มิดฟิลด์วัย 25 ปี ได้โอกาสลงสนามให้ทัพช้างศึกอย่างเป็นทางการเป็นนัดแรกในชีวิตในเกมระดับนานาชาติ ก่อนจะโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับการกำกับเกมในแดนกลางจนทำให้ไทย ชนะสิงคโปร์ ไปได้ 2-0 ผ่านสู่รอบรองชนะเลิศ อาเซียน คัพ 2020 ด้วยชัยชนะ 4 นัดรวด

นักเตะผู้ถนัดเท้าซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า "ตอนที่ผมรู้ว่าจะได้ลงสนามเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงมันรู้สึกกดดันนะ ไม่ได้กดดันที่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร แต่กดดันตัวเองนี่แหละ"

"ที่กดดันตัวเองก็เพราะมันคือเกมแรกของเราในระดับนานาชาติ ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นในนัดอุ่นเครื่องเท่านั้น มันคนละความรู้สึกกันเลย อีกทั้งก็เป็นการแข่งขันนอกประเทศด้วย หลายๆ อย่างเลยพลอยให้รู้สึกคาดหวังไว้ระดับหนึ่ง แต่ผมก็พยายามมีสมาธิให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และก็ดีใจที่ได้รับโอกาสจากโค้ช (อเล็กซานเดร โพลกิ้ง)"

"ตอนลงสนาม (เกมกับสิงคโปร์) ช่วงแรกๆ ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เพราะอย่างที่บอกไปว่าเราเองก็กดดันกับแมตช์แรกในระดับนานาชาติ จนเวลาค่อยๆ ผ่านไป ผมเริ่มปรับตัวได้ มันเลยทำให้ทุกอย่างผ่อนคลาย"

"การติดทีมชาติก็ดีใจแล้ว แต่การได้ลงสนามในนามทีมชาติมันเป็นความภูมิใจสำหรับตัวผมเองและครอบครัว"

นอกจากนี้ วีระเทพ ยังพูดถึงการที่ตัวเองเป็นนักเตะหน้าใหม่ของทีม เพราะย้อนไปเมื่อปี 2018 เขายังเล่นอยู่ใน ไทยลีก 3 อยู่เลย ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับกิเลนผยอง กระทั่งติดทีมชาติไทย ในปัจจุบัน อดีตกองกลางของ จามจุรี ยูไนเต็ด กล่าวว่า "ตอนที่ไทย ได้แชมป์ครั้งล่าสุด (ปี 2016) ตอนนั้นผมยังเป็นผู้ชมอยู่ที่บ้านอยู่เลย ยังร้องดีใจตอนที่ไทย ชนะอินโดนีเซีย ในรอบชิงชนะเลิศอยู่เลย"

"ผ่านมา 5 ปี ตอนนี้ผมได้เล่นทัวร์นาเมนต์นี้ แถมผมยังได้เล่นร่วมกับพี่ๆ ที่เป็นแชมป์ในปี 2016 อีกด้วย มันคือช่วงเวลาที่เหลือเชื่อจริงๆ มันน่าทึ่งมากๆ "

"ผมต้องขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจและคำชมมากมาย แต่ผมจะไม่หลงระเริงไปกับสิ่งนั้น เพราะผมยังอยากจะพัฒนาขึ้นไปอีก ผมไม่รู้หรอกว่าจะไปได้ขนาดไหน ทว่าผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่ตัวเองจะก้าวไปอีกระดับหนึ่ง"