กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส กับ แอรอน ร็อดเจอร์ส บรรลุข้อตกลงกันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาด้วยสัญญา 4 ปี มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงเงินการันตี 153 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้จอมทัพวัย 38 ปีกลายเป็นควอร์เตอร์แบ็กที่รับค่าจ้างเฉลี่ยต่อปีถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ มากสุดในประวัติศาสตร์ของเอ็นเอฟแอลทันที 

แพ็คเกอร์ส มีพื้นที่เหนือเพดานเงินเดือนราว 26 ล้านเหรียญสหรัฐ และการทำข้อตกลงใหม่กับ ร็อดเจอร์ส มีมูลค่า 46.6 ล้านเหรียญสหรัฐในเพดานเงินเดือนปี 2022 ก่อนที่ทีมหัวเนยจะปิดป้าย 'แฟรนไชส์ แท็ก' กับ เดวอนเท อดัมส์ ซึ่งจะทำให้ปีกนอกวัย 29 ปี รับค่าจ้างมูลค่า 20.145 ล้านเหรียญสหรัฐหากไม่มีการทำข้อตกลงระยะยาวก่อนเส้นตายในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้ 

ร็อดเจอร์ส ทวีตข้อความหลังบรรลุข้อตกลงใหม่กับทีมหัวเนยว่า 'เฮ้ ทุกคน แค่ต้องการเคลียร์บางอย่าง ใช่, ผมจะเล่นกับ@packers ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม รายงานเกี่ยวกับการลงนามในสัญญาของผมนั้นไม่ถูกต้อง เช่นเดียวกับเงื่อนไขที่ควรจะเป็นของสัญญาที่ผมลงนาม ผมตื่นเต้นมากที่จะกลับมา#ปีที่18' 

เมื่อ ร็อดเจอร์ส กลับมาร่วมทีมในช่วงก่อนเข้าเทรนนิ่งแคมป์ ควอร์เตอร์แบ็กวัย 38 ปีได้ลงนามในสัญญาที่ปรับโครงสร้างแล้วโดยยกเลิกสัญญาในปีสุดท้ายของเขาในซีซั่น 2023 ทำให้การแยกทางง่ายขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2021 ก่อน แพ็คเกอร์ส จะประสบความสำเร็จในการทำข้อตกลงใหม่กับ ร็อดเจอร์ส 

จากข้อตกลงใหม่ทำให้ ร็อดเจอร์ส กลายเป็นผู้เล่นที่รับค่าจ้างเฉลี่ยต่อปี 50 ล้านเหรียญสหรัฐมากสุดในประวัติศาสตร์ของเอ็นเอฟแอลแซงหน้า แพทริค มาโฮมส์ ควอร์เตอร์แบ็ก แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ ที่รับค่าจ้างเฉลี่ย 45 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ตามมาด้วย จอช อัลเลน ควอร์เตอร์แบ็ก บัฟฟาโล่ บิลล์ส ที่รับค่าจ้างเฉลี่ยต่อปี 43.006 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนค่าติดแท็กผู้เล่นปีกนอกในซีซั่น 2022 ถูกกำหนดไว้ที่ 18.419 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ อดัมส์ จะได้รับเงิน 20.145 ล้านเหรียญสหรัฐจากการทำข้อตกลงหนึ่งปีกับ แพ็คเกอร์ส เนื่องจากตามกฎของเอ็นเอฟแอลระบุว่าผู้เล่นสามารถรับค่าจ้างจากการติด 'แฟรนไชส์ แท็ก' หรือ 120 เปอร์เซ็นต์ของค่าจ้างเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นอยู่กับจำนวนใดจะสูงกว่ากัน

จากกรณีของ อดัมส์ รับค่าจ้างในปี 2021 มูลค่า 16,787,500 เหรียญสหรัฐ ดังนั้นจำนวนเงิน 120 เปอร์เซ็นต์จากค่าจ้างเดิมจึงมีมูลค่าสูงกว่าที่ 20.145 ล้านเหรียญสหรัฐ