ความโหยหาของ "แฟนบอล" ต่อลูกหนังไทย
แม้ในช่วงแรกทั้ง 11 สนาม จะไม่สามารถจุแฟนบอลได้เต็มจำนวน แต่ในเกมกลุ่ม เอฟ ระหว่างทีมชาติฮังการี ต้อนรับ โปรตุเกส แชมป์เก่า ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวโลกที่ได้รับชมในวันนั้น เมื่อได้เห็นภาพของแฟนฟุตบอลที่เข้ากันมาเต็มสนามปุสกัส อารีนา ที่มีความจุมากถึง 67,000 คน
สาเหตุหลักที่ทำให้แฟนบอลเข้าสนามได้เต็มจำนวนในวันนั้น มาจากความสำเร็จในการกระจายวัคซีนของฮังการี ซึ่งเกือบจะครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศ โดยใช้วัคซีนที่ผลิตโดยประเทศจีนและประเทศรัสเซีย
และในนัดชิงที่สนามเวมบลีย์ ระหว่าง อิตาลี กับ อังกฤษ นั้นล้ำไปอีกขั้นกับภาพที่แฟนบอลเข้าไปในสนามเต็มจำนวน โดยไม่ต้องมีการสวมใส่แมสก์กันแล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า "ฟุตบอล" จะขับเคลื่อนอย่างสนุก ก็ต้องมี "กองเชียร์" เป็นสารตั้งต้น ที่คอยกระตุ้นนักเตะในสนามตลอดเวลา
นี่คือภาพจำในศึกยูโร 2020 จนต่อเนื่องมาที่ฟุตบอลลีกใหญ่ๆ ของยุโรป ที่สามารถเปิดให้แฟนบอลเข้าชมได้ อาทิเช่น พรีเมียร์ลีก ที่ให้เข้าสนามได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้สโมสรมีรายได้มาหล่อเลี้ยง
ขณะที่ลีกในเอเชียอย่าง เกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่น ก็เปิดให้แฟนบอลเข้าสนามได้เช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่สามารถให้เข้าได้เต็มจำนวนก็ถือว่าเป็นเครื่องการันตีกับการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี หลังทั่วโลกเจอเชื้อนี้เล่นงานมาแล้วกว่า 2 ปีเต็ม
กลับมาที่บ้านเรา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ยอดผู้ติดเชื้อต่อวันทะลุไปแบบ "นิวไฮ" แตะที่ 2 หมื่นกว่าคนมาแล้ว จึงเกิดคำถามว่า แล้วแบบนี้ไทยลีกจะมีการเปิดสนามให้แฟนบอลเข้าไปชมได้บ้างหรือไม่
ทำให้ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา บ.ไทยลีก จำกัด เริ่มเดินเครื่องปรึกษากับหลายสโมสร เพื่อทำหลายๆ แผนออกมา ก่อนยื่นไปให้ ศบค. พิจารณาดูว่า สามารถจัดการแข่งขันได้หรือไม่ ก่อนได้รับการไฟเขียวให้ฟุตบอลไทยลีกสามารถกลับมาดำเนินการแข่งขันแบบปิดได้แล้ว แต่ยังไม่อนุญาตให้แข่งขันในสนามที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)
จากนั้นก็เป็น กรมควบคุมโรค จ.บุรีรัมย์ ซึ่งพื้นที่ของพวกเขาประกาศชัดเจนว่า จะสามารถจัดการแข่งขันแบบมีผู้ชมได้ 25 เปอร์เซ็นต์ ของสนาม แต่ต้องมีผู้รับวัคซีน Astra Zeneca จำนวน 1 เข็ม ไม่ต่ำกว่า 14 วัน และวัคซีน Sinovac ครบจำนวน 2 เข็ม
การประกาศครั้งดังกล่าวมีส่วนสำคัญให้หลายจังหวัด ที่ไม่ได้เป็นสีแดงเข้ม เริ่มจะปรึกษากรมควบคุมโรคและผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้หลายสโมสรเริ่มเปิดให้แฟนบอลเข้าสนามได้ 25 เปอร์เซ็นต์ในเกมแรก ทั้งไทยลีก 1-3
แต่ที่ยอดเยี่ยมกว่านั้น ก็คือ ในวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ทีการประกาศผ่อนปรนของ ศบค. ที่อนุญาตให้ประชาชนเดินทางข้ามจังหวัดจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้ และ เปิดใช้สนามกีฬาทุกประเภท สำหรับการฝึกซ้อมของนักกีฬาทีมชาติไทย แบบไม่มีผู้ชม เฉพาะ 29 จังหวัดที่มีสีแดงเข้ม
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ชลบุรี เป็นทีมแรกที่ได้คัมแบ็คไปใช้บ้านตัวเอง แทนที่จะต้องไปใช้สนามกีฬากลาง จ.ตราด และ เขากระโดง สเตเดี้ยม ซึ่งเดินทางไกลอย่างมาก อีกทั้งเป็นการเซฟเงินของสโมสรอีกทางหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่มีแฟนบอลเข้าสนามก็ตาม ต่อจากนั้นก็ปรับมาเป็นทุกๆ สโมสรที่อยู่ใน 29 จังหวัดสีแดงเข้ม ที่สามารถเปิดใช้สนามของตัวเองได้แล้ว ทว่าบางส่วนยังไม่อนุญาตให้กองเชียร์เข้าสนามเท่านั้น
ส่วนทีมที่สามารถมีแฟนบอลเข้าสนามได้ 25 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะได้เม็ดเงินจากการขายบัตรผ่านประตูเข้ามาหล่อเลี้ยงสโมสรอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการขายเสื้อแข่งฤดูกาลใหม่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่า ฟุตบอลทั่วโลกนอกจากการมีสปอนเซอร์แล้ว สาวกของทีมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนสโมสรไปในทิศทางที่ดีได้เหมือนกัน
เนื่องจากหลายทีมก็ประสบปัญหาในการไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม ขาดรายได้ตรงส่วนนี้ไปอย่างมาก ซึ่งกระทบชิ่งไปถึงนักเตะที่ต้องปรับลดเงินเดือน 30-50 เปอร์เซ็นต์ เพื่อช่วยพยุงสถานะการเงินของสโมสร ไม่ให้ติดลบไปกว่านี้
หากไปดูตัวเลขของผู้ตัดเชื้อที่เริ่มลดลง แม้ว่ายังแตะหลัก 14,000-15,000 คน ต่อวัน แต่ถ้าภายใน 2 เดือนนี้ เริ่มกลับเข้ามาสู่สภาวะปกติได้เมื่อไร มีโอกาสไม่น้อยที่เราจะเห็นเสียงเชียร์ออแกนิคของแฟนบอล เปล่งปลั่งในสนามฟุตบอลไทย เหมือนกับช่วงท้ายของฤดูกาลก่อน
สำหรับบางคน ว่ากันว่าเกมฟุตบอลนั้นคือชีวิต และแฟนบอลคือเส้นเลือดใหญ่ที่จะคอยหล่อเลี้ยงให้สโมสรเดินหน้าต่อไปได้
เพราะเกมฟุตบอลที่ไม่มีคนดูในสนาม มันก็คงเป็นเพียงการแข่งขันที่ไร้ซึ่งสเน่ห์ดึงดูดใดๆ ทั้งสิ้นเลย