อาการบาดเจ็บของ เปโดร โรดริเกซ ทำให้ทีมต้องปรับทัพในแนวรุก ซึ่งนายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนเลือกใช้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นในแดนหน้าให้ทาง เอแด็น อาซาร์ ที่เล่น "ฟอลส์ ไนน์ มาในช่วงหลังและทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมขยับไปเล่นเกมรุกทางซ้าย ส่วนอีกฝั่งเป็น วิลเลี่ยน 

         อีกคนที่เปลี่ยนจากเกมล่าสุดก็คือแดนกลางสลับมาใช้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ แทน มาเตโอ โควาซิช ส่วนอีกสองคนก็เหมือนเดิมก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ จอร์จินโญ่ ส่วนแนวรับกับผู้รักษาประตูยังเป็นหน้าเดิมอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์, มาร์กอส อลอนโซ่ และ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า

         ไม่ถึง 10 นาทีแรกของเกมก็ดูจะมีปัญหาซะแล้วเมื่อ มาร์กอส อลอนโซ่ ไม่พอใจที่ ดาวิด ลุยซ์ เปิดบอลมาให้สั้นไปสุดท้ายบอลตกพื้นแม้แบ็คชาวสเปนจะพยายามกระโดดโหม่งเพื่อให้บอลอยู่ในสนามแต่ก็สูงไปสุดท้ายบอลออกข้าง แต่เข้าตัวกลับไปชกบอลลงพื้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดแถมโวยใส่เพื่อน จนโดน เคร็ก พอว์สัน ผู้ตัดสินควักใบเหลืองให้

         ถือเป็นการเสียใบเหลืองโดยไม่ควร ซึ่งอันที่จริงก็ไม่สมควรจะโดนด้วย ก็อย่างที่มักจะพูดกันว่าอยู่ที่ "ดุลยพินิจ" ของผู้ตัดสิน 

         เมื่อเกมมี โอลิวิเยร์ ชิรูด์ อยู่ในสนามทำให้เกมของ เชลซี ดูมีความหลากหลายมากขึ้น ในตำแหน่งกองหน้ามีเป้าหมายในการวางบอลไม่ว่าจะสั้นหรือจะยาว

         แต่จากเกมที่ออกมาความหลากหลายถือเป็นเรื่องดี แต่ดูเหมือนว่าเป้าใหญ่ข้างหน้ายังไม่ได้สร้างปัญหาให้เกมรับคู่แข่งมากเท่าไร ส่วนเกมรุกทั้งสองฝั่งทั้ง เอแด็น อาซาร์ และ วิลเลี่ยน ยังแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

         บทบาทส่วนใหญ่ไปตกอยู่ที่แดนกลางโดย จอร์จินโญ่ อาศัยจังหวะทะลุช่อง, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ใช้ความคล่องในการทะลุทะลวงรวมถึงการบีบแย่งบอลตั้งแต่หน้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง ขณะที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็คอยช่วยเกมรุกทางซ้ายในยามที่ เอแด็น อาซาร์ ขยับเข้ากลาง

         ส่วนแบ็คทั้งสองข้างเติมเกมสูงแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าไรโดยเฉพาะทางขวาอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เชลซี ทำได้แค่การยิงนอกเขตโทษ การต่อบอลไปมาหน้าเขตโทษไม่มีประโยชน์เลยเมื่อขาดจังหวะ "คิลเลอร์ พาสส์" 

         แต่ทีมก็ยังมาได้ลุ้นติดๆหลังผ่านครึ่งชั่วโมงเริ่มจากฟรีคิกที่ วิลเลี่ยน ปั่นชนเสาออกหลัง แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นลูกเตะมุม และจากจังหวะต่อเนื่อง เพลย์เมกเกอร์บราซิลสบช่องยิงนอกกรอบแต่ไม่ผ่านมือ บิเซนเต้ ไกวต้า ปัดออกหลังไป และอีกครั้งกับลูกเตะมุม เอแด็น อาซาร์ เปิดมาเสาแรก รอสส์ บาร์คลี่ย์ หันหลังให้ประตูแต่ยิงกลับหลังได้บอลไปชนเสาอีก

         เป็นช่วงเวลาที่ทัพสิงโตจากกรุงลอนดอนกดดันได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแต่สุดท้ายส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไม่ได้

         ก่อนหน้านี้ทีมส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้แล้วจากจังหวะตักบอลเข้าเขตโทษของ จอร์จินโญ่ ให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ สปีดเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนสับไกบอลพุ่งเสียบเสาสองอย่างสวยงาม แต่เป็นลูกล้ำหน้าซะก่อน ทำให้ครึ่งแรกจบลงด้วยการเสมอกันอยู่ 0-0

        

         เชลซี พยายามจะเจาะตรงกลางตามถนัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าการยืนเกมรับของ คริสตัล พาเลซ นั้นแน่นจริงๆ บีบให้ต้องถ่ายออกทางด้านข้าง และเมื่อออกจากด้านแล้วไม่เปิดบอลก็ต้องลำเลียงเข้ามาใหม่ซึ่งก็เจาะไม่ได้อีก พอเปิดบอลเข้าเขตโทษก็โดนดักไว้ได้หมด

         แต่เข้าครึ่งหลังมาได้ 5 นาที สิ่งที่ เชลซี พยายามทำมาตลอดก็ประสบผลสำเร็จในจังหวะที่ ดาวิด ลุยซ์ ตักบอลเข้าเขตโทษ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ วิ่งมาจากทางขวาพักอกก่อนยิงหักข้อบอลไม่แรงแต่ทางดี บิเซนเต้ ไกวต้า ล้มตัวปัดได้แต่บอลยังเข้าประตูไป

         ลูกนี้ต้องชมปราการหลังบราซิลที่สายตาไวมาก ขณะที่มิดฟิลด์แชมป์โลกก็ใช้ความเร็วหนี พาทริก ฟาน อานโฮลท์ สอดเข้ามาอย่างยอดเยี่ยม ถือเป็นการประสานที่รู้ใจซึ่งเป็นผลมาจากการซ้อมและการเล่นตามแนวทางของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่มีให้เห็นอยู่ตลอดในฤดูกาลนี้

         อีกทางหนึ่งก็คงต้องบอกว่า วิลฟรีด ซาฮา ไม่บีบเกมทำให้ ดาวิด ลุยซ์ มีเวลาและพื้นที่เหลือเฟือในการเล่นลูกนี้ ถือเป็นการแก้เกมที่ยอดเยี่ยมของเทรนเนอร์ชาวอิตาเลี่ยนที่เห็นแล้วว่า คริสตัล พาเลซ เล่นเกมรับลึกทำให้ยากที่จะเจาะ ต้องอาศัยจังหวะแบบนี้นี่แหละ

การเสียประตูของ คริสตัล พาเลซ ทำให้ทีมพอจะมีช่องให้ทาง เชลซี เจาะเข้าไปอยู่บ้าง และก็เป็นโอกาสอีกครั้งของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ได้วิ่งหลุดเข้าไปซัดเสียบตาข่ายอย่างงาม แต่ก็เป็นอีกครั้งที่จังหวะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายเป็นลูกล้ำหน้าไป

         สุดท้ายกองหน้าชาวฝรั่งเศสก็โดนเปลี่ยนตัวออกไปหลังเจ็บจากจังหวะยิงที่โดนพุ่งเสียบเอา อัลบาโร่ โมราต้า ลงมาแทน แต่เหมือนเป็นตัวแถมลงมาวิ่งไล่บอกซะมากกว่าในช่วง 15 นาทีสุดท้าย เพราะเกมแทบจะไปอยู่ในการครอบครองของฝั่ง พาเลซ เกือบทั้งหมด

        

         การเปลี่ยน เอแมร์ซอน ลงเล่นแทน วิลเลี่ยน ไม่ถือว่าเซอร์ไพรส์อะไรนักเนื่องจากทีมไม่มีแนวรุกเหลือให้เปลี่ยนแล้ว ทำให้จากที่ปกติเปลี่ยนตัวตามตำแหน่งทำให้ต้องการแหวกไปบ้าง ก่อนที่คนสุดท้ายก็ตามความคาดหมาย มาเตโอ โควาซิช ลงมาแทน รอสส์ บาร์คลี่ย์

         เชลซี ลงไปตั้งเกมรับเต็มตัวและเกือบเสียประตูเหมือนกันจังหวะที่ คอนเนอร์ วิคแฮม พักบอลได้แล้วยิงจ่อๆ โชคดีที่โดนได้ลูกบอลเหินข้ามคานออกไป

         ถ้าลูกนี้เข้าไป เชลซี คงดูไม่จืดเหมือนกัน แม้แต่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เองยังยอมรับว่าช่วงท้ายทีมกดดันมากๆ

         ชัยชนะในเกมนี้ถือเป็นสามคะแนนที่สำคัญของทีม แม้อาจจะไม่ได้มองถึงการบีบช่องว่างกับ ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง แต่กับ อาร์เซน่อล ถือเป็นทีมลุ้นแย่งพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ออกไปโดน ลิเวอร์พูล ถล่มเละ 1-5 ทำให้คะแนนฉีกหนีออกไปเป็น 5 คะแนน รวมถึงบีบช่องว่างกับ สเปอร์ส ที่ดันไปแพ้เหมือนกันเหลือ 2 คะแนนเท่านั้น

         อย่างที่บอกไว้ เกมนี้ถือว่าเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยความยากลำบากอีกครั้ง และในช่วงหลังเห็นได้ชัดเจนว่าคู่แข่งล้วนแล้วแต่เริ่มจับทางได้ว่า เชลซี จะมาไม้ไหน อยู่ที่ว่าจะเอาอยู่รึเปล่า

         ขนาดคู่แข่งที่ค่อนไปทางครึ่งล่างของตาราง ทีมยังเจอกับงานยากขนาดนี้ ซึ่งหากคู่แข่งมีเกมรุกที่วูบวาบก็พร้อมจะเล่นงานพวกเขาได้เหมือนกัน

         กลางสัปดาห์ทีมจะลงสนามในเกมลีกอีกครั้งเปิดบ้านพบการมาเยือนของ เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งยังไงก็ต้องสามแต้มเท่านั้นหลังเกมในรังล่าสุดลงเอยด้วยความปราชัย

         อย่างน้อยเกมนี้ก็ได้กำลังใจมาอย่างเต็มที่, สองคู่แข่งแย่งโควถ้วยใหญ่ของยุโรปแพ้, ชนะในเกมลอนดอน ดาร์บี้ แถมเป็นการเล่นนอกบ้าน, หายใจคล่องขึ้นหน่อยหลังหนี อาร์เซน่อล เป็น 5 คะแนน 

         หวังว่าคงจะไม่ทำเหมือนเดิมที่อยู่ดีๆคิดจะแพ้ก็แพ้เหมือนอย่างเกมกับ วูล์ฟส์ และ เลสเตอร์ ซิตี้ อีกก็แล้วกัน