:::     :::

"เกมรับ" จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย

วันพุธที่ 24 มกราคม 2567 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
704
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
โลกของฟุตบอลไทยชั่วโมงนี้ต้องบอกว่าอบอวลไปด้วย "สีชมพู" เพราะทีมชาติไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอล เอเชียน คัพ 2023 รอบสุดท้าย ที่กาตาร์

โดย 2 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม สายเอฟ พลพรรค “ช้างศึก” ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ชนะ 1 นัด ต่อ คีร์กิซสถาน ไป 2-0 และเสมอกับ โอมาน ไปแบบไร้สกอร์ 

ที่สำคัญเลยคือทั้ง 2 ทีมที่เจอกับ ไทย ล้วนอันดับในฟีฟ่าแรงกิ้งสูงกว่าเราทั้งสิ้น 


ล่าสุด Opta Analyst บริษัทเก็บสถิติที่น่าเชื่อถือได้วิเคราะห์ว่าโอกาสที่ทีมชาติไทย จะผ่านผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันมีสูงถึง 99.8% ดังนี้ มีโอกาสจบที่ 1 ของกลุ่ม 16.5%

มีโอกาสจบที่ 2 ของกลุ่ม 59.0% และ มีโอกาสจบที่ 3 ของกลุ่ม 24.5%

เมื่อผลงานของเราดีแบบนี้ทำให้ทีมชาติไทย จะขยับอันดับในฟีฟ่าแรงกิ้ง สูงขึ้นไปแตะ 100 อันดับแรกของโลก และมีโอกาสสูงที่จะทวงเบอร์ 1 ของอาเซียนกลับมาจากคู่ปรับ เวียดนาม ที่เก็บกระเป๋ากลับบ้านแน่นอนแล้ว หลังแพ้ 2 เกมติดต่อกัน 


แน่นอนว่า มาซาทาดะ อิชิอิ เฮดโค้ชย่อมได้รับคมชมจากแฟนบอลไทยจากทั่วทุกสารทิศ ไม่น่าเชื่อการเข้ามาทำงานคุมทีมชาติไทย แค่เดือนเศษๆ และได้เก็บตัวฝึกซ้อมไม่นานจะสามารถยกระดับฟอร์มการเล่นของทีมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ 

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของทีมชาติไทยชั่วโมงนี้มากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของ “เกมรับ” 


ทีมชาติไทย เป็นทีมที่เล่นเกมรุกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และ “เกมรับ” คือจุดอ่อนของพลพรรค “ช้างศึก” มาทุกยุคทุกสมัย แน่นอนว่าคนในวงการฟุตบอลต่างทราบเรื่องนี้ดี 

ก่อนหน้านี้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เคยใช้บริการของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือเลือดเซิร์บเข้ามาคุมทีม เพื่อหวังพัฒนาเกมรับของทีมชาติไทยแกร่งขึ้น 


สุดท้าย ราเยวัช ก็ไปไม่ถึงฝัน และวิธีการทำทีมของเขาไม่ตอบโจทย์กับทีมชาติไทย แถมแฟนบอลดูแล้วน่าเบื่อ สุดท้ายสมาคมฯ กับ ราเยวัช ก็ต้องแยกทางกันไปหลังจบเกมแพ้ อินเดีย 4-1 ในฟุตบอลเอเชียน คัพ ปี 2019  

แต่ทีมชาติไทยในยุคของ “อิชิอิ” แตกต่างออกไป มีรสชาติกลมกล่อมทั้งเกมรับ และเกมรุก แถมยังมีจังหวะสวนกลับเร็วสวยๆ ให้แฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจในหลายๆ จังหวะ 


การจับคู่กันระหว่าง เอเลียส ดอเลาะ และ พรรษา เหมวิบูลย์ ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ การสอดประสานงานกันทั้งจังหวะป้องกันเกมรุกคู่ต่อสู้จากภาคพื้นดินและลูกกลางอากาศทั้งคู่เก็บเรียบ

โดยเฉพาะ พรรรษา ที่ทำสถิติสกัดบอลมากที่สุด จำนวน 18 ครั้งหลังผ่าน 2 นัดแรก มากที่สุดในรอบแบ่งกลุ่ม

นอกจากคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟแล้ว แบ็กซ้ายและขวา ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน และ นิโคลัส มิคเคลสัน ก็มีทั้งความเก๋า ประสบการณ์ และความสด ทำให้ทั้ง 4 คน ทำงานกันได้อย่างกลมกล่อม 


ส่วน ปฏิวัติ คำไหม ผู้รักษาประตูเองยังเล่นได้อย่างเยือกเย็น แม้จะไม่มีจังหวะเซฟมากนัก เพราะเพื่อนๆ คอยปิดทางบอล คอยบล็อกลูกยิงให้ แต่หากได้ออกแรงก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเหมือนกัน แถมการเตะบอลยาวในจังหวะโต้กลับเร็ว ยังทำได้อย่างแม่นยำ 

ขณะที่ผู้เล่นตำแหน่งอื่นๆ ทั้งคู่กองกลางอย่าง วีระเทพ ป้อมพันธ์ และ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ยังคอยเป็นผึ้งงานคอยสกรีนและหยุดเกมรุกคู่ต่อสู้

ขนาดปีกอย่าง บดินทร์ ผาลา และ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา นอกจากจะต้องเล่นเกมบุกแล้ว ต้องลงช่วยเกมรับด้วย นั่นทำให้เกมรับของไทยแน่นปึ๊กจนไม่เสียประตู 2 นัด


หากเกมรับของทีมชาติไทย ยังเหนียวแน่นและแข็งแกร่งแบบนี้ โอกาสจะเข้ารอบลึกๆ และกลายเป็นม้ามืดในทัวร์นาเมนต์นี้มีสูง 

เห็นการพัฒนาของทีมชาติไทย ยุค มาซาทาดะ อิชิอิ แบบนี้แล้ว บอกเลยว่าฟินเวอร์ หวังว่าเขาจะได้ทำงานกับทีมชาติไทยไปนานๆ เชื่อว่าเราจะได้เห็นอะไรดีๆ อีกเยอะ 

ที่สำคัญตอนนี้ รีบจับ “อิชิอิ” ต่อสัญญาได้แล้วครับเจ้านาย !!!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด