:::     :::

ทีมหนึ่งสมควรชนะ...ทีมหนึ่งสมควรแพ้

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
3,958
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
"แดงเดือด" หนแรกประจำฤดูกาล 2018/19 ที่แอนฟิลด์ ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ ลิเวอร์พูล ถูกยกให้เหนือกว่าผู้มาเยือนอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด มากกว่าที่ผ่านมา ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมยังไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้
         ถึงกระนั้น ทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็มาเยือนพร้อมกับพกสถิติไม่แพ้เลยใน 8 เกมหลังที่พบกับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก โดยเก็บชัยชนะได้ถึง 5 เกม แต่สองหนหลังที่มาเยือนที่นี่จบลงด้วยผลเสมอ 0-0
         แน่นอนว่าที่่ผ่านมานั้น "ปีศาจแดง" ถือเป็นของ "แสลง" สำหรับ ลิเวอร์พูล โดยพวกเขาแพ้ให้คู่ปรับรายนี้มาแล้ว 66 นัด ซึ่งถือว่ามากกว่าทุกทีมในอังกฤษเลย 
         เท่านั้นยังไม่พอ สามประสานในแนวรุกที่แสนจะดุดันและเฉียบขาดทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ยิงหรือแอสซิสต์ไม่ได้ใน 855 นาทีที่พบกับ ยูไนเต็ด ซึ่งถือว่าแปลกมากทีเดียว
         ซึ่งทาง โชเซ่ มูรินโญ่ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมในการคุมทีมพบกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งพาทีมแพ้แค่ 2 ครั้งจาก 16 เกม เก็บชัยชนะไป 9 และเสมอ 5 โดยสองหนที่แพ้นั้นเกิดขึ้นในการคุม เชลซี ทั้งสองหน ไม่ใช่กับผีแดงด้วย เพียงแต่การคุมทีมมาเยือน เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ผ่านมาก็ยังไม่ชนะเลยโดยเสมอ 2 แพ้ 2 
        
         ถึงกระนั้นด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงในปัจจุบัน "เดอะ ค็อป" มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ ในขณะที่ "เร้ด อาร์มี่" แม้ทีมจะอยู่ในช่วงฟอร์มที่ไม่ดี คงไม่คิดว่าทีมจะบุกมาแพ้ในเกมนี้หรอก
         นายใหญ่ชาวเยอรมันจัดทีมในเกมนี้ถือว่ามีเซอร์ไพรส์เหมือนกันในตำแหน่งแบ็คขวาที่ นาธาเนี่ยล ไคลน์ ได้ลงสนามแทนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่บาดเจ็บ ส่วนเซนเตอร์ เดยัน ลอฟเรน ได้ประสานงานกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แบ็คซ้ายเป็น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ขณะที่แผงกองกลางตามคาด จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ นาบี เกอิต้า เช่นเดียวกับแนวรุกที่สามตัวเก่งทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ อยู่พร้อมหน้า ส่วนผู้รักษาประตู อาลีสซง ฮีโร่จากเมื่อกลางสัปดาห์ลงเฝ้าเสา
         ทางฝั่ง มูรินโญ่ ที่มายึดระบบการเล่น 3-4-3 จัดการส่ง วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ฟิตมาสมทบและส่งเป็นเซนเตอร์ตัวจริง แต่ก็เจอข่าวร้ายก่อนเกมเหมือนกันเมื่อ คริส สมอลลิ่ง ที่เพิ่งต่อสัญญาใหม่กับทีมไปเจ็บตอนวอร์มต้องเอา เอริก ไบยี่ ลงเล่นแทน อีกคนเป็น มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน พร้อมขยับ ฟิล โจนส์ ที่ไม่มีชื่อในตอนแรกขึ้นมาเป็นตัวสำรอง โดยมี ดาบิด เด เคอา เฝ้าเสาวัดความเหนียวกับทาง อาลีสซง
        
         ตำแหน่งวิงแบ็คเป็น ดีโอโก้ ดาโลต์ ที่ทำผลงานได้ดีทีเดียวอยู่ทางขวาและ แอชลี่ย์ ยัง อยู่ทางซ้าย ส่วนตรงกลางยังเลือกที่จะให้ ปอล ป็อกบา เป็นตัวสำรองในลีกเป็นนัดที่สามติดต่อกัน โดยให้ทาง อันเดร์ เอร์เรร่า จับคู่กับ เนมานย่า มาติช ส่วนแนวรุก เจสซี่ ลินการ์ด ปั้นเกมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด โดยมี โรเมลู ลูกากู
         ซึ่งระบบการเล่นของทางฝั่ง "ปีศาจแดง" ยังสามารถยืดหยุ่นได้เป็น 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ซึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ น่าจะมีการปรับไปตามรูปเกมที่ออกมา
         ยูไนเต็ดที่ใช้เกมบีบสูงตั้งแต่เริ่มเกมน่าจะได้ประตูขึ้นนำจากฟรีคิกทางกราบซ้าย แอชลี่ย์ ยัง เปิดเข้าโทษบอลตกพื้นเข้าเสาสองไปเลย เพียงแต่จังหวะเปิดนั้น โรเมลู ลูกากู ดันไปวิ่งเข้าขวาจะตวัดบอลหมายจะยิง แม้ว่าจะไม่โดนแต่ก็ถือว่ามีส่วนร่วมกับจังหวะทำให้ทีมไม่ได้ประตูไปอย่างนั้น
         แต่ก็ต้องชมผู้เล่น ลิเวอร์พูล ที่ดันพื้นที่เช็กล้ำหน้าได้เยี่ยม ซึ่งจังหวะต่อมา "หงส์แดง" ก็ได้ลุ้นเหมือนกันเมื่อ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซัดเต็มข้อนอกกรอบ ดาบิด เด เคอา ต้องพุ่งสุดปัดปัดเอาไว้ก่อน
        
         การบีบเกมเร็วของเจ้าบ้านเกือบนำมาซึ่งประตูที่ ดีโอโก้ ดาโลต์ ไปทำลั่นเสียให้ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ไหลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่จังหวะมันพันแข้งพันขาไปหน่อย สุดท้ายเป็น ฟาบินโญ่ ที่ยิงนอกกรอบบอลหลุดเสาออกไป
การเสียบอลง่ายและนักเตะเก็บบอลไม่ได้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เกมเริ่มไปอยู่ในการครอบครองของทางฝั่ง "หงส์แดง" มากขึ้นเรื่อยจนเรียกได้ว่าบุกอยู่ข้างเดียว แม้ยูไนเต็ดจะพยายามไล่บีบสูงแต่ดูเหมือนว่าจะไล่ไม่จนสักที
         ต่างกับทางเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ที่ต่อบอลเท้าสู่เท้าแม่นยำและพาบอลไปถึงพื้นที่สุดท้ายเกือบตลอดเพียงแต่ยังไม่ลงล็อคเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือแถวสองทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แทบจะเก็บได้ทั้งหมด
         ยิ่งทาง "ปีศาจแดง" ยามหมดมุกไม่รู้ทำยังไงก็วางบอลยาวให้ โรเมลู ลูกากู เหมือนเตะบอลทิ้งเพราะหัวหอกทีมชาติเบลเยี่ยมเก็บบอลไม่ได้เลย หรือจะบอกว่าไม่ได้บอลเลยก็ไม่น่าเกลียด
        
         หลังจากที่นวดอยู่นาน ลิเวอร์พูล ก็มาขึ้นนำจนได้ ฟาบินโญ่ ตักบอลเข้าเขตโทษ ซาดิโอ มาเน่ สปีดหนี แอชลี่ย์ ยัง ก่อนพักอกคนเดียวโล่งๆแล้วยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา เป็น 1-0 นาทีที่ 24
         ถือเป็นการลงโทษที่สมควรโดนของฝั่งผู้มาเยือน หลังจากที่แถวสองปล่อยให้คู่แข่งเก็บบอลได้ตลอด แถมยังจะไม่มีตัวเข้าประกบอีกต่างหาก ทำให้แถวสองของ "หงส์แดง" มีเวลาทั้งยิงและจ่ายอยู่หลายหนก่อนส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้
         ทว่าโอกาสจะแจ้งหนแรกของยูไนเต็ดกลับมาตีเสมอได้ โรเมลู ลูกากู หลุดเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนเปิดเข้ากลางที่ดูเหมือนไม่มีอะไร อาลีสซง พุ่งรับลูกเปิดแต่ดันเหลี่ยมไม่ดีบอลไปโดนเข่าตัวเองแถมยังเด้งกลับเข้ากลาง เจสซี่ ลินการ์ด ที่วิ่งมาอยู่แล้วยิงบอลเข้าประตูไปซะอย่างนั้น
         จากที่ดูเหมือนว่าไม่รู้ว่ารูปเกมแบบนี้ ยูไนเต็ด จะกลับมาได้ยังไง แต่ประตูนี้กลายเป็นมาเข้าทางผู้มาเยือนไป
         เกมที่เหนือกว่าชัดเจนเมื่อสกอร์มาเท่ากัน ลิเวอร์พูล ที่เปิดเกมบุกใส่มาตลอดก็ต้องมากดดันใหม่อีกครั้ง แม้เกมจะยังอยู่ในการครอบครองเหมือนเดิมแต่การเจาะเข้าไปดูเหมือนว่าจะยากขึ้นกว่าเดิม
        
         ครึ่งแรกจบลงด้วยการเสมอ 1-1 ในรูปเกมที่ ลิเวอร์พูล เหนือกว่าแบบชัดเจน ครองบอล 68 ต่อ 32 เปอร์เซ็นต์ โอกาสยิง 15 ต่อ 3 หน แต่ในเมื่อผลยังไม่เป็นใจก็ต้องไปว่ากันใหม่ในครึ่งหลัง
         โชเซ่ มูรินโญ่ ขยับเปลี่ยนตัวทันทีในช่วงพักครึ่งด้วยการส่ง มารูยาน เฟลไลนี่ ลงมาแทน ดีอาโก้ ดาโลต์ พร้อมกับปรับแผนการเล่นมายืนแบ็คโฟร์ในระบบ 4-2-3-1 ซึ่งน่าจะเป็นการบ่งบอกว่าทีมคงจะเน้นลูกกลางอากาศมากขึ้นโดยเฉพาะในจังหวะลูกตั้งเตะในเกมรุกรวมถึงในจังหวะตั้งรับด้วย
         เพราะจากสถิติครึ่งหลังแรกเกมรุกที่จัดจ้านของฝั่งเจ้าบ้านทำให้ได้ลูกเตะมุมหลายหนและแต่ละครั้งก็กดดันได้เป็นอย่างดี
         ลิเวอร์พูล ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรวมถึงรูปแบบการเล่นที่เดินหน้าลุยเข้าใส่เหมือนอย่างในครึ่งแรกหรือแทบจะปูพรมถล่มมากกว่าด้วยซ้ำ
        
         แต่ที่เห็นได้ชัดคือเกมรับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนกันแน่นมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เกมรุกของเจ้าบ้านไม่โดนบีบต้องขึ้นทางริมเส้นแล้วเปิดเข้ากลางซึ่งยังโดนสกัดไว้ได้ก็ต้องใช้จังหวะยิงไกลที่ยังไม่เข้าเป้านัก
แต่การตัดบอลได้ของ "ผีแดง" เมื่อจ่ายบอลข้างหน้าก็เหมือนเดิมเมื่อ โรเมลู ลูกากู ยังเก็บบอลไม่ได้ก็เหมือนเตะใส่กำแพงให้คู่แข่งตั้งเกมขึ้นมาใหม่อยู่เรื่อยๆ
         หลังบุกอยู่นานแต่ยังยิงประตูเพิ่มไม่ได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกนาทีที่ 70 เอา นาบี เกอิต้า ออกแล้วส่ง เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงเล่นแทน ซึ่งน่าจะช่วยทีมในการเล่นเกมรุกได้มากกว่าโดยเฉพาะจากแถวสองที่ทีมได้ลุ้นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนโปรยปรายลงมาน่าจะทำให้ผู้รักษาประตูเจอปัญหาอยู่เหมือนกัน
         และสตาร์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก็กลายเป็นทีเด็ดที่ส่งให้ทีมขึ้นนำอีกครั้ง ซาดิโอ มาเน่ พาบอลหลบ อันเดร์ เอร์เรร่า เข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนรอจังหวะเปิดบอลกลางติด ดาบิด เด เคอา หลุดเข้ากลางมา เซอร์ดาน ชากิรี่ วิ่งมาหวดด้วยขวาบอลแฉลบ แอชลี่ย์ ยัง บอลพุ่งเช็ดใต้คานเข้าไปหลังลงสนามมาไม่ถึง 3 นาที
        
         โชเซ่ มูรินโญ่ ขยับอีกครั้งด้วยการส่ง อองโตนี่ มาร์กซิยาล ลงมาแทน อันเดร์ เอร์เรร่า เพื่อเล่นเปิดเกมบุกมากขึ้นในช่วง 10 นาทีเศษที่เหลืออยู่ แต่ยังไม่ทันโดนบอลทีมก็มาสังเวยประตูเพิ่มจากจังหวะต่อบอลของ ลิเวอร์พูล ก่อนที่ เซอร์ดาน ชากิรี่ ปั่นด้วยซ้ายนอกกรอบบอลแฉลบ เอริก ไบยี่ ที่พยายามสกัดกลายเป็นบอลหนีมือ ดาบิด เด เคอา เข้าประตูไปเป็น 3-1 เลย
         เจอร์เก้น คล็อปป์ กลับมาเน้นตรงกลางทันทีด้วยการส่ง จอร์แดน เฮนดอร์สัน ลงมาแทน ซาดิโอ มาเน่ ส่วนทางผู้มาเยือนก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายกับ ฆวน มาต้า แทนที่ เจสซี่ ลินการ์ด ซึ่งก็เป็นเหมือนการเปลี่ยนตัวเพื่อใช้โควต้าให้หมดเท่านั้น
         จบเกมกับชัยชนะของ ลิเวอร์พูล ที่ต้องบอกว่าสมควรด้วยประการทั้งปวงทั้งรูปเกมที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ครองบอลมากกว่าเกือบเท่าตัว โอกาสยิงประตูมากถึง 36 ครั้ง ในขณะที่ฝั่งยูไนเต็ดได้ยิงแค่ 6 หน, เตะมุม 13 ครั้งต่อ 2 หน
         เรียกได้ว่าทุกอย่างอยู่ในการครอบครองของทางฝั่งเจ้าบ้านทั้งหมด
        
         อันที่จริงแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ได้มาเล่นเกมรับแบบน่าเกลียด ทุกครั้งที่ได้บอลก็พยายามตั้งเกมบุกอยู่ตลอด แต่ต้องยอมรับว่าเกมรุกไม่ได้มีอะไรเลย หากไม่นับจังหวะได้ประตูแบบมีโชค อาลีสซง ไม่ได้ออกแรงด้วยซ้ำ
         ลิเวอร์พูล กลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้งด้วยสถิติยังไม่แพ้ใครในฤดูกาลนี้ต่อไป พร้อมกับความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมที่โค่นคู่ปรับตัวฉกาจลงได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013
         ฝนที่โปรยปรายลงมาที่แอนฟิลด์ยิ่งสร้างความหนาวเหน็บในหัวใจให้กับแฟนบอลปีศาจแดงในสนาม
         แต่สำหรับแฟน "หงส์แดง" มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด