"แด่ความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันมอดไหม้" ของบรูโน่ แฟร์นันด์ส
มันหลีกเลี่ยงไม่พ้นจริงๆที่นักเตะหรือผู้จัดการทีมจะต้องเจอกับคอมเม้น Toxic จากที่ต่างๆ แม้กระทั่งหนึ่งในนักเตะที่ไม่ควรจะมีแฟนบอลเราคนไหนเกลียดหรือไปต่อว่าได้อย่าง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" ก็ยังหนีไม่พ้นในเรื่องนี้
บางคอมเม้นในอินเตอร์เน็ทพูดกล่าวหาเขาว่าปล่อยจอยบ้างอะไรบ้าง ทั้งๆที่เขาเป็นนักเตะของทีมเราที่ใจสู้ที่สุดแล้วในทุกๆนัด และไม่เคยทำอะไรเสียศักดิ์ศรีของการเป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จะวิ่งเหนื่อยขนาดไหน หรือทีมเป็นรองคู่แข่งมากยังไง นักเตะผู้นี้ไม่เคยยอมแพ้ให้ผมเห็น
คนที่ความมุ่งมั่นและทุ่มเทสูงสุดปรอทแบบนี้หรือที่จะปล่อยจอย?
หรือเพียงแค่คอมเม้นเหล่านั้นเห็นบรูโน่แสดงอาการเหนื่อย อาการท้อออกมาบ้างแค่ไม่กี่ครั้งให้เห็นก็เอาไปตีความด่ากันว่าเวลาเกมสู้ไม่ได้เขามักจะปล่อยจอย ทั้งที่หมอนี่ไม่เคยถอดใจง่ายๆ
นักฟุตบอลก็คนไม่ใช่เครื่องจักร พูดเหมือนเล่นกีฬาแล้วไม่เคยเล่นพลาด ไม่เคยหงุดหงิด ไม่เคยออกอาการในสนามกันบ้างเลยแบบนั้นหรืออย่างไร
บอกได้เลยว่าถ้าทีมเรากำลังจะพ่ายแพ้หรือล้มเหลวอะไรสักอย่าง เขาจะเป็นคนสุดท้ายของทีมเราแน่นอนที่คิดจะถอดใจหรือยอมรับสภาพที่ว่า และถ้าตราบใดที่มันยังไม่จบ คนๆนี้ไม่มีทางยอมง่ายๆแน่นอน หัวจิตหัวใจมันบ่งบอกอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาตีความภาษากายของเขาผิดๆแล้วก็เอาไปด่ากันสาดเสียเทเสีย
แม้กระทั่งเรื่องที่เขาออกปากออกเสียงในสนามก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจของคนบางกลุ่ม ในขณะเดียวกันเวลามีกัปตันที่ไม่ออกท่าทางไม่มีปากมีเสียง แบบนั้นก็โดนด่าเหมือนกัน
สรุปว่าพี่เค้าจะเอายังไงกันแน่ถึงจะถูกใจ
ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับแฟนบอลที่กำลังด่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชาสาดเสียเทเสียในยามที่ทีมเราพ่ายแพ้ บรูโน่คือคนที่เดินไปคุยกับแฟนบอลพวกนั้นแล้วชี้บอกให้เห็นว่าคนที่ต้องรับผิดชอบคือทีมเราทั้งหมด แพ้ก็แพ้ด้วยกันทั้งทีม ไม่ใช่ความผิดคนใดคนหนึ่ง เป็นวิธีคิดง่ายๆที่ถูกต้องบนทัศนคติที่ดีๆของเขา
ด้วยชุดความคิดเดียวกัน ประเภทที่ว่าถึงเวลาที่ทีม "ชนะ" แต่บางคนทำเหมือนกับว่าเราไม่ได้ชนะด้วยกันทั้งทีม เลือกมอบชัยชนะนี้ให้แต่คนที่ตัวเองชื่นชอบเท่านั้น ในบริบททางตรงกันข้าม เวลาชนะกลับแบ่งแยกว่าไม่ได้ชนะด้วยกัน ทำได้เพราะไม่มีคนนั้นคนนี้ลงสนาม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทีมจะเดินหน้าไปไม่ได้ถ้าถีบหัวสมาชิกในทีมแล้วไม่พยายามเดินหน้าไปด้วยกันเวลาที่มีปัญหา
และบรูโน่รู้เรื่องพวกนี้ดี
การยกจุดโทษในเกมก่อนให้กับมาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นคนยิงเข้าไป มันเป็นตัวบ่งบอกที่สำคัญมากๆว่า กัปตันทีมรายนี้มองเห็นภาพรวมในการเล่นฟุตบอลว่า เรื่องของ "ทีม" เป็นสิ่งสำคัญเสมอ ไม่ใช่แค่ใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ 11 ตัวจริงที่ได้ลงสนาม นั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง มันคือการทำเพื่อ "ทีม" ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้าทีมทำงานไปด้วยกันได้ดี เก็บผลการแข่งขันได้ คนที่จะได้ประโยชน์จากความสุขก็คือแฟนบอลอย่างเรานี่เอง
ภาพที่เขาวิ่งพล่านไล่บอลในเกมกับเชลซีนั้นติดตาจนยากจะลืมเลือน แต่มันก็ไม่ได้มีแค่เกมนี้ เพราะเราเห็นเรื่องพวกนี้ในทุกๆเกมที่เขาลงแข่งขัน ไม่ว่าจะฟอร์มดีหรือฟอร์มดรอป อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ไม่เคยดรอปไปก็คือหัวใจนักสู้ของเขาที่ไม่ควรมีใครมาดูถูกหรือลดทอนคุณค่าลงไปได้
อีกหนึ่งความสำเร็จของสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ในวันนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะมีอัมราบัตช่วยคุมเกมด้านหลังอยู่แค่คนเดียว บังไม่สามารถแบกทุกอย่างไว้ได้ สิ่งที่ทำให้เงื่อนไขการใช้น้องแม็คเมื่อคืนนี้สมบูรณ์แบบอีกหนึ่งคน คือการเล่นมิดฟิลด์ที่ operate ทุกอย่างในสนามทั้งเกมรุกเกมรับ ทำให้ทีมสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยการดันตัวผู้เล่นพิเศษอย่างน้องแม็คขึ้นในแดนหน้าจนสร้างผลงานได้สำเร็จ
ถ้าไม่มีบรูโน่เล่นบทบาท "Roaming Playmaker" แบบเมื่อคืน งานของอัมราบัตจะโหลดยิ่งกว่านี้และเขาก็จะรับมือด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว กับหลายๆจังหวะที่กำลังจะโดนเชลซีทำเกมบุกเข้ามา ที่ทีมเราหยุดเกมรุกของพวกเขาไว้ได้ หลายๆจังหวะมันคือพลังงานของบรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่วิ่งไล่บอลจากเหนือลงใต้ จากแดนหน้าวิ่ง track back กลับลงมาสไลด์บอลให้ทีมได้อย่างสวยงามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
สถิติการเล่นของบรูโน่ในเกมที่ชนะเชลซีมีดังต่อไปนี้
ถ้าจะมีนักเตะสักคนหนึ่งในทีมชุดปัจจุบันที่กล้าพูดได้เลยว่าเป็นความภูมิใจของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคนี้ และเป็นที่เคารพยกย่องจากแฟนบอลอย่างผู้เขียน ชื่อที่ขึ้นมาเป็นอันดับแรกอย่างชัดเจนเสมอมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ จะต้องเป็นชื่อ Bruno Fernandes แน่นอน
เราอยู่กับบรูโน่มาหลายปีแล้ว เขาอายุ 29 ปีไปหมาดๆเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังไงก็ตามอายุเขากำลังจะขึ้นสู่เลข 3 และสิ่งที่จะตามมาก็คือสภาพร่างกายที่จะต้องค่อยๆโรยราลงบ้างตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์
ในตอนนี้มันยังไม่เกิดขึ้น แต่ยังไงสักวันก็ต้องมีจังหวะที่เขาบาดเจ็บบ้างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็อาจจำเป็นต้องพักและใช้งานเขาอย่างเหมาะสมมากกว่านี้ ซึ่งจริงๆทุกวันนี้ก็อยากให้ได้พักบ้าง ไม่อยากให้กรำศึกใช้งานมากเกินไปเหมือนปัจจุบันที่พี่แกลงเต็ม 90 นาทีครบทุกนัดหมดเลยแบบไม่พักขนาดนี้
ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ที่แน่ๆเราจะไม่ลืมว่าในช่วงเวลาที่แมนยูไนเต็ดไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนัก ก็ยังมีเรื่องดีๆในยุคนั้นให้ได้เห็น ยังมีนักเตะคนโปรดบางคนที่สามารถพูดได้ว่าเป็น 'สัญลักษณ์แห่งยุคสมัย' ที่เราจะจดจำภาพของเค้าได้ชัดเจนและแม่นยำเสมอไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี
ในตอนนี้ combination สามมิดฟิลด์กลางสนามของทีม "หนึ่งในสาม" ถูกใช้งานเป็นตัว box-to-box เติมเข้าไปจบสกอร์อย่างแม็คโทมิเนย์ไปแล้วหนึ่งคนที่เน้นโจมตีพื้นที่สุดท้าย มากกว่าเรื่องการทำเกม ทำให้อีกสองคนที่เหลือต้องทำงานกันหนักมากขึ้นในการเล่นเกมแดนกลาง คนหนึ่งเป็นกลางต่ำอย่างอัมราบัตทำได้ดีก็จริง แต่เขาก็ไม่สามารถแบกทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บรูโน่ ที่ยืนต่ำกว่าแม็คโทมิเนย์เล็กน้อย ก็จะต้องถอยต่ำลงมาทำงานหนักในแดนกลางมากกว่าเดิม
ไม่ได้ทำเกมรุกแค่อย่างเดียวล้วนๆเหมือนเมื่อก่อนที่เล่น 4-2-3-1 จากเดิมที่เราเล่นระบบกลางคู่ และให้บรูโน่เป็นตัวทำเกมรุกเต็มตัวคนเดียวด้านบนเหมือนยุคโซลชา
เพราะงั้นเนื่องจากบรูโน่มีหน้าที่ต่างออกไปจากสมัยก่อน ถ้าสกอร์ หรือสถิติต่างๆของบรูโน่จะลดลงบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
คลาสบอลของเขาไม่ได้ดรอปลง มันเป็นแค่เรื่องของวิธีการเล่นตามแทคติกของทีมเท่านั้น ถ้าให้เจ้าตัวได้เล่นใน role ที่ทำเกมรุกแบบเต็มๆ สถิติประตูกับแอสซิสต์ก็ยังอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ เทียบได้จากเกมทีมชาติโปรตุเกสจะเห็นได้ชัด
นี่ก็คืออีกสิ่งหนึ่งที่เขาเสียสละเพื่อทีม ไม่ได้เป็นตัวโดดเด่นอยู่คนเดียว แต่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อทีมและแฟนบอลอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งการจะต้องถอยลงมาเล่นเกมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มีสภาพร่างกายที่ได้เปรียบคู่แข่ง แต่สิ่งที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้เสมอๆมันคือ "หัวใจ" ของเขาคนนี้
ทุกคำยกย่องขอมอบแด่กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคนปัจจุบันนี้ซึ่งสวมปลอกแขนอย่างสง่างามมากที่สุด
แด่ความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันมอดไหม้ของบรูโน่ แฟร์นันด์ส
แล้วสักวันหนึ่งหวังว่าเราจะได้เห็นกัปตันชูถ้วยแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ให้กับแมนยูไนเต็ดครับ
-ศาลาผี-