:::     :::

"ปีแห่งการเอาตัวรอด" และเราก็เอาตัวรอดในแต่ละเกมได้ดี

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2567 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,043
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมชนะเอฟเวอร์ตันคืออีกหนึ่งเกมที่ยูไนเต็ดเอาตัวรอดมาได้สวยงามในแง่ของผลลัพธ์ และด้วยปัจจัยที่จำกัดอย่างถึงที่สุดที่ทำให้ทีมมีทางเลือกน้อยในการเลือกรูปแบบและวิธีการเล่น นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่เชื่อว่า ถ้าคุณอ่านจบ คุณจะ "เข้าใจ" และเห็นใจยูไนเต็ดในปีนี้อีกเยอะ

"คุณต้องสู้เพื่อคะแนนในตารางเสมอ มันไม่มีเกมง่ายทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเอฟเวอร์ตันด้วยแล้ว พวกเขามีสไตล์การเล่นที่ดี มีโครงสร้าง และยากที่จะชนะ"

"ผมคงต้องบอกว่า เราสร้างโอกาสสำคัญได้เยอะ เรามีเกม counter attack ที่ดี และในภาพรวมเราน่าจะยิงได้ 3-4 ประตูด้วยซ้ำ ส่วนเกมรับของเราป้องกันได้ดีมากๆ พวกเขาพยายามบุกแต่เรารับมือได้ เกมรับของเราเล่นรับด้วยกันเป็นทีมได้อย่างดี"

"มันเป็นเรื่องการสร้างให้เกิดขึ้นมากกว่า การ์นาโช่ทำได้ดีมากๆด้วยการเลี้ยงที่ใช้ความเร็วสูงมากๆซึ่งยากที่จะหยุดได้ เราสมควรได้จุดโทษอยู่แล้ว การตัดสินค่อนข้างชัด บางทีเราน่าจะได้จุดโทษอีกด้วยซ้ำจากลูกแฮนด์บอล"

"จุดโทษมันเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน และเราก็มีตัวยิงจุดโทษที่ดีมากๆในทีม"

"ในพื้นที่การตั้งเกมขึ้นมา พวกเขาเล่นเพรสซิ่งกดดันใส่เรามาก ซึ่งเราไม่สามารถตั้งขึ้นมาได้ตลอดทุกครั้ง นักเตะของเราจำเป็นต้องใจเย็นกับบอลมากกว่านี้ ต้องเล่นกันให้เร็วกว่านี้ ซึ่งถ้าทำได้ในการเจอเพรสเช่นนี้ ด้วยปริมาณการจ่ายบอลมากขึ้น ครองบอลได้เยอะขึ้น ก็จะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้"

"แรชฟอร์ดทำได้ดีในเกม ดีกับทีม และมันก็แสดงให้เห็นถึงทีมสปิริต บรูโน่ยิงลูกแรกแต่เราก็มีตัวยิงจุดโทษหลายคน ในช่วงนี้เขาก็มั่นใจ ในทีมเขาคือตัวโจมตีของเรา"

เอริค เทน ฮาก ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นสำคัญๆในเกมเมื่อวานที่แมนยูไนเต็ดเปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตันไปได้ 2-0 ซึ่งก็ถือเป็นเกมหนึ่งที่ถ้าพูดกันจริงๆเป็นเกมที่รับชมได้แบบสบายใจสักหน่อย (ถ้าเทียบกับเกมอื่นๆ) ด้วยสกอร์ที่นำห่างเกินหนึ่งลูก และรูปเกมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากการคุมสถานการณ์ได้อยู่ ทำให้สามแต้มนี้ของทีมประสบความสำเร็จในที่สุด

ประเด็นของเกมนัดนี้ พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามแบบคร่าวๆ มันเป็นเกมที่คู่แข่งตั้งใจเปิดแทคติกมาเล่นงานจุดอ่อนแมนยูไนเต็ดจริงๆซึ่งก็ทำได้ดี และใช้ได้ผลซะด้วยในเกมแพลนวันนี้ที่มาเล่น High Pressing ใส่แมนยูไนเต็ด ซึ่งน่าสนใจตรงที่ว่า เอริค เทน ฮาก เองก็รู้ และพูดออกมาในการให้สัมภาษณ์ว่าเราไม่ได้รับมือได้ไปซะทุกครั้ง หลายๆจังหวะโดยเฉพาะต้นเกมก็โดนเพรสจนเสียบอลในแดนตัวเองจริงๆ 

ในเรื่องของ "คุณภาพ" การครองบอล เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของแมนยู ณ โมเมนต์ปัจจุบันนี้ในยามที่ทีมขาดนักเตะที่เป็น "ฐานการครองบอล" ไปหลายคนมากๆ โดยเฉพาะ  ลิซานโดร มาร์ติเนซ และ ลุค ชอว์ ซึ่งเป็นฐานแนวหลังที่ทำหน้าที่ครองบอล ออกบอล และตั้งเกมขึ้นหน้าเป็นหลักของทีม

ถ้า ลิช่า กับ ชอว์ อยู่กันครบๆ เกมครองบอลด้วยหลักการเล่นที่ใช้ Possession-based มันจะชัดเจน แน่นอน และ "ชัวร์" กว่านี้เยอะ

พี่เมาท์ก็อีกคนที่ EtH ซื้อเข้ามาเพื่อเติมสิ่งที่ทีมขาดอยู่จากปีที่แล้วในเรื่อง "ไดนามิคในแดนกลาง" ก็ดันเจ็บซะอีก สองคนนี้รออีกสักพักใกล้จะกลับมาแล้ว

ในความรู้สึกของแฟนบอลแบบทั่วๆไปก็จะมองว่า ที่แมนยูไม่มีทรง คือการที่ทีมครองบอลไม่ได้ ซึ่งจริงๆนั่นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะทรงบอลที่แท้จริงต้องดูด้วยว่า ทีมกำลังเล่นอะไรอยู่ ใช้วิธีแบบไหน ในสถานการณ์ทีม และเกมการแข่งขันแบบไหน

ในตอนนี้ ทีมขาด Key Player ไปเยอะมากๆ ซึ่งมันกระทบกับ "วิธีการเล่น" ของทีมโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่เอริค เทน ฮาก ต้องการ มันเลยทำให้การเล่นต่างๆในอุดมคติแบบที่ตัว EtH อยากได้นั้น ก็ยังไม่ได้

มันยังไม่เพียงพอเลย ทั้งนักเตะที่มีสกิลทักษะดีพอจะเล่นในสิ่งที่เขาต้องการได้ ตัวเล่นในทีมถึงจะอยู่กันครบก็ไม่พออยู่ดี 

แถมตอนนี้ "บางตัวที่เล่นได้" ก็ดันเจ็บไปซะหมดอีก มันเป็นสิ่งที่แฟนแมนยูไนเต็ดควรจะต้องเข้าใจ และรับรู้ปัญหานี้ของทีมว่าน่าเห็นใจมากๆ ในยามที่ปัญหาตัวเจ็บตามหลอกหลอนทีมตั้งแต่ต้นซีซั่นที่เจ็บยาวๆกันไปครึ่งปี โดยเฉพาะไมนู คาเซมิโร่

มองตาม "สภาพ" ความเป็นจริง แค่เอาตัวรอดติดอยู่ใน Top 6 ได้ตอนนี้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์มากๆแล้ว

กลับมาที่เกมนัดนี้ ดังนั้นจะเห็นว่า การโดน High Pressing ของเอฟเวอร์ตันเล่นงานจนช่วงแรกๆของครึ่งแรกเป๋ไปนั่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และไม่ได้แปลกใจอะไร คือสัดส่วนของการหนีเพรสได้ กับการแก้แล้วพลาด มันก็อยู่พอๆกันอยู่ ไม่ได้ถึงกับแก้ได้ 100% หรือโดนเพรสแล้วเสียไปซะ 100% ขนาดนั้น

เรื่องนี้เราถือว่า เราจะพยายามเข้าใจปัญหาของทีม ขอแค่ว่าแม้จะยังทำได้ไม่ดีในการครองบอล ตั้งเกมจากแผงหลัง แต่ก็อย่าให้ผิดพลาดจนถึงขนาดเสียประตูก็พอ แค่นั้นก็โอเคแล้ว ซึ่งเกมนัดนี้มันเป็นแบบนั้น เราลำบากจากการโดนเพรสซิ่งสูง แต่อย่างน้อยทีมก็ยังมีเกมรับที่ไว้ใจได้ และสุดท้ายก็เก็บคลีนชีทได้สำเร็จ

เกมรุกของเอฟเวอร์ตันยังไม่ดีพอจะสร้างโอกาสสำคัญๆ และดีพอจะยิงประตูได้ โอกาสที่พวกเขาทำได้มันจึงมีแต่แค่ "ปริมาณ" เท่านั้น แต่คุณภาพยังไม่มากพอ

ก็สะท้อนตามสิ่งที่เอริค เทน ฮาก พูดในเรื่องของ "xG" (ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความใกล้เคียงของโอกาสที่จะทำประตู) ว่าเทียบกันแล้วเอฟเวอร์ตัน xG น้อยกว่าเรามาก ดังคำให้สัมภาษณ์ดังนี้

"เราป้องกันได้ดีมาก ค่า xG ของเราสูงกว่าพวกเขามาก เกมรับของเราป้องกันให้โอกาสของพวกเขามันน้อยลง บางทีเราตั้งรับต่ำมาก และเราก็ทำมันได้ดี"

"มันเป็นอะไรที่สำคัญมาก เรามีผลการแข่งขันไม่ดีเกมหนึ่งกับฟูแล่มในปฏิทินปีนี้ เราต้องแก้ไขเรื่องนั้น แล้วก็ไล่กดดันทีมข้างบนต่อไป ยังเหลือเกมอีกหลายเกม ตอนนี้พวกเรากลับมาอีกครั้ง และก็จะกดดันพวกเขาต่อไป จากนั้นค่อยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างต่อจากนี้"

เรื่องของ xG มันไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องของการทำเกมรุกแค่แง่เดียว การที่ xG น้อย มันเกิดขึ้นจากแนวป้องกันของคู่แข่งที่เล่นเกมรับ และปิดไม่ให้คู่แข่งได้มีโอกาสยิงจะจะ หรือยิงในจังหวะสำคัญที่ได้ลุ้นประตูนั่นเอง

พูดง่ายๆก็คือเครดิตของอีกทีมหนึ่งที่ปิดเกมรับได้ดีนั่นเอง

สังเกตเกมนี้ก็จะค่อนข้างชัด จังหวะที่เป็น Big Chance ของเอฟเวอร์ตันไม่มีเลย ช็อตที่เกือบจะได้ลุ้นหนักๆก็ยังเจอนักเตะแมนยูไนเต็ดพุ่งมาบล็อคได้สำเร็จ นั่นคือเหตุผลว่าทำไม xG มันต่ำนัก

มีแต่ปริมาณแค่อย่างเดียว (Attempts = 23) แต่ความใกล้เคียงน้อยมากๆ (xG ราวๆ 1.48-1.78เท่านั้นในเกมนี้) ถ้าสังเกตดีๆ จาก 23 ครั้ง เอฟเวอร์ตันไม่ได้จบสกอร์จะๆ ยิงหลุดกรอบไป 7 และติดบล็อคอีก 10 นั่นก็สะท้อนได้ดีมากแล้วสำหรับเกมรับยูไนเต็ด ซึ่ง 6 ครั้งที่ยิงตรงกรอบ ก็อยู่ในการควบคุมของอังเดร โอนาน่าทั้งหมดแล้ว

อังเดรอ่านตัดลูกครอส อ่านเกมออกมาบล็อคนอกเส้น พุ่งเข้าหาคู่แข่งแบบไม่กลัวเจ็บเลยแม้แต่ครั้งเดียว โคตรน่าเป็นห่วงเวลาที่เห็น และแกก็ทำได้ดีมากในจังหวะแบบนี้จริงๆ คลาสบอลที่ดีอยู่แล้ว พอปรับตัวได้มาตรฐานที่แท้จริงก็เปิดเผยให้แฟนบอลได้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ

การเล่นป้องกันในพื้นที่ตรงกลางอาจจะยังไม่เด่นเท่าไหร่อันนี้ไม่ว่ากัน ในบริเวณกลางสนาม (Middle-Third) ภาคการเพรสซิ่งอาจจะไม่เด่นมากนัก ยังไม่ดีพอเวลาที่พยายามจะดันเกมขึ้นมาเล่น Mid-press สวนคืนใส่เอฟเวอร์ตันบ้าง

แต่การป้องกันในแดนสุดท้าย (Defensive Third) ของทีมเราดีมากๆ

ต้องชมเกมรับในพื้นที่สุดท้ายของแมนยูไนเต็ดว่าทำได้เยี่ยม โดยเฉพาะแผงแบ็คโฟร์ของทีมที่ปิดพื้นที่อันตรายได้ดีสุดๆ ดาโลต์ วาราน อีแวนส์ ลินเดอเลิฟ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ และแทบจะไม่เปิดพื้นที่ให้เอฟเวอร์ตันเล่นงานในจังหวะสุดท้ายได้เลย

โดยเฉพาะอีแวนส์ ฟอร์มโคตรโหด เล่นโคตรจะร็อคเหมือนกินไวอะกร้ามา อ่านขาดหมด ไม่ต้องใช้พลังเยอะ แต่เน้นประสบการณ์ล้วนๆ ยืนดักทางบอล สกัดได้แทบทุกลูก เป็นดีลช่วยชีวิตแมนยูได้อย่างน่าทึ่งมากๆปีนี้ในยามที่ CB สลับหน้ากันเจ็บตลอดเวลา ถ้าไม่มีอีแวนส์ เกมรับแมนยูจะเละกว่านี้ และอาจตกลงไปอยู่กลางตารางจริงๆเลยด้วยซ้ำ

ขณะที่พื้นที่ถัดมา ในแอเรียด้านหน้าแผงหลัง ก็มีคาเซมิโร่ รวมถึงไมนู ที่รักษาตำแหน่ง และมีระเบียบวินัยในการยืน position ที่ดีเพื่อป้องกันการโดนโจมตีจากรอบนอกได้ด้วย เกมรับในพื้นที่อันตรายทั้งหมด เราจึงมี 3 Elements ที่ป้องกันเกมรับให้ทีมได้ดีมากๆ ได้แก่

Onana : ในแอเรียสุดท้ายหน้าปากประตูของกรอบ6หลา

Back Four : แอเรียพื้นที่จบสกอร์ในบริเวณรอบๆด้านหน้าประตู

Casemiro Mainoo : คุมพื้นที่แถวสองเอาไว้ไม่ให้มีรูโหว่ คัฟเวอร์จนไม่สามารถเจาะยิงจากตรงนั้นได้ง่ายๆ

จังหวะการเล่นเกมรับที่ถอยต่ำลงไปปิดพื้นที่ในลักษณะของ "Low-block" แมนยูทำได้ดีเสมอ ป้องกันได้ดี และเสียประตูยากมากๆ หลายๆคนมักจะดูถูก Low-block ว่าเป็นแผนของทีมเล็ก ทีมอ่อนชั้นกว่า แต่จริงๆมันเป็นอีกแทคติกนึงที่สามารถใช้ได้ไม่ว่าจะทีมใหญ่ทีมเล็กเหมือนกัน

แมนยูผิดอะไรถ้าจะถอยลงไปตั้งรับต่ำ ในเมื่อแผนของทีมต้องการจะใช้เกม Counter-Attack ที่มีตัวรุกสายสปีดรอเล่นเกมสวนกลับอยู่แนวหน้าอยู่แล้ว? การใช้ Low-block ของแมนยูไนเต็ดจึงดีทั้งสองต่อ ไม่ว่าจะในแง่ของการป้องกันที่เหนียวมากๆ เหนียวขนาดไหนลิเวอร์พูลคงรู้ดีอยู่แล้วในเกมที่ไปเยือนแอนฟิลด์

และส่งผลต่อเนื่องถึงการเรียกสเปซด้านหลังแนวรับคู่แข่ง ขุดบ่อล่อปลาดึงพื้นที่เพื่อจะโต้กลับ แผนนี้ถูกใช้อยู่แล้วในหลายๆครั้ง ซึ่งมันแมตช์กับคุณสมบัติของนักเตะแมนยูในตอนนี้มากกว่าเยอะ โดยเฉพาะ แรช การ์นาโช่ ฮอยลุนด์ บรูโน่ 4 ตัวหลักนี้คือหัวหอกเกมโต้กลับที่เหมาะจะเล่นเร็วที่สุดแล้ว ไม่มีใครเหมาะกับการครองบอลหาช่องเจาะใส่คู่แข่งที่ถอยไปตั้งรับลึกเลย แต่ถ้าเป็นเกมเร็ว นักเตะเรามี Skill Set ที่เหมาะสมมากอยู่เต็มไปหมดในทีม

ด้วยนักเตะชุดนี้ มันก็ต้องโจมตีเร็วแบบนี้แหละ จนกว่าจะมีตัวดีๆมาเสริมมิติการเล่นให้เราเพิ่มในอนาคต

ถ้าให้ครองบอลขึงคู่แข่งแบบซิตี้ อาร์เซนอล บอกเลยว่า "Chances" ในเกม เราจะสร้างไม่ได้เยอะเหมือนทุกวันนี้แน่นอน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเอริค เทน ฮาก ถึงต้องให้ทีมเล่นบอลเร็ว เล่นบอล Direct Speed สูงๆ และเล่นเกม Transition Play เป็นหลัก 

เพื่อที่จะสร้างโอกาสสำคัญๆที่มันมีโอกาสจะเป็นประตูจริงๆให้ได้มากที่สุดนั่นเอง เกมเร็วมันมีประโยชน์ตรงนั้น กับการใช้บุกใส่คู่แข่งที่ตั้งตัวไม่ทัน เจอความเร็วเล่นงานแล้วเป๋เหมือนแนวรับเอฟเวอร์ตันที่เกือบจะเสียจุดโทษไป 3-4 ครั้งแล้ว ในยามที่ยังถอยลงไป organized แนวรับไม่ทัน นั่นแหละคือความหมายของเกมรุกเร็วที่แมนยูพยายามใช้กันอยู่

ภาพรวมของเกมนัดที่ชนะเอฟเวอร์ตัน 2-0 นัดนี้ ผมพูดได้เต็มปากว่ามันไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เกมที่ทรงคุณภาพ เล่นกันสวยงาม หรือโคตรเหนืออะไรเลยของแมนยูไนเต็ด

แต่มันเป็นการเล่นที่เก็บผลการแข่งขันได้ "เน้นๆ" มาก กับการยิงห่างคู่แข่งสองประตู และเก็บชัยชนะได้แบบเต็มๆ พร้อมด้วยคลีนชีท และสามคะแนนสวยๆ

ทรงบอลไม่ได้สวยงาม แต่มันมีประสิทธิภาพจริง และเก็บคะแนนให้ทีมได้โคตรดี

จากที่ทีมโดนเล่นงานและมีเป๋ให้เห็นในช่วงแรก ขนาดว่ายิงนำ 1-0 แล้วเกมก็ยังไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งขนาดนั้น แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ยูไนเต็ดเริ่มรับมือเอฟเวอร์ตันได้ และค่อยๆเก็บบอลได้นิ่ง คุมสถานการณ์ในสนามได้ดีขึ้น หลังจากที่โจมตีด้วยหมัดที่ "หนัก" กว่าเอฟเวอร์ตัน และสร้างโอกาสเรียกจุดโทษได้สำเร็จจนยิงได้ในลูกที่สอง นั่นก็เป็นการปิดเกมในเบื้องต้นแล้ว

จนถึงตอนนี้บางคนที่ยังไม่ให้เครดิตการได้จุดโทษของทีม ก็ต้องถามไปว่า การเล่นที่โจมตีได้อันตรายจนเรียกจุดโทษได้ นั่นก็คือเครดิตของการทำเกมรุกเหมือนกัน เพราะถ้าชนะด้วยจุดโทษมันง่าย ทำไมคู่แข่งทำไม่ได้ ทำไมคู่แข่งถึงเสียจุดโทษ ต้องย้อนไปถามเรื่องนี้

โอกาสที่สร้างขึ้นมาจากการได้บอลกดดันและโจมตีในพื้นที่กรอบเขตโทษคู่แข่ง นั่นแหละคือการทำให้โอกาสได้จุดโทษมันมีขึ้นมา และนักเตะเอฟเวอร์ตันก็เอาแนวรุกเราไม่อยู่จริงๆ ก็ต้องโดนลงโทษไปตามระเบียบ

เพราะถ้าพวกเขาไม่เสียฟาล์ว สุดท้ายก็ต้องโดนแนวรุกเรากระชากผ่านไป และมีช่องให้ยิงได้อยู่ดี นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่ถ้าจะไม่ตัดฟาล์ว แนวรับเอฟเวอร์ตันก็ต้องโดนสักลูกสองลูกอยู่ดีนั่นเอง

ความสวยงามที่แท้จริงของฟุตบอลคืออะไร? มันคือชัยชนะ และการเก็บผลลัพธ์ สำคัญที่สุดในยามที่การแข่งขันทุกรายการมันต้องชนะให้ได้ทุกเกม

ราเขียนตรงนี้ไม่ได้จะบอกว่า "ไอ้ที่เล่นอยู่มันดีแล้ว"

เพราะแค่ชนะมาก็พอ รูปแบบการเล่นไม่ต้องสน?? ไม่เลย ไม่ใช่แบบนั้น

ตามความจริงก็คือ ทีมเรายังขาดคุณภาพของการครองบอล การต่อบอลทำเกมที่ดีอีกเยอะ ถ้าให้เทียบกันจะเห็นชัดว่า ภาคการปั้นเกมทำเกมรุก จากค่า xT (Expected Threat) เราก็ด้อยกว่าเอฟเวอร์ตันเช่นกัน (xThreat แมนยู 0.99 - 2.09 เอฟเวอร์ตัน) ส่วนหนึ่งเนื่องจากแมนยูไม่ได้ใช้ "จังหวะการทำเกมรุกด้วยการออกบอลปริมาณมากครั้ง"

ยูไนเต็ดใช้การเล่นที่รวดเร็ว ต่อบอลกันให้น้อยที่สุด และสร้างโอกาสยิงให้เร็วที่สุด ค่า xT มันก็ดูจะน้อยมากๆ แต่ xG ต่างหากคือตัววัดผลของจริงว่าสร้างโอกาสได้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ "attempts" ที่พูดๆกันอยู่ว่าโดนส่องเกมนึง 20+ มันก็จริง แต่ถ้าจะจริงกว่า ยุคนี้มันต้องวัดกันที่ xG เท่านั้น มีแต่ปริมาณไม่มีความหมาย ซึ่ง xG แค่ราวๆ 1.5 มันไม่ได้แย่อะไรถึงขนาดนั้น ถ้าดูแต่ตัวเลข 20+ จะไม่มีทางเห็นภาพของ "ความจริง" เลยว่า ไอ้เกมที่ว่าเอฟเวอร์ตันได้ยิงเยอะๆ แปลว่าเราป้องกันแย่หรือ? ก็ไม่ใช่ ต้องพิจารณาบริบทโดยรอบให้ครบเท่านั้นถึงจะถูกต้องที่สุด ไม่ใช่ดูตัวเลขสถิติมาแค่มิติเดียว

มันจะดีกว่าถ้าครองบอล และปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ยิงให้น้อยที่สุด นั่นคือประเด็นสำคัญ อันนี้ถูกต้อง

การเจอคู่แข่งลองส่องบ่อยๆถือว่าระบบทีมยังมีช่องว่างให้คู่แข่งโจมตีได้อยู่ มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะลดได้ถ้าทีมได้นักเตะตัวสำคัญๆมาสร้างเกมการเล่นที่แน่นอน และชัวร์กว่านี้ในการครองบอล คุมเกมกลางสนาม ซึ่งตอนนี้ตัวเจ็บเราค่อนข้างเยอะ แม้กระทั่งกองหน้าตัวเป้าที่ใช้เก็บบอลยังไม่อยู่

โอกาสที่ทีมจะได้ครองบอลจริงๆมันก็น้อยมากอยู่แล้ว ข้อนี้แฟนบอลควรจะต้องเข้าใจด้วยว่าทำไมเราโดนคู่แข่งครองบอล และส่องยิงบ่อยครั้ง เรื่องนี้ถือเป็นเหตุผลสำคัญของปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งทีมเราแก้ไม่ได้ในตอนนี้เนื่องจากตัวผู้เล่นไม่พร้อมจริงๆ

การแก้ปัญหาก็คือ เราต้องแพ็คพื้นที่อันตรายให้ดีที่สุดนั่นแหละ เพื่อป้องกันคู่แข่งให้ได้ และเรียกโอกาสโต้กลับได้ด้วย ในช่วงนี้ที่ทีมยังครองบอลไม่ได้ เราก็ต้องเลือกแผนที่ต้องการจะถอยต่ำรับลึกเพื่อรอโต้กลับ การเจอโอกาสยิงเยอะๆ (Shot Faced) จึงเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเข้าใจปัจจัยของปัญหาตรงนี้ แฟนบอลจะนึกภาพออก และเข้าใจว่า Shot Faced เยอะๆต่อเกมนึงที่เป็นสิบยี่สิบครั้งที่โดนคู่แข่งลองยิง มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และต้องทำใจกันไปก่อน

แต่อย่างน้อยที่สุด แนวรับของเราก็ยังแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันไม่ให้มันเป็นโอกาสสำคัญๆที่อันตรายได้ และเราก็ไม่เสียประตู นั่นก็พอแล้ว คลีนชีทเป็นคำตอบที่สำคัญ และการเสียประตูในแต่ละเกมที่ถือว่าเสียน้อย มันคือคำตอบในเรื่องนี้

และทั้งหมดนี้คือแง่มุมที่เกิดขึ้นจากเกมที่ยูไนเต็ดเปิดบ้านชนะเอฟเวอร์ตัน 2-0 ซึ่งทีมเรายังต้องพัฒนาและแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป เพราะถ้าเราคมจริงๆ โอกาสที่จะเป็น 3-0 เมื่อวานก็มีเหมือนกัน ขณะที่ภาคการครองบอลควรจะทำได้ดีกว่านี้ ครองเกมได้ชัวร์ และไม่มีความผิดพลาดส่วนตัวที่เกิดขึ้น (Individual Errors) เยอะเหมือนที่ต้นเกมเราเห็นกันว่าหลายๆคนจ่ายกันพลาด

การเล่นอาจจะยังไม่ดีครบทุกมิติ แต่จุดที่แข็งแกร่งในเกมรับมันก็เหนียวแน่นมากจริงๆ ส่วนเกมรุกที่แฟนบอลดูแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยแน่นอนสักเท่าไหร่ แต่การได้สองประตูมาก็เป็นคำตอบที่เป็นรูปธรรมที่สุดแล้ว

เรื่องท็อปโฟร์ ผมคงต้องบอกกันชัดๆตรงนี้ว่า แฟนผีต้องอยู่กับความเป็นจริงเท่านั้นแล้วว่าโอกาสมันไม่มีแล้ว

เพราะในทางปฏิบัติแล้ว สิบนัดที่เหลือกับระยะห่าง 8-9 คะแนนกับสองทีมอย่างวิลล่า กับ สเปอร์ส มันเกิดขึ้นได้ยากมากที่แมนยูจะขึ้นไปติดท็อปโฟร์ในปีนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ เลิกหวังตรงนั้น แล้วเชียร์ให้ทีมทำผลงานให้ดีที่สุดในเกมที่เหลือแค่นั้นก็พอ นั่นคือความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับ และถ้าเรารู้ว่าทีมตัวเองอยู่จุดไหน ความผิดหวังมันก็จะลดลง และไปเริ่มต้นใหม่ในปีหน้าเอา

ส่วนปีนี้ของแมนยูไนเต็ดคือการ"เอาตัวรอด" ล้วนๆมาตลอดทางตั้งแต่ต้นซีซันมาจนถึงตอนนี้ นัดนี้ก็เป็นอีกเกมที่เราเอาตัวรอดได้ดีจากทรัพยากรที่มีอยู่

เชียร์กันต่อไปให้ถึงจุดสุดท้ายของฤดูกาลครับ

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})