมากกว่าเดิม ยังปลุกเร้าให้นักเตะได้ใจและวิ่งสู้ฟัดเป็นทวีคูณ
                   
และมันก็น่ามาซึ่งประตูที่สองจากการช่วยกันของผู้เล่นเจ้าถิ่นนี่แหละ และเป็นอีกครั้งที่นักเตะซิตี้เสียการครองบอลจากเกมเพรสซิ่งของเจ้าถิ่นนี่เอง อเล็กซ์ อ๊อกเลด-แชมเบอร์เลน ได้กดตูมเดียวบอลพุ่งอย่างกับจรวดเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม
ชัดเจนเหลือเกินว่าเมื่อโดนคู่แข่งบีบเร็ว บรรดาแข้งทักษะเยี่ยมทั้งหลายแหล่ของเรือใบก็ถึงกับไปไม่เป็นเหมือนกัน 
ประตูที่สามไหลมาเทมาชนิดไม่ม่ใครคาดคิด คราวนี้เป็น นิโกลัส โอตาเมนดี้ ที่ขึ้นไปเล่นถึงแดนกลางเสียบอลทำให้ "หงส์แดง" รุกเร็วและเป็นอีกครั้งที่ โมอาเหม็ด ซาลาห์ เจาะทางฝั่งซ้ายของคู่แข่ง (อีกครั้ง) ก่อนตักเข้าเขตโทษ ซาดิโอ มาเน่ ขึ้นโหม่งบอลตกพื้นตุงตาข่าย
                  
คนที่ตามประกอบดาวยิงผิวสีของเจ้าถิ่นในตำแหน่งนั้นควรจะเป็น โอตาเมนดี้ ผู้เสียบอล แต่เป็นจังหวะที่ลงมากลายเป็นยืนตำแหน่งมั่วแทบจะทับไลน์กับ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ปล่อยให้หน้าที่นั้นเป็นของ แฟร์นานดินโญ่ ที่พยายามลงไปช่วยแต่จังหวะขึ้นโหม่ง "ไม่ถึง" เลยโดนลงโทษอย่างสาสม
เกมรุกจากริมเส้นทั้งสองข้างของ ซิตี้ กลายเป็นหมัน แบ็คสองฝั่งทั้ง ไคล์ วอล์คเกอร์ และ อายเมริก ลาปอร์เต้ ดันเกมขึ้นไปเกินกว่าครึ่งสนามน้อยมาก
บอลจังหวะสองแทบเป็นของ ลิเวอน์พูล ทั้งหมด เกมตรงกลางของซิตี้นอกจากเก็บบอลไม่ได้แถมยังเสียบอลง่าย กาเบรียล เชซุส ทำได้แค่วิ่งไล่บอลอยู่ข้างหน้าโดยไม่ได้ประสานงานกับเพื่อนเลย ส่วนทั้ง ดาบิด ซิลบา และ เควิน เดอ บรอยน์ ก็ไม่มีจังหวะหนึ่ง-สองให้เห็น
                   
จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 3-0 ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่แทบไม่มีใครรู้จัก เกมรุกทำอะไรไม่ได้ไม่ได้ยิงเข้ากรอบแม้แต่หนเดียว แดนกลางเสียบอลเกือบตลอด เกมรับก็โดนทะลุทะลวงเกือบตลอด 
แฟร์นานดินโญ่ ไม่ได้แบ่งเบาภาระแนวรับเลย แว็งซ็องต์ ก็องปานี เรื่องภาวะผู้นำไม่มีปัญหาแต่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะลงเล่นที่ในเกมที่รวดเร็วแบบนี้ โดน "สามแนวรุก" หงส์แดงพาทัวร์สนามอย่างสนุกสนาน 
เลรอย ซาเน่ ไม่ได้พาบอลฉีกหนีกองหน้าหลังอย่างที่ควรจะเป็น อันนี้ต้องยกควรดีความชอบให้เจ้าหนู เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ ที่ดูมีสมาธิและมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ พร้อมกับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่
เหลือบไปดูข้างสนามดูแล้วคงต้องหวงพึ่ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ แบร์นาโด้ ซิลวา แน่หากไม่มีอะไรดีขึ้น
                  
เข้าครึ่งหลังซิตี้ออกสตาร์ทด้วยการบีบเกมสูงมากขึ้น นักเตะดูคึกคักมากขึ้น และดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีขึ้นมาบ้างหลังผ่านหกนาทีของเกมเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่มีอาการบาดเจ็บเดินออกจากสนามหาทีมแพทย์สุดท้ายขอเปลี่ยนตัวโดยส่ง จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ลงมาแทน พร้อมขยับให้ อเล็กซ์ อ๊อกเลด-แชมเบอร์เลน ขึ้นไปยืนในแนวรุกแทน
นั่นทำให้เกมรุกของหงส์แดงทอนความน่ากลัวลงไปพอสมควร และ แมนฯ ซิตี้ ก็คงกล้าที่จะดันเกมสูงมากขึ้น
ความผิดพลาดของเจ้าถิ่นเกือบทำให้ทีมเสียประตูเหมือนกันหลังผ่านสิบนาทีของครึ่งหลัง จังหวะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จ่ายบอลพลาดไปเข้าเท้า แฟร์นานดินโญ่ ตัดได้กลางสนามก่อนพาขึ้นมาไหลออกทางขวา เควิน เดอ บรอยน์ เปิดเข้ากลาง กาเบรียล เชซุส ปล่อยให้ ดาบิด ซิลบา แต่ยังดีที่เจ้าหนู อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ ไม่เหม่อมาตัดได้ตรงจุดโทษ
เป๊ป ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกของเกมนาทีที่ 57 ส่ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่มาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้งลงแทน อิลคาย กุนโดกัน เรียกว่ารุกเต็มที่หวังว่าจะทำประตูอเวย์โกลได้
ลิเวอร์พูล ถือว่าเสียบอลบ่อยทีเดียวจากแดนกลางแต่เกมรุกของ ซิตี้ วันนี้ที่ดูย่ำแย่ผิดหูผิดตาก็ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสได้เลย แต่ก็ต้องชมบรรดาแดนกลางของเจ้าถิ่นที่ลงไช่วยซ้อนกันได้อย่างดีเยี่ยม ภาระในแดนหลังของทีมเลยถือว่าเบาลงเยอะเลย
                  
โดยเฉพาะเมื่อประตูที่นำห่างทำให้ไม่จำเป็นต้องดันเกมสูงมาก ปล่อยให้เกมรุกเป็นหน้าที่ของสามประสานรับหน้าที่ไป
เลรอย ซาเน่ ได้โอกาสบ่อยมากขึ้นทางซ้าย แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเจ้าตัวจริงๆ เมื่อจังหวะยิงก็ไม่ดีหรือจะแอสซิสต์ให้เพื่อนไม่ขาดก็เกินไปหมด บางครั้งเป็นโอกาสที่ควรจะได้จบด้วยการยิงประตูแต่กลับจ่ายไปติดแบบง่ายๆ
เป๊ป ยังยึดติดกับปรัชญาเกมรุกเดิมๆ หวังว่ามันจะได้ผลโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนเลยตลอดทั้ง 90 นาที เกมรุกเทหนักไปทางซ้ายตลอดทั้งเกมโดยหวังว่าจะเจาะ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหมือนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้
อีกอย่างหนึ่งก็คือน้อยครั้งมากที่จะเห็นซิตี้ตั้งป้อมยิงประตูจากหน้าเขตโทษ โอเค การยืนตำแหน่งของทัพหงส์แดงอาจจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ได้ลองสับไกมากนัก แต่นักเตะเรือใบเองก็ไม่ได้พยายามที่จะส่องเลย
ภาพปกติที่เรามักจะได้เห็นคือเมื่ออับจนหนทางในการเจาะตาข่าย นักเตะมักจะลงเอยด้วยการหาโอกาสยิงจากนอกกรอบ แต่นั้นไม่เกิดขึ้นในเกมนี้กับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
                  
เปอร์เซ็นต์ครองบอลที่เหลือเฟือในครึ่งหลังของทัพเรือใบไม่มีประโยชน์เมื่อไม่ได้ลงเอยด้วยการจบสกอร์เลย โอกาสยิงเข้ารอบตลอดเกมสถิติบ่งบอกมาว่าเป็น "ศูนย์"
ทั้งสามมิดฟิลด์ในครึ่งหลังของ ลิเวอร์พูลทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ และ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ระเบียบวินัยสูงจริงๆ แทบไม่มีใครหลุดตำแหน่งเลยยืนคุมพื้นที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แบ็คทั้งสองข้างของหงส์แดงทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่เติมเกมรุกเลย ปักหลักในแดนหลังเพื่อจัดการกับเกมริมเส้นของคู่แข่ง
เกมครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล อาจจะแทบไม่ได้ครองบอลเลย แต่ก็สามารถดักเกมรุกของซิตี้ไว้ได้หมด ยิ่งเวลาผ่านไปดูเกมบุกของเรือใบที่ "เจาะไม่เข้า" ก็ยิ่งจะกดดันดันกันไปเอง ทุกครั้งที่มาถึงหน้าเขตโทษเหมือนไม่รู้จะจ่ายให้ใครเพราะมันแน่นไปหมด
เควิน เดอ บรอยน์ ที่เป็นคนสำคัญในเกมรุกกลบแทบไม่ได้บอลเลยด้วยซ้ำ อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ เจมส์ มิลเนอร์ ที่จับตาดูไว้อย่างไม่คลาดสายตา
                  
บทสรุปจากเกมที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล ปิดเกมได้ตั้งแต่ครึ่งแรก ผลงานถือว่าทะลุเป้านอกจากยิงได้ถึงสามลูกที่สำคัญคือการรักษา "คลีนชีต" ไว้ได้ 
วันนี้ "หงส์แดง" แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทั้งเกมรุกในครึ่งแรกและเกมรับในครึ่งหลัง เรียกได้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ วางแผนมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน 
โอกาสเข้ารอบตอนนี้อาจจะพูดไม่เต็มปากนักว่าสดใสหลังจากที่ในเกมลีกที่เอติฮัดล่าสุดทีมโดนถล่มไป 0-5 แต่เกมนั้น ซาดิโอ มาเน่ โดนใบแดง และเงื่อนไขในบอลยุโรปก็แตกต่าง ลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นเพื่อไปบุกแต่ใช้เกมรับแล้วโต้ ความเร็วของสามแนวรุกที่เด็ดขาดอยู่แล้ว
ที่สนามแอนฟิลด์วันนี้เพลง you'll never walk alone ดังก้องกว่าครั้งไหน 
และมันร้องออกมาด้วยความอิ่มเอมใจอย่างที่สุด


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด