อากิระ นิชิโนะ : ซามูไรขี่ช้างศึก
หลังปล้ำข้อเสนอกันอยู่นานเช้าจรดค่ำ ท้ายสุด อากิระ นิชิโนะ ยอม “ใจอ่อน” มอบลายเซ็นเป็นสัญญาคุมทัพ “ช้างศึก” ในที่สุด และคือกุนซือแดนอาทิตย์อุทัยคนแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังไทย
ดูเหมือนชื่อ นิชิโนะ (ที่ไม่ใช่ โช นิชิโนะ นางเอกเอวี) จะเรียกรอยยิ้มมุมปากแฟนบอลได้พอควร หลายคนมองว่าเฮดโค้ชแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้ “ดูดี” กว่าแคนดิเดตรายอื่น
แต่นั่นคือ “ความเสี่ยง” ในอีกทางเช่นกัน การมาจับ “เผือกร้อน” แบกฟุตบอลไทยทั้ง U-23 และ ทีมชุดใหญ่ เป็นการบ้านสาหัสเอาการ
และสิ่งเหล่านี้ คือโจทย์ที่ นิชิโนะ ต้องเจอ
รีสตาร์ทฟุตบอลไทย
“ฟุตบอลไทย” เป็นคำง่าย แต่เป็น “สุสาน” ที่กุนซือหลายคนนำชื่อมาทิ้งไว้เช่นกัน
การมาขี่หลังช้างศึกของ นิชิโนะ แทบไม่ต่างจากการดรอปเรียนคณะวิทย์-กีฬา เพื่อมาเข้านิเทศศาสตร์ เพราะแม้กุนซือเลือดบุชิโดรายนี้จะมีประสบการณ์บนเวทีลูกหนังนับไม่ถ้วน ทว่าทั้งหมดเกิดขึ้นจากการคุมทีมในประเทศเป็นหลัก
อาจมีเพื่อนคู่ใจอย่าง วิทยา เลาหกุล คอยให้คำปรึกษา ทว่าภาพรวมเขาเองต้อง “เริ่มต้น” ใหม่ในศาสตร์ฟุตบอลที่ต่างออกไปจากเคยทำมา ไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติ ความเป็นมืออาชีพ การให้ความร่วมมือจากสโมสร
ที่เมืองไทยยังห่างจากบ้านเกิด นิชิโนะ หลายก้าวเดิน
อาจมีอิสระให้คัดเลือกผู้เล่นได้เต็มที่ ไม่มีใครมาล้วงลูก แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อถึงเวลาที่อยากได้นักเตะมาติดทีม ผู้เล่นคนนั้นจะมีจดหมายจากสโมสรต้นสังกัดประมาณว่า เกิดอาการป่วยกะทันหัน หรือบาดเจ็บอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนต้องถอนตัวจากทีมชาติทันที
กรอบเวลาที่มีเพียงจำกัด
การเข้ามานั่งเก้าอี้ 2 ตัวในทีมชาติไทย ไม่ใช่งานง่าย ยิ่งกับปฏิทินลูกหนังที่เอื้อให้เพียงจำกัดจำเขี่ย
แม้ตามหลักทั่วไปของกุนซือใหม่ ทีมงานจะมีรายชื่อผู้เล่นทีมชาติชุดเก่าที่เคยติดทีมให้ แต่เชื่อเถอะว่าคนหัวอย่าง นิชิโนะ ต้องการเลือกนักเตะด้วยตนเอง ปัญหาคือเขามีเวลาเพียงหยิบมือ
ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จะคิกออฟในเดือนกันยายน นั่นเท่ากับว่า นิชิโนะ มีเวลาราว 2 เดือนในการหาผู้เล่นใหม่ช้างศึก พร้อมทั้งปรับจูนแท็คติกไปในตัว
ขณะที่ต้นปีหน้าศึกชิงแชมป์เอเชีย U-23 รอบสุดท้าย หา 3 ชาติไปโอลิมปิก จะเริ่มแข่งขันอีก ใช่…หากพูดตามพลอตลูกหนังทั่วไป มันคืองานที่ท้าทาย แต่ก็มาพร้อมกับความกดดัน และความคาดหวังเช่นกัน
สำหรับการ “ขี่ช้าง” ทีเดียว 2 เชือก
“จุดแข็ง” นิชิโนะ คือ “จุดอ่อน” ช้างศึก
บอลครั้งยามที่แข่งขันในระดับเอเชีย สิ่งที่ทีมชาติไทยจะเจอและตายอย่างสงบคือ “บอลเพรสซิ่ง” จากคู่ต่อสู้
ไม่ว่ายุคสมัยเปลี่ยนผ่านแค่ไหน “ช้างศึก” ยังแทบไม่สามารถเอาตัวรอดจากศัตรูที่เพรสซิ่งใส่ จนกลายเป็นจุดอ่อนกลายๆไปซะงั้น
แต่บังเอิญ “เพรสซิ่ง” คือจุดแข็งของ อากิระ นิชิโนะ
ไม่ว่าจะทำทีมชาติชุดเยาวชน สมัยคุม กัมบะ โอซากา หรือ ทีมชาติญี่ปุ่น ชุดลุยบอลโลก 2018 เฮดโค้ชรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องการใช้บอลเพรสซิ่งเป็นหลักเสมอ เป็นแท็คติกง่ายๆแต่ทำยาก เนื่องจากต้องใช้ความสัมพันธ์และเข้าใจแบบแผนพอควรทั้ง 11 คนในทีม
ฉะนั้นการนำระบบเพรสซิ่ง มาใช้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่กับฟุตบอลประเทศที่ธรรมชาตินักเตะบางคนยังเดินเล่น ไม่ค่อยขยับตามเพื่อน เคลื่อนที่เพียงจำกัด เดินดึงหน้า น่าสนใจว่า นิชิโนะ จะทำเช่นไร
นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึง “สภาพความฟิต” ด้วยอีกนะ
วินัยแบบญี่ปุ่น กับ วินัยแบบไทยๆ
ภาพจำวาบแรกหากเราคิดถึงโค้ชชาติและดับแนวหน้าเอเชีย อย่าง เกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่น คือการให้ความสำคัญเรื่องระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ
แต่อาจเป็นสิ่งที่หายากในดินแดนลูกหนังแถบนี้
ครั้งหนึ่งฉันเคยเจอ ผู้เล่นทีมชาติไทยชุดใหญ่ นั่งดวดเหล้าอยู่ร้านแถบเรียบด่วน-รามอินทรา คืนวันศุกร์ ขณะที่ต้นสังกัดเจ้าตัวเตรียมลงแข่งในช่วงเย็นวันเสาร์
ครั้งหนึ่งฉันเคยเจอผู้เล่นทีมชาติไทยชุดเล็ก สวมยูนิฟอร์มชุดแข่งตัวเอง กับกางเกงสามส่วน นั่งซัดเบียร์พร้อมอัดบุหรี่ฮัมเพลง ในบาร์เหล้าย่าน ลาดพร้าว-วังหิน
เหล่านี้อาจเป็นภาพ “ชินตา” ของฉัน แต่ไม่แน่ใจว่า นิชิโนะ จะชินด้วยหรือไม่
ยังไม่นับรวมถึงเรื่องระเบียบการ “ตรงต่อเวลา” ที่ญี่ปุ่นนักเตะเกือบทุกคนมาถึงสนามก่อน 1-2 ชั่วโมง เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้พร้อมสุดก่อนลงซ้อม
แต่กับฟุตบอลประเทศนี้แทบไม่มีเช่นนั้น ไม่มาสายเกินกว่าเวลานัดก็บุญแค่ไหนแล้ว ไหนจะข้ออ้าง รถติด รถยางแตก สารพันปัญหา เวลามาสาย
นอกจากเรื่องในสนามต้องทำการบ้านแล้ว อีกสิ่งที่ นิชิโนะ อาจต้อง “ทำใจ” ล่วงหน้า ในการมาทำงานประเทศนี้คือ วินัยแบบไทยๆนี่แหละ