มีรายงานข่าวล่าสุด อัพเดทประเด็นเรื่องการปรับโครงสร้างผู้บริหารงานชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำงานในแผนกฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จาก David Ornstein [tier 1] ระบุเอาไว้บนบทความของ The Athletic เอาไว้ว่า "Dan Ashworth" ได้แจ้งกับทางนิวคาสเซิลยูไนเต็ดแล้วว่า เขาได้รับการทาบทามจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดให้เข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฟุตบอลในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด
จากรายงานข่าวที่มีมาตลอดว่า แอชเวิร์ธนั้นเป็นเป้าหมายหลักในการดึงตัวเข้ามาทำงาน แม้ตอนนี้การพูดคุยอย่างเป็นทางการระหว่างสองสโมสรยังไม่เกิดขึ้น แต่สถานการณ์จะเริ่มเดินหน้าอย่างรวดเร็ว และผู้บริหารวัย 52 ปีรายนี้ก็เปิดโอกาสพร้อมที่จะเข้ามาทำงานเช่นกัน
ในกรณีนี้มีความยุ่งยากเล็กน้อยตรงที่แอชเวิรธนั้นมีสัญญาอยู่กับต้นสังกัด และแมนยูไนเต็ดคงจะจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยเพื่อที่จะดึงตัวเขามาทำงานให้สโมสร
เส้นทางของแดน แอชเวิร์ธ ในช่วงปี 2012 เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของ FA และเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทีมชาติ ทั้งทีมชายและหญิง ก่อนจะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคของสโมสร Brighton & Hove Albion ในปี 2019 และย้ายมาอยู่กับนิวคาสเซิลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี2022 ในที่สุด
จุดเด่นของแอชเวิร์ธนั้นได้รับคำชื่นชมและชื่อเสียงในด้านการจัดหานักเตะ และจัดตั้งโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆหากว่าเกิดการย้ายฝั่งข้ามขั้วมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดขึ้น
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ปีศาจแดงกำลังขาดอย่างมาก
การเข้ามาของแดน แอชเวิร์ธ จะเกิดขึ้นมาภายใต้การเข้ามาซื้อหุ้น 25% จากตระกูลเกลเซอร์ของเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ เจ้าของบริษัทปิโตรเคมิคอลอย่าง INEOS ซึ่งตอนนี้ได้รับการรับรองจากทั้ง Premier League และ FA แล้วเรียบร้อย ตอนนี้เหลือแค่การปิดคำร้องข้อเสนอการซื้อในช่วงสัปดาห์นี้เท่านั้น
อย่างที่เราทราบกันว่า ดีลของเซอร์จิมถูกประกาศโดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา และดึง Omar Berrada เข้ามาเป็น CEO คนใหม่เรียบร้อยแล้วในซัมเมอร์นี้จากทีมเพื่อนบ้านอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้
การเข้ามาของ Dan Ashworth ที่ชัดเจนว่าทีมของเซอร์จิมต้องการตัวเขาอย่างมากนั้น จะเข้ามาสร้าง "Avengers หลังฉาก" ผนึกกำลังกับเหล่าผู้บริหารชุดใหม่ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแน่นอน
มีใครบ้าง ลองมาดูกันตามนี้
ของเดิม
Ed Woodward
Richard Arnold
John murtough
ผู้บริหารทิศทางที่มาถึงแล้ว (และใกล้จะมาถึง) จะกลายเป็น
Sir Jim Ratcliff (Co-Owner)
Omar Berrada (CEO)
Dan Ashworth (Sporting Director)
Sir Dave Brailsford (Board Director)
Jean-Claude Blanc (Board Director)
Erik ten Hag (Manager)
6 คนนี้ก็ถือว่าแน่นแล้ว ยังมีแคนดิเดทที่อาจจะตามเข้ามาในอนาคตอีกสองคนที่ยังได้ลุ้นต่อ ในตำแหน่ง Head of recruitment ได้แก่
Paul Mitchell ผู้บริหารวิสัยทัศน์ไกลหัวก้าวหน้า
Sam Jewell ผู้บริหารหนุ่มอนาคตไกล หัวหน้าทีมแมวมองของไบรท์ตัน
ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มเติมเข้ามาอีกเพื่อความแข็งแกร่งที่มากขึ้น แต่ตำแหน่งสำคัญที่สุดในขณะนี้ เบื้องต้นก็คือ Dan Ashworth ในฐานะผู้อำนวยการฟุตบอลนี่แหละที่สำคัญที่สุดของทีม คนที่ 7 หลังจากนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ถ้า พี่แดนตัดสินใจตอบรับคำเสนอของทีมบอร์ด INEOS เมื่อไหร่ นั่นจะกลายเป็นสมาชิกหลักคนสุดท้าย คนที่6 ที่เหมือนเป็นการเข้าทีม Avengers หลังฉาก ของผู้บริหารแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทันที ตามภาพข้างบนนี้ ถือว่าโครงสร้างการทำงานจะเข้มมากๆ
เซอร์จิม แรทคลิิฟฟ์ เจ้าของร่วม เป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์ และเป็นแฟนบอลขนานแท้ของแมนยูไนเต็ดมาตั้งแต่เด็ก จิตวิญญาณและความเข้าใจในฐานะแฟนบอลมีเต็มเปี่ยม เขาจะทำทุกอย่างบนการตัดสินใจที่ถูกต้องและดีเยี่ยมทุกครั้ง
เซอร์เดฟ เบรลส์ฟอร์ด และ ฌ็อง โคล้ด บล็องก์ มีประสบการณ์มามากมายกับทีมกีฬาของ INEOS ในสาย Performance ที่จะเข้ามาดูแลทิศทางหลักเพื่อสร้างให้แมนยูไนเต็ดกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลอีกครั้งในมิติทางด้าน "ประสิทธิภาพฟุตบอล" เน้นๆ
ซีอีโอคนสำคัญอย่าง โอมาร์ เบอร์ราด้า เป็นหัวหอกหลักที่จะเดินหน้าให้โปรเจ็คของแมนยูไนเต็ดพุ่งทะยานก้าวหน้าด้วยความเฉียบคมของการตัดสินใจด้วยมุมมองของสายปฏิบัติการตัวยงที่ดูแลความเรียบร้อยให้ทีมในด้านการตัดสินใจในโครงสร้างสำคัญ เช่นเรื่องของการเซ็นสัญญา การตัดสินใจดีล ทั้งในด้านธุรกิจ และทางด้านฟุตบอลควบคู่กัน การมีโอมาร์อยู่ ดีลของยูไนเต็ดจะมีทิศทางที่เฉียบคมมากๆอีกครั้งในการทำทีมฟุตบอล
และคนที่เรากำลังลุ้นอยู่ แดน แอชเวิร์ธ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดและได้ตัวเขามา ตำแหน่ง Sporting Director หรือผู้อำนวยการฟุตบอลนั้น เป็นตำแหน่งที่แทบจะเรียกได้ว่าสำคัญสุดๆในโลกฟุตบอลยุคนี้ไม่แพ้ผู้จัดการทีมเลย แค่ทำงานควบคุมเรื่องต่างๆในด้านฟุตบอลอยู่เบื้องหลังเท่านั้นเอง
ผู้จัดการทีมหลังฉาก? พูดแบบนั้นก็ได้
ตำแหน่ง Sporting Director นั้น สำคัญมากๆที่จะต้องมีความสามารถทางด้านการเจรจา การตัดสินใจที่ดีในเรื่องดีลต่างๆ ซึ่งแอชเวิร์ธถือว่ามีเครดิตที่ดี
ที่สำคัญ คอนเน็คชั่นของเขายอดเยี่ยมมากๆ การดึงนักเตะฝีเท้าเยี่ยมคุณภาพดีในราคาถูกเข้ามาให้ไบรท์ตันปั้นขายแพงๆ คนแล้วคนเล่าแบบไม่มีขาด คือผลงานชิ้นโบว์แดงที่หลายๆคนรู้ แต่นอกจากเรื่องคอนเน็คชั่น และสายตาในการพิจารณาดีลนักเตะต่างๆแล้ว การวางโครงสร้างให้ทีมเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน คืออีกเหตุผลที่ไบรท์ตันติดลมบนอยู่ในการคั่วพื้นที่ยุโรปได้ยาวๆแบบนี้ ทั้งที่ขายนักเตะตัวหลักออกจากทีมทุกปี
ระบบและทิศทางของ "ทีม" คือสิ่งที่จะตาม Dan Ashworth เข้ามาในไม่ช้านี้ และเชื่อว่าดูจากทรงแล้ว แมนยูไนเต็ดซึ่งนำกิจการฟุตบอลด้วยทีมใหม่ของเซอร์จิม น่าจะยอมลงทุนครั้งสำคัญในการจ่ายเงินชดเชยให้นิวคาสเซิล และดึงตัว Dan Ashworth เข้ามาแน่นอน เพราะงานทุกอย่างกำลังจะเริ่มหลังจากนี้ที่การซื้อขายเสร็จสิ้นแบบ 100% หน้าต่างซัมเมอร์ฤดูกาล 2024/25 จะเดินหน้าอย่างเต็มสตรีมแน่นอนทันทีที่ได้ตัวแอชเวิร์ธเข้ามาเสริมทัพ
จากหลังบ้านที่เคยเละเทะ ไม่มีผู้บริหารที่มีความสามารถจริงๆเข้ามาทำงาน หรือคนที่ดีก็ไม่มีโครงข่ายที่ดีพอจะคอนโทรลได้ทั้งระบบ การเข้ามาของกลุ่ม INEOS สิ่งที่จะแตกต่างจากตอนสมัยที่ ริชาร์ด อาร์โนลด์ หรือ จอห์น เมอร์เทอต์อยู่ คือเรื่องของความเป็นปึกแผ่น ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
กลุ่ม INEOS เหมือนมังกรที่มีหลายหัว เข้ามาช่วยดูแลพร้อมๆกัน งานตรงนี้จะยกระดับและพัฒนาขึ้นอย่างมีทิศทางที่แน่นอนและชัดเจนไปพร้อมๆกัน
และที่สำคัญ "หัวแต่ละหัว" ของมังกรตัวนี้ ก็ระดับสุดยอดของวงการทั้งนั้น
ไลน์อัพผู้บริหารในอนาคตโคตรเดือดจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงทีมดั้งเดิมสามคนของ INEOS อย่าง SJR, Sir Dave, J C Blanc มาดูแต่ละคนที่เข้ามา โพรโฟล์โหดทั้งนั้น ทั้งตัวยืนหลักของนิวคาสเซิลอย่าง Dan Ashworth, และผู้บริหารไฟแรงที่หลายฝ่ายหมายมั่นปั้นมือว่าเขาจะเป็นอนาคตทั้งหมดของแมนเชสเตอร์ซิตี้อย่าง Omar Berrada กลายเป็นว่าหักฝั่งไม่อยู่ที่นั่น และชอบความท้าทายที่จะข้ามฟากมาอยู่กับแมนยูไนเต็ดและบอร์ด INEOS
จะไม่ให้บอกว่ามันเหมือนเป็นทีม Avengers หลังฉากก็คงไม่ได้ เพราะแต่ละตัวสุดยอดมากจริงๆ สามารถบอกได้ตรงนี้เลยว่า แฟนบอลสามารถคาดหวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ และถ้า Dan คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เข้ามาสร้างโคตรทีมผู้บริหารที่ว่านี้ มันจะเป็นประโยชน์กับแมนยูไนเต็ดยิ่งกว่าการเซ็นนักเตะเก่งๆเข้ามา 2-3 คนซะอีก
นักเตะเก่งๆ คุณหาเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้ามีเงิน มีการ Scout ที่ดีพอ คุณจ่ายเงินมหาศาลไปก็อาจจะได้นักเตะดีๆเข้าทีมมาคนหนึ่ง แต่ถ้าคุณมีผู้บริหารเก่งๆเข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคือ นักเตะเก่งๆอีกมากมายในอนาคตที่จะถูกดึงเข้ามาอย่างถูกจุด เหมาะสม และคุ้มค่า รวมถึงการควบคุมทิศทางสโมสร และการวางโครงสร้างทีมอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ถ้าคุณซื้อนักเตะเก่งๆเข้ามา 2 คน เราก็จะได้นักเตะเก่งๆ 2 คน
แต่ถ้าเราดึงตัวโคตรผู้บริหารชั้นยอดเข้ามาได้มา 2 คน เราก็จะได้นักเตะเก่งๆเข้ามาอีก 10-20 คนในอนาคต
ถ้ามีผู้บริหารดีๆ สิ่งที่ดีกว่านั้นจะค่อยๆตบเท้าตามเข้ามาอีกเพียบ เราจึงได้บอกว่า การมีผู้บริหารดีๆเข้ามา 2-3 คน มีความหมายและสำคัญกว่าการซื้อนักเตะดีๆเข้ามา 2-3 คนหลายเท่ามาก ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแฟนผีถึงควรลุ้นดีลของ Dan Ashworth มากกว่าจะลุ้นนักเตะในช่วงซัมเมอร์ซะอีก
ตามข่าวระบุมาจากแหล่งอื่นๆเช่น Daily Mail เปิดเผยว่า Dan Ashworth จะมีอำนาจในมือมากกว่าตอนที่เขาอยู่ในถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค รวมถึงค่าเหนื่อยที่จะได้รับมากขึ้นด้วย นอกจากนี้เจ้าตัวยังจะได้ทำงานใกล้บ้านกว่าเดิม สิ่งต่างๆเหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เจ้าตัวสนใจในการย้ายมาทำงานในโอลด์แทรฟฟอร์ด และสร้างให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับไปเป็นยักษ์ใหญ่อีกครั้ง
โดยค่าชดเชยตรงนี้ยูไนเต็ดอาจต้องจ่ายให้นิวคาสเซิลมากกว่า 6 ล้านปอนด์สำหรับ แดน แอชเวิร์ธ ซึ่งคุณสมบัติหลักนั้นจริงๆแล้ว แอชเวิร์ธไม่ได้เป็นคนที่เป็นแมวมองโดยตรง แต่เขาดูแลเรื่องการสรรหาบุคลากรได้อย่างยอดเยี่ยม เจรจาปิดดีลต่างๆได้ดี ที่สำคัญคือดูแลเรื่องการวางเครือข่ายการสรรหานักเตะได้ดีมากทั้งในระดับอะคาเดมี่จนถึงทีมชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ
ผู้บริหารนักวางระบบ จะบอกแบบนั้นก็ได้ ให้ดูเครือข่ายการสรรหาของไบรท์ตันแล้วแฟนบอลคงจะรู้ดี อย่างที่เราชอบคุยกันเล่นๆว่า ก็ไปเอาแมวมองของไบรท์ตันมาเลยสิ
การได้ตัว Dan Ashworth มา จะป่าเถื่อนยิ่งกว่าแค่การไปเอาแมวมองไบรท์ตันมาซะอีก เพราะนี่คือคนวางระบบหลักของสโมสรเลย ถ้าได้ตัวมา ปีศาจแดงมีโอกาสจะได้เครือข่ายสรรหานักเตะที่เข้มข้นและทรงพลังกว่าเดิมแน่
ผลงานการคว้าตัวภายใต้ยุคของพี่แดนนั้น มีนักเตะมากมายที่อยู่ในระดับท็อปของวงการฟุตบอล ซึ่งเขาเป็นผู้วางระบบซึ่งนำไปสู่การดึงนักเตะดีๆเหล่านั้นเข้าทีม
ผลงานแทบจะนับนิ้วไม่ได้เพราะเยอะมาก สมัยไบรท์ตันก็ตัวดังๆทั้งนั้นในช่วงที่เขาทำงานอยู่ เช่น ไกเซโด้ มิโตมะ คูคูเรญ่า ทรอสซาร์ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์, ดีลเซ็นฟรีเวลเบ็ค และการScout อีวาน เฟอร์กูสันเข้ามา เป็นต้น นี่แค่บางส่วนเท่านั้น ดีลของไบรท์ตันในช่วงนั้นมีดีๆอีกเพียบ
ขณะที่ตอนอยู่นิวคาสเซิล แน่นอนว่าตัวท็อปๆทั้งหลายในชุดปัจจุบัน มาในช่วงแอชเวิร์ธเช่นกัน ได้แก่ นิค โป๊ป, อเล็กซานเดอร์ อิซัค, สเวน บอทมัน, แอนโธนี่ กอร์ดอน, ฮาร์วีย์ บาร์นส รวมถึง ลิฟราเมนโต้ด้วย ผู้เล่นเหล่านี้คือแกนหลักของนิวคาสเซิลแทบทั้งสิ้นเช่นกันที่ตบเท้าเข้ามาในช่วงซีซั่นที่แล้วและฤดูกาลนี้ แม้ว่าสเกลอาจจะดูใหญ่กว่าตอนดึงนักเตะสมัยอยู่ไบรท์ตัน แต่ทุกตัวที่เข้ามาก็เป็นผู้เล่นสำคัญของนิวคาสเซิลเน้นๆเช่นกัน
ดีลของ Dan Ashworth คาดหมายว่าจะเริ่มเปิดฉากกันอย่างเป็นทางการ และทุกอย่างจะเดินหน้าเร็วมาก สื่อบางแห่งโหมว่าอาทิตย์หน้าน่าจะเสร็จสมบูรณ์ แต่สำหรับแฟนบอลเราคงไม่คาดหวังว่าจะทำได้เร็วขนาดนั้นตามสื่อที่กระพือกันไปเพื่อขายข่าว
แต่ดูจากดีล Omar Berrada ที่มาแบบเงียบๆแต่ฟันฉับทีเดียวสะเทือนทั้งวงการนั้น ขนาดคนนั้นยังมาได้ ทำไม Dan Ashworth จะมาไม่ได้ เราเชื่อว่าพลังการเจรจาของ INEOS ไม่ธรรมดาเลย คอนเน็คชั่นโหดมาก และการเจรจาน่าจะสำเร็จแน่นอน
ถ้าปิดดีล Dan Ashworth เมื่อไหร่ ก็เตรียมเอ่ยคำว่า "Avengers Assemble" ได้เลย
#BELIEVE
-ศาลาผี-
References
https://theathletic.com/5275643/2024/02/14/dan-ashworth-manchester-united-newcastle-latest/
https://utddistrict.co.uk/dan-ashworth-newcastle-ditch-man-utd/14/02/2024/
